“นั่นเป็ชีวิตของคนหนุ่ม ที่พวกเขาาเ็ก็เพราะปกป้องทุกคน คุณหมอหยาง ขอร้องละค่ะ!”
เมื่อต้องเจอกับสวีลี่ฉวินที่พยายามห้ามหยางอวี้หลาน ซูอินก็อดไม่ได้ที่จะร้องขอ
แต่สวีลี่ฉวินกลับนิ่งเฉย “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน ฉันรู้แค่ว่าตอนนี้ขาของฉันปวดจนแทบทนไม่ไหว”
แม่เฒ่าสวีที่หน้าตึงอยู่ตลอดเวลาก็ผสมโรงด้วย “ฉันก็ไม่อยากพูดหรอกนะ อวี้หลาน ที่โรงพยาบาลมีเธอคนเดียวหรือที่เป็หมอ เื่นี้เร่งด่วนก็จริง แต่ไม่มีหมอคนอื่นแล้วหรือ ฉันก็ไม่อยากพูดหรอกนะ ที่ขาของลี่ฉวินต้องทุกข์ทรมานแบบนี้เพราะใคร เธอจะใจร้ายกับเขาได้ถึงขนาดนั้นเลยหรือ”
จากนั้นเธอก็เล็งเป้าหมายมาที่ซูอิน “เด็กคนนี้ ทำไมไม่รู้เื่อะไรเลย เมื่อวานมาถึงก็ต่อปากต่อคำกับฉันแล้ว นี่ยังจะมายุ่งเื่ในครอบครัวเราอีก”
ซูอิน : …
เธอชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างหมดแรง “หนูไม่ได้ยุ่งเื่ส่วนตัวของครอบครัวคุณ หากพูดตามจิตสำนึกแล้ว ทหารเ่าั้ตกอยู่ในอันตราย น่าสงสารมาก ซึ่งหากเทียบกับสถานการณ์ด้านนี้แล้ว ทางนั้นดูจะเร่งด่วนมากกว่าเสียอีก”
“น่าสงสารหรือ สงสารแม่หม้ายกับลูกกำพร้าหรือ ฉันละสงสารลูกชายฉันจริงๆ…”
แม่เฒ่าสวีเริ่มคร่ำครวญอีกครั้ง ถึงแม้สวีลี่ฉวินจะไม่พูด แต่เอาคางชี้ไปที่ขาของตนเอง ซึ่งแสดงความหมายอย่างชัดเจน
เมื่อนึกถึงบุญคุณที่เขาช่วยชีวิตเธอไว้ในปีนั้น หยางอวี้หลานจึงทำได้แค่ต้องยอม
“เฮ้อ ช่างเถอะ”
เมื่อพูดมาถึงขั้นนี้แล้ว ซูอินจึงไม่สามารถกดดันให้หยางอวี้หลานไปโรงพยาบาลได้อีก
เธอเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับสวีเหวินเหวินเพื่อซักเสื้อผ้าของตัวเองที่สกปรก หางตาเห็นหยางอวี้หลานนั่งคุกเข่านวดขาให้สามี ในตอนนั้นเธอก็รู้สึกเวียนศีรษะ
“อินอิน พ่อของฉัน…เขาเป็คนแบบนี้ เธอไม่ต้องไปใส่ใจหรอก”
สวีเหวินเหวินพูดโน้มน้าวอยู่ข้างๆ ด้วยความรู้สึกไม่ค่อยดี ซูอินพยักหน้าและรู้สึกว่าอาการเวียนศีรษะเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ต้องรีบร้อน
เธอคอยเตือนตัวเอง ขณะเดียวกันก็พยายามขับเคลื่อนเซลล์ต่างๆ ในสมอง เธอควรคิดหาทาง ทำอย่างไรจึงจะโน้มน้าวให้หยางอวี้หลานยอมไปผ่าตัดที่โรงพยาบาล
ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว
ในขณะที่ซูอินกำลังคิดหาทางออก ทางโรงพยาบาลก็กำลังหาทางออกอยู่เช่นกัน
อันที่จริงมันเป็ไปตามที่แม่เฒ่าสวีพูด โรงพยาบาลประชาชนประจำเมืองไม่ได้มีแค่หยางอวี้หลานที่เป็หมอ ใน่เวลาที่โรงพยาบาลติดต่อเธอ พวกเขาก็กระตือรือร้นติดต่อหมอท่านอื่นด้วยเช่นกัน
ที่คฤหาสน์ตระกูลหลิง บรรยากาศอึมครึมเช่นนี้ติดต่อกันมาสองวันแล้ว
อู๋อู๋ไม่เข้าใจ ซูอินรู้ความจริงได้อย่างไร
และรู้มานานแค่ไหน หรือจะรู้นานแล้วเื่ที่ได้ช่วยชีวิตคนที่มีสถานะที่ไม่ธรรมดา จากนั้นก็รอดูเื่น่าขายหน้าของพวกเธอ
นับั้แ่เธอมั่นใจว่าซูอินไม่พอใจหลิงเมิ่ง อู๋อู๋ก็ใช้ความอาฆาตตัดสินเื่นี้ นั่นคือสิ่งที่สมองของเธอคิดขึ้นเอง เพราะยังโกรธที่ถูกทำให้ขายหน้า
เธอฉีกกระดาษทิชชูสองม้วนเต็มๆ แต่ก็ยังไม่สามารถกำจัดความโกรธให้หมดไปได้
มีโทรศัพท์จากโรงพยาบาลเข้ามา ขณะนั้นอู๋อู๋กำลังจะเริ่มฉีกกระดาษทิชชูม้วนที่สามพร้อมกับเริ่มคิดแผนการใหม่
“ผ่าตัดหรือ”
“ฉันลางานแล้วนี่ ต่อให้ฟ้าถล่มก็อย่าได้มารบกวนฉัน!”
