บนพื้นทีู่เาห่างจากใจกลางเมืองผิงมากกว่าหนึ่งร้อยไมล์
เนื่องด้วยพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ค่อนไปทางใต้ ทางนี้ฝนจึงเริ่มตกค่อนข้างเร็วกว่าที่อื่น ผ่าน่เวลาฟ้าสางไปไม่นาน ฝนก็กระหน่ำลงมาหนักขึ้น
ฝนตกลงมาในหุบเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ูเาหินแต่เดิมที่ไม่คงทนอยู่แล้วจึงค่อยๆ แตกออกในที่สุด…
ตูม!
เกิดเหตุดินถล่มครั้งใหญ่ หินูเากลิ้งลงมา ทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า ปิดถนนสายหลักที่เชื่อมทิศเหนือและใต้
ฉินหล่างที่กำลังเดินทางอยู่ถูกสกัด เนื่องจากเป็คนใจร้อน และทนอยู่เฉยนานๆ ไม่ได้ เขาจึงจอดรถไว้ข้างทางอย่างไม่ลังเล และรีบเข้าไปสมทบกับทีมกู้ภัย
ผู้ที่รับผิดชอบกู้ภัยน้ำท่วมในครั้งนี้คือพนักงานดับเพลิง ซึ่งส่วนมากเป็ผู้ชายอายุน้อย และมีนิสัยกระตือรือร้น
งานนี้เป็เื่เร่งด่วน ฉินหล่างที่้าเข้าร่วมด้วยตนเอง ได้รับการต้อนรับจากพวกเขาเป็อย่างดี
เมื่อได้ฉินหล่างซึ่งมีความเชี่ยวชาญเข้ามาร่วม ทำให้การทำงานราบรื่นมากขึ้น ย้ายก้อนหินออก ขุดลอกดินโคลน พวกเขาทำงานจนเหงื่อเต็มหลัง คึกคัก และเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
เมื่อถึงเวลาพัก เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยดินโคลน ทั้งสองฝ่ายมองหน้ากันพร้อมรอยยิ้ม ทำให้รู้สึกคุ้นเคยกันเร็วขึ้น
ในขณะที่พักดื่มน้ำ ฉินหล่างได้พูดคุยกับพวกเขา จึงได้รู้ว่าคนที่อายุมากที่สุดในกลุ่มคือยี่สิบปี เพิ่งเข้าร่วมทีมได้เพียงไม่กี่ปี บ้านเกิดของพวกเขาอยู่ไกลจากเมืองนี้มาก
“คิดถึงบ้านไหม” ฉินหล่างถาม
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยดินโคลน นักดับเพลิงคนนั้นพยักหน้า แววตาไม่อาจปกปิดความไร้เดียงสาของหนุ่มวัยสิบแปดปีเอาไว้ได้ “คิดถึงครับ”
“แต่การได้อยู่กับทุกคนทำให้ผมมีความสุขมาก อีกทั้งยังรู้สึกว่าได้ทำในสิ่งที่มีเกียรติ ได้ช่วยเหลือผู้คนมากมาย”
ความมุ่งมั่นในแววตาของนักดับเพลิงหนุ่มดึงดูดฉินหล่างมาก ทำให้เขารู้สึกนับถือ
เมื่อพักได้ครู่หนึ่งจึงเร่งทำงานต่อ
หลังจากผ่านการตรากตรำทำงานอย่างหนักมาหลายชั่วโมง ถนนเบื้องหน้าก็ถูกทำความสะอาดจนโล่ง ท้องฟ้ามีลมพัดผ่าน ฝนตกลงมาอีกระลอก
เ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในส่วนนี้ได้รับคำสั่งให้รีบถอนกำลังทันที แต่เมื่อเห็นว่างานใกล้จะเสร็จ นักดับเพลิงหลายคนก็เริ่มลังเลและไม่อยากกลับ จึงหันมามองหน้ากันก่อนจาก
และในตอนที่พวกเขากำลังยืนมองก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นกะทันหัน
ดินถล่ม ก้อนหินหล่นลงมาทางนักดับเพลิงคนหนึ่ง
ดวงตาของฉินหล่างตกตะลึง
เป็นักดับเพลิงอายุสิบแปดปีที่เพิ่งคุยกับเขาเมื่อครู่ คนที่บ้านเกิดอยู่ในเมืองที่ห่างไกล
ใน่เวลาฉุกละหุก ร่างกายของเขาตอบสนองอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ ผลักนักดับเพลิงคนนั้นออกไป
ฝนยังคงตกกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง
ซูอินนั่งอยู่ในห้องนอนของสวีเหวินเหวิน มองสายฝนที่ไหลลงมาจากหน้าต่างราวกับน้ำตก
เนื่องจากสภาพอากาศทำให้บนถนนสายการค้าไม่มีคนเดิน พี่หงบอกเธออย่างมีความสุขว่าคืนนี้ไม่เปิดร้าน และให้เธอกลับบ้านกับสวีเหวินเหวินเลย
พอเห็นหน้าเธอเป็ครั้งที่สอง ใบหน้าเหี่ยวย่นของแม่เฒ่าสวีก็คว่ำลง ซูอินไม่ใช่คนหน้าหนา เธอจึงรีบไปซ่อนตัวอยู่ในห้องนอน เพื่อหลบสายตาที่มองมาด้วยท่าทีพิจารณาเ่าั้
ความรู้สึกที่คุ้นเคยบางอย่างหวนกลับมาอีกครั้ง แต่ซูอินนึกไม่ออก
ด้านนอกมีเสียงเปิดประตู หยางอวี้หลานเลิกงานกลับมาแล้ว ซูอินจึงเดินออกมานอกห้อง
“คุณป้าหยางขอโทษด้วยนะคะ วันนี้มารบกวนพวกคุณอีกแล้ว”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ หนูช่วยสอนการบ้านให้เหวินเหวิน พวกเราต่างหากที่ต้องขอบคุณ”
ความรู้สึกขอบคุณบนหน้าของหยางอวี้หลานแสดงออกอย่างจริงใจ ซูอินมองไปทางสวีลี่ฉวินที่กดปุ่มรีโมตในมือเพื่อเพิ่มระดับเสียงด้วยอารมณ์ที่ผสมปนเป
โดยเฉพาะในตอนที่หยางอวี้หลานยังไม่ทันจะได้พักหายใจ สวีลี่ฉวินก็ชี้ที่ขาตัวเองอย่างกับคุณชายเพื่อขอให้เธอนวดให้ ความรู้สึกเช่นนั้นก็ยิ่งทวีคูณมากขึ้น
ซูอินรู้ว่าในยามที่อากาศครึ้มฝนตก คนขาไม่ดีจะรู้สึกเ็ปเหลือทน
แต่ป้าหยางทำงานข้างนอกมาเหนื่อยทั้งวันแล้ว จะไม่ยอมให้ได้พักสักหน่อยหรือ
สถานการณ์เมื่อวานทำให้ค่อนข้างรู้สึกใ แต่ซูอินก็ไม่ได้คิดใส่ใจ ทว่าในวันนี้เมื่ออารมณ์สงบลง เธอก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง
จากการที่แม่เฒ่าสวีร้องไห้คร่ำครวญเื่ที่สวีลี่ฉวินช่วยชีวิตของหยางอวี้หลานจนทำให้ตนเองต้องถูกตัดขาในปีนั้น
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในยามทุกข์ทรมานเช่นนี้ หากมิใช่เพราะรักมาก ก็คงเป็เพราะคนคนนี้เป็คนดีมาก
แต่เธอเห็นสวีลี่ฉวินแล้วรู้สึกว่ามันไม่เข้าข่ายทั้งสองข้อ
ไม่ใช่ว่าเธอคิดฟุ้งซ่านไปเอง เมื่อชาติก่อนหลังจากที่ตระกูลหลิงร่ำรวยและมีอำนาจมากขึ้น ก็มักจะช่วยหน่วยงานรัฐบาลร่วมงานการกุศล หลิงเมิ่งทำหน้าที่อยู่ในหน่วยงานการกุศลและมีชื่อเสียงมากมายบนเวยป๋อ โดยเป็ที่รู้จักในนาม ‘เทพธิดาการกุศล’ และเพื่อคอยปรนนิบัติรับใช้หลิงเมิ่ง เธอจึงต้องเข้าร่วมงานต่างๆ หลายแห่ง
เธอเคยเจอผู้พิการหลายคนที่ตัดกระดาษแบบจีน ทำงานถัก เย็บปักถักร้อย และแม้กระทั่งเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ยอมรับการช่วยเหลือจากสังคม ซึ่งทุกคนต่างพยายามอย่างขยันขันแข็งเพื่อให้ชีวิตของตนเองเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
สวีลี่ฉวินก็แค่ถูกตัดขา หากเทียบกับที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย ก็ควรมีจุดเริ่มต้นที่ดีกว่าพวกคนพิการที่เธอพบเจอ
แต่เขาทำแบบนี้ทำไม
เพราะรัก หรือเพราะเป็คนดี
ช่างเป็สิ่งที่ขัดกับสามัญสำนึก!
