เมื่อเงาร่างของไป๋อี้เฮ่าลับตาไป โม่เสวี่ยถงถึงค่อยสงบสติอารมณ์ลงได้ ยกชายกระโปรงมุมหนึ่งแล้วก้าวเข้าไปในห้องหนังสือของโม่ฮว่าเหวิน ภายในห้อง โม่ฮว่าเหวินนั่งยิ้มอย่างอารมณ์ดี เห็นโม่เสวี่ยถงเข้ามาก็ยิ่งยิ้มกว้างกวักมือเรียกนางเข้ามา
ไป๋อี้เฮ่ามาพูดอะไรกับท่านพ่อ ท่านจึงดูมีความสุขเช่นนี้
เรียนพิณ เหตุผลนี้นางย่อมไม่เชื่อ
“เรียนพิณหรือเ้าคะ?” โม่เสวี่ยถงเบิกตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ มองโม่ฮว่าเหวินที่พูดซ้ำใหม่อีกรอบ
“ใช่แล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าคุณชายไป๋จะมองเห็นเนื้อแท้ของถงเอ๋อร์ ว่าเป็ดั่งไม้งามที่ควรค่านำมาแกะสลักให้เป็ยอดนักพิณ ถึงขนาดมาเชิญให้ถงเอ๋อร์ไปเรียนพิณด้วยตนเอง นี่เป็เื่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเชียวนะ” โม่ฮว่าเหวินหัวเราะลั่น เมื่อเห็นสีหน้าเหลอหลาดูน่ารักของบุตรสาว ก็เอื้อมมือไปลูบศีรษะอย่างอดไม่ได้ อารมณ์ดีมีความสุขอย่างยิ่ง
ชุมนุมพิณของไป๋อี้เฮ่า ใช่ว่าคนธรรมดาสามัญคิดอยากจะเข้าก็เข้าไปได้ จะต้องเป็ผู้มีชื่อเสียงแห่งแคว้นฉินเท่านั้น เชิงพิณของไป๋อี้เฮ่ากล่าวได้ว่าล้ำเลิศเป็ลำดับสองรองจากวิชาแพทย์ของเขา เื่วิชาแพทย์แม้จะเป็หนึ่ง แต่กลับไม่ใช่สิ่งที่เหล่าคุณหนูทั้งหลายรำลึกถึง มีเพียงวิชาพิณเท่านั้นที่แสดงถึงความสูงส่งสง่างามเป็ที่กล่าวขวัญไปทั้งเมืองหลวง
คุณหนูทุกตระกูลต่างใฝ่ฝันจะได้เรียนพิณกับไป๋อี้เฮ่ากันทั้งสิ้น แต่ไป๋อี้เฮ่าหรือจะใส่ใจ ครั้นแล้วพวกนางก็กลับไปที่บ้านอ้อนวอนกับบิดาของตนเอง แต่ขุนนางเ่าั้ไม่มีสถานะสูงส่งพอที่จะไปขอร้องให้ไป๋อี้เฮ่าสอนพิณให้บุตรสาว จึงให้ฮูหยินของตนพาบุตรสาวไปเข้าเฝ้าไทเฮากันเป็ทิวแถว เพื่อขอร้องให้พระนางทรงช่วยเกลี้ยกล่อมให้
เมื่อมีคนที่หนึ่งก็ย่อมมีคนที่สองตามมา ทำให้ไป๋อี้เฮ่านึกรำคาญอย่างยิ่ง แต่ก็จนหนทางเพราะถูกไทเฮาบังคับ จึงตัดสินใจว่าต้นฤดูใบไม้ผลิของทุกปีจะรับสอนพิณให้คุณหนูทุกจวนเป็เวลาหนึ่งเดือน แต่มีข้อแม้ว่าคุณหนูที่้าเข้าร่วมเรียนพิณจะต้องผ่านการทดสอบของเขาก่อน หากมีความสามารถแท้จริง จึงจะมีสิทธิเข้าเรียนได้
ผู้ที่ได้รับการยอมรับจากไป๋อี้เฮ่า นอกจากจะได้เรียนพิณกับเขาแล้ว ไม่ว่าจะไปคุยที่ไหนก็สามารถเชิดหน้าชูตาได้เป็ร้อยเท่า และที่สามารถได้เรียนพิณกับบุคคลที่สูงส่งเสมือนเทพเซียนเช่นไป๋อี้เฮ่าก็ยิ่งเป็ที่อิจฉาริษยาของเหล่าคุณหนูมากมาย ่เวลาดังกล่าวก็มีเหล่าคุณหนูมาร่วมการทดสอบของเขามากมาย แต่ผู้ที่ผ่านการทดสอบกลับมีเพียงหนึ่งในสิบเท่านั้น
“ท่านพ่อ วิชาพิณของถงเอ๋อร์ก็นับว่าพอใช้ได้ ไม่ต้องไปเรียนกับคุณชายไป๋หรอกเ้าค่ะ นอกจากนี้ชายหญิงล้วนแตกต่าง การไปเรียนพิณเป็การส่วนตัวเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะสมนะเ้าคะ” โม่เสวี่ยถงแอบเบะปาก เอ่ยปฏิเสธด้วยรอยยิ้มใสซื่อ