เมื่อพูดถึงเื่ที่จะให้ไปโรงพยาบาล ขายหน้ามากขนาดนั้น อู๋อู๋ปวดหัวแทบะเิเพราะเจอปัญหาหนักที่ยากจะแก้ไข เธอวางโทรศัพท์ด้วยความรู้สึกโกรธ และอดด่าไม่ได้ “อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ พวกเขาจิตใจสกปรกขนาดไหน จะมาหลอกให้ฉันไปโรงพยาบาลแล้วหัวเราะเยาะละสิ”
ใบหน้าของเธอบูดบึ้งขึ้นเรื่อยๆ เธอหยิบแก้วคอสูงที่อยู่ใกล้แล้วปาออกไปด้วยความโกรธ
แก้วคอสูงลอยไปในอากาศเป็เส้นพาราโบลาสวยงาม เล็งไปที่หลิงเมิ่งที่เพิ่งเลิกเรียนกลับมาพอดี แก้วใบหนาและหนักโดนหางตาเข้าอย่างจัง เมื่อวานนี้หลังจากที่ซูอินออกจากบ้าน หลิงเมิ่งก็อารมณ์ดีมาก นอนหลับเต็มอิ่ม รอยคล้ำใต้ตาจางลง
เสียงกรีดร้องดังลั่น ตระกูลหลิงพากันตื่นตระหนก
ในเวลาเดียวกันที่บ้านตระกูลสวี อาการเวียนศีรษะของซูอินที่กำลังซักผ้าอยู่ก็หนักขึ้นเรื่อยๆ
“คำถามสุดท้ายในวิชาฟิสิกส์วันนี้…”
สวีเหวินเหวินกำลังซักถุงเท้าให้คุณย่า มือของเธอถูสบู่พร้อมพูดถึงเื่การสอบในวันนี้ เธอวางสบู่ก่อนจะหันไปมองซูอิน
“ซูอิน ทำไมหน้าแดงแบบนั้นล่ะ!”
“ฉัน…”
หน้าของเธอแดงหรือ
ซูอินเอามือลูบแก้ม อาจเป็เพราะเพิ่งโดนน้ำเย็นทำให้เธอรู้สึกว่าหน้าผากของตัวเองร้อนมาก
เธอฝืนยืนขึ้น แต่กลับรู้สึกว่าขาไม่มีแรง
“เธอมีไข้นี่ ต้องเป็เพราะตากฝนเมื่อเช้าแน่ๆ”
สวีเหวินเหวินมีสีหน้าร้อนใจ เธอล้างมือก่อนจะวิ่งออกไปข้างนอก “แม่คะ อินอินมีไข้ค่ะ”
ซูอินตักน้ำในอ่างข้างๆ มาล้างหน้าเพื่อเรียกสติตัวเอง ขณะที่กำลังจะบอกว่าไม่เป็อะไร กินยาสักเม็ดก็คงหาย จู่ๆ ก็เกิดปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว นี่ถือว่าเป็โอกาสดีไม่ใช่หรือ
เธอเลิกฝืนร่างกายตัวเอง แล้วทิ้งตัวให้ล้มลงไปที่กำแพง
เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะล้ม หยางอวี้หลานที่เดินเข้ามากับสวีเหวินเหวินก็รีบเข้ามาประคอง ก่อนจะใช้มือที่หยาบกร้านเล็กน้อยแตะหน้าผากของเธอ
“เป็ไข้ ทำไมหน้าแดงแบบนี้ อินอิน”
“คุณป้าหยาง หนู…ไม่เป็อะไรค่ะ หนูไม่อยาก…รบกวนพวกคุณ” น้ำเสียงของซูอินอ่อนแรง แต่สิ่งที่เอ่ยออกมานั้นเต็มไปด้วยความเข้มแข็ง
“ยังจะบอกว่าไม่เป็อะไรอีกหรือ เธอต้องเป็ไข้จนเบลอไปแล้วแน่ๆ ไม่ได้การ ต้องรีบพาส่งโรงพยาบาล”
“อวี้หลาน!”