ซูอินรู้ดีว่าที่นี่มีปัญหา แต่มันเป็เื่ภายในครอบครัวคนอื่น เธอไม่สามารถเข้าแทรกแซงได้มากนัก
เฮ้อ…
เธอถอนหายใจ ก่อนจะหันไปดูโทรทัศน์ ต่อมามีรายงานข่าวที่เรียกความสนใจจากเธอ
“จากรายงานข่าวล่าสุด จนกระทั่งเวลา 17:00 นาฬิกา ฝนที่ตกติดต่อกันอย่างหนักทำให้บ้านเรือนหลายหลังพังทลาย เกิดเหตุดินถล่มอย่างรุนแรงบริเวณูเาทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง รัฐบาลได้สั่งดำเนินการตามมาตรการฉุกเฉิน นักดับเพลิง…”
ผู้ประกาศข่าวรายงานด้วยน้ำเสียงจริงจัง ในภาพมีเ้าหน้าที่ดับเพลิงและทหารสวมเครื่องแบบสีเขียวเดินออกมาจากบ้านเรือนที่พังทลายพร้อมกับชาวบ้าน
ความรู้สึกคุ้นเคยเกิดขึ้นอีกครั้ง ในที่สุดคราวนี้ซูอินก็จับความรู้สึกได้
เธอนึกออกแล้วว่าทำไมอู๋อู๋ถึงได้โควตา
ไม่ใช่เพราะข่าวลือเื่ถูกคัดเลือกจากวงใน แต่เป็เพราะฝนตกหนักในครั้งนี้หล่อนได้ช่วยชีวิตทหารหลายนายที่กำลังจะตาย ทำให้เกิดความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ สถานีโทรทัศน์ทำสกู๊ปพิเศษเื่นี้โดยเฉพาะ และกลายเป็ก้าวสำคัญในการไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นของอู๋อู๋
“คุณป้าหยางคะ!”
เธอหันไปมองอย่างตื่นเต้น
หยางอวี้หลานกำลังคุกเข่าอยู่หน้าโซฟาเพื่อเตรียมนวดขาให้สวีลี่ฉวินที่นอนรออย่างกับคุณชาย
“อินอิน มีเื่อะไรหรือ”
ซูอินกำลังจะบอก แต่เสียงโทรศัพท์ในห้องรับแขกดังขึ้นเสียก่อน
“เหวินเหวินรับโทรศัพท์หน่อยลูก~”
สวีเหวินเหวินที่ยุ่งอยู่กับการซักผ้าเดินออกมาจากห้องน้ำ มือของเธอเปียก “มือฉันเปียก อินอิน ช่วยรับโทรศัพท์แทนได้ไหม”
ซูอินรับสาย คนที่โทรศัพท์มาคือทางโรงพยาบาล หลังจากได้ฟังทุกอย่าง แววตาของเธอพลันเป็ประกาย
แทบไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย
“คุณป้าหยางคะ โรงพยาบาลโทรมาตามตัวด่วน มีคนช่วยไม่พอ จึงให้คุณป้ารีบไปช่วยผ่าตัดค่ะ”
ตอนแรกเธอคิดว่าเื่นี้คงเกี่ยวข้องกับการเข้ากะ แต่ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ ก็ได้รับการคัดค้านอย่างดุเดือด “ไม่ได้!”