“วางใจได้ คุณชายไป๋เป็ผู้สูงส่งดั่งเมฆาที่ล่องล่องอยู่บนท้องฟ้า เขาคนเดียวสอนสตรีสิบกว่าคน มีคนไหนบ้างที่ไม่ใช่หญิงสาวในห้องหอ ฉินเซ่อรู้ทำนอง[1] ไม่ว่าใครต่างก็คิดว่าเป็เื่ที่มีเกียรติ แม้แต่พระธิดาของจักรพรรดิยังต้องไปศึกษาวิชาพิณที่นั่น ยากนักที่คุณชายไป๋จะมาเชื้อเชิญด้วยตนเอง นี่เป็เื่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ถงเอ๋อร์ไปเรียนก็จะได้รู้จักกับสตรีสูงศักดิ์ของเมืองหลวงได้คบหากันเป็สหาย นี่เป็เื่ดีอย่างยิ่ง พ่อตอบตกลงไปแล้ว รอฤดูใบไม้ผลิปีหน้ามาถึงเ้าก็ไปเรียนเถิด พ่อจะจัดเตรียมพิณชุดหนึ่งให้เ้าเอง” โม่ฮว่าเหวินหัวเราะอย่างมีความสุข สีหน้าเต็มไปด้วยความภูมิใจอย่างปิดไม่มิด
“โอกาสใช่ว่าจะร้องขอกันได้ง่ายๆ ยากนักที่คุณชายไป๋จะมีใจเช่นนี้ อีกสองสามวันพ่อจะพาเ้าไปขอบคุณเขา”
เห็นโม่ฮว่าเหวินมีความสุขเช่นนี้และตอบตกลงไปแล้ว ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ โม่เสวี่ยถงจนใจไม่กล้าพูดมากอีก อย่างไรเสียก็ต้องรอถึงต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ยังมีเวลาอีกสองเดือน พอถึงเวลาอาจมีความเปลี่ยนแปลงอีกก็ได้ ตนเองไม่ควรขัดความประสงค์ของบิดาในยามนี้ ยิ่งไปกว่านั้นนางเข้าใจความหมายของโม่ฮว่าเหวิน ในใจจึงเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
ที่แท้เขาก็เอาใจใส่นางจริงๆ ฟังจากวาจาที่เอ่ยมา ท่านพ่อคงกลัวว่านางจะหาทางคบหากับคุณหนูผู้สูงศักดิ์ของเมืองหลวงสกุลอื่นไม่ได้ และกลัวว่านางจะถูกคุณหนูเ่าั้กีดกัน แต่ในชาติที่แล้ว นางมิได้ัักับความรักและความเป็ห่วงของบิดาในส่วนนี้
“เ้าค่ะ ถงเอ๋อร์ล้วนเชื่อฟังท่านพ่อทุกอย่าง” นางไม่ดื้อดึงต่อไป ทำท่าแลบลิ้น แล้วยิ้มกล่าวอย่างคล่องแคล่วเฉลียวฉลาด
“เ้าผีตัวน้อย!” เห็นบุตรสาวทำตัวน่ารักสดใสเช่นนั้น โม่ฮว่าเหวินก็ใจอ่อนยวบ ทำทีดุแล้วหัวเราะออกมา
โม่เสวี่ยถงยิ้มพราย ดวงตาสุกสกาวกลอกไปมา แล้วเปลี่ยนเื่คุย นางหยิบจดหมายของลั่วปินออกมาจากอกเสื้อมอบให้แก่โม่ฮว่าเหวิน แล้วมุ่ยปากน้อยๆ กล่าวคล้ายตัดพ้อ
“ท่านพ่อ ดูสิเ้าคะ นี่เป็จดหมายที่ท่านลุงรองฝากมาให้ ยังกำชับด้วยว่าจะต้องมอบให้ท่านยามที่อยู่คนเดียวเท่านั้น ไม่รู้ว่าท่านลุงรองมีความลับอะไรนักหนา จึงไม่อนุญาตให้ถงเอ๋อร์รับรู้ด้วย ถึงกับปิดผนึกหน้าซองไว้แ่าขนาดนั้น”
โม่ฮว่าเหวินอึ้งงัน รับจดหมายมา สีหน้าทะมึนลงเล็กน้อย แต่ดูเหมือนว่ากลัวโม่เสวี่ยถงจะเห็นเข้า จึงวางจดหมายไว้อีกด้านอย่างไม่นำพา บอกกับโม่เสวี่ยถงด้วยรอยยิ้ม “ท่านย่าของเ้ามาแล้ว เดี๋ยวเ้าก็อย่าลืมไปคารวะท่านด้วย”
โม่เสวี่ยถงเห็นแววทะมึนภายใต้ก้นบึ้งดวงตาของเขา ชั่วพริบตานั้นคล้ายความเศร้าสลดไหลบ่าเข้ามา แม้ว่าตัวยังนั่งหลังตรงอยู่ตรงนั้น แต่นางก็ััได้ถึงความอ้างว้าง
เป็เพราะจดหมายฉบับนั้นแน่!
แต่โม่ฮว่าเหวินสงวนวาจา นางจึงไม่กล้าถาม
“ท่านย่ามาแล้ว? เพิ่งมาถึงวันนี้หรือเ้าคะ” นางถามด้วยรอยยิ้ม แล้วเปลี่ยนไปคุยเื่เดียวกับโม่ฮว่าเหวิน
“มาถึงั้แ่เมื่อคืนแล้ว อาจจะอยู่ฉลองปีใหม่ก่อนถึงจะกลับ เ้าเพิ่งกลับมาก็ไปพบท่านก่อน