น้ำเสียงเด็ดขาดของแม่เฒ่าสวีดังขึ้น “ลี่ฉวินยังเจ็บอยู่นะ ทำไมจู่ๆ วิ่งไปแบบนั้น”
“แม่คะ เด็กคนนี้เป็ไข้จนเบลอไปหมดแล้ว ต้องรีบพาไปส่งโรงพยาบาลค่ะ”
“แจ้งพ่อแม่ของเธอสิ มีพ่อแม่ไม่ใช่หรือ ครอบครัวมีฐานะนี่ ลูกคนอื่น ทำไมต้องให้ครอบครัวจนๆ อย่างเราต้องเป็ห่วงด้วย”
หยางอวี้หลานยังคงนึกถึงโทรศัพท์จากโรงพยาบาลที่โทรมาเมื่อครู่ หัวใจของคนเป็หมอ เธอ้าไปช่วยเหลือผู้าเ็เ่าั้
อันที่จริงเธอก็ไม่ใช่คนที่ไร้ซึ่งความเห็นแก่ตัว ั้แ่ที่มีการแจ้งว่าจะให้โหวตเลือกผู้ที่ได้โควตา เธอเป็คนจัดเก็บเอกสารเงื่อนไขเื่นี้ และพบว่าคนที่มีความสามารถมากกว่าเธอได้รับเลื่อนตำแหน่งหมดแล้ว คงไม่มาแย่งชิงกับเธอ ในบรรดาหมอทั้งหมดตอนนี้คงมีเพียงเธอกับอู๋อู๋ที่พอจะมีโอกาส
จากข่าวลือที่ผ่านมา แม้ว่าบ้านของอู๋อู๋จะมีเงิน แต่โอกาสที่จะถูกเลือกกลับมีไม่สูงนัก
ครั้งนี้เธอจึงคาดหวังมาก
เมื่อเห็นว่าเหวินเหวินโตขึ้นแล้ว เรียนมัธยมปลายอีกสามปีก็เข้ามหาวิทยาลัย แม่ก็แก่แล้ว อาจจะป่วยได้ ครอบครัวพึ่งพาเงินจากเธอคนเดียว เธอจึงจำเป็ต้องปีนขึ้นไปให้สูงกว่าเดิม
ใน่เวลานี้หากเ้าหน้าที่และทหารที่าเ็ได้รับการช่วยเหลือ การประเมินครั้งนี้จะทำให้เธอมีความมั่นใจมากขึ้น
แต่ความคิดเช่นนี้ เธอไม่สามารถบอกสามีและแม่สามี คราวก่อนที่ได้เลื่อนขั้นก็เกิดปากเสียงกันไปครั้งหนึ่ง พวกเขาเกรงว่าหากเธอมีโอกาสที่ดีแล้ว จะไม่สามารถควบคุมเธอได้อีก
เมื่อเกิดความคิดเช่นนี้ หยางอวี้หลานจึงตั้งมั่นในทันที
“อินอินยังเด็ก ่เวลาวิกฤตแบบนี้ หากแกเป็เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ปอดบวม หรืออะไรสักอย่างซึ่งก็ไม่ต่างกัน ฉันต้องพาเธอไปส่งโรงพยาบาลก่อนค่ะ”
ท่าทีของหยางอวี้หลานทำให้แม่เฒ่าสวีรู้สึกได้ถึงวิกฤตในครั้งนี้ “ไม่ได้ หากเธอไม่ปรนนิบัติลี่ฉวิน เธอก็อย่าหวังจะไปทำอย่างอื่น!”
ถึงแม้ซูอินจะดูอ่อนแอ แต่ความเป็จริงเธอยังมีสติอยู่
และเธอก็รู้แล้วว่าความขัดแย้งของพวกเขาอยู่ที่ไหน สองแม่ลูกนี้แสดงความเห็นแก่ตัวออกมาเหมือนกัน ดังนั้นในปีนั้นสวีลี่ฉวินจะยอมเสียสละตัวเองเพื่อช่วยคนอื่นได้อย่างไร
เธอไม่คิดอะไรอีก ทิ้งตัวลงบนร่างของหยางอวี้หลาน ร่างกายที่พยายามฝืนได้ล้มลงอย่างอ่อนแรง
“แม่คะ อินอินสลบไปแล้วค่ะ!”
หยางอวี้หลานไม่ต่อปากต่อคำอีก เธอกับลูกช่วยกันประคองร่างของซูอินด้านซ้ายและขวา เปิดประตูก่อนจะกางร่มออกไปท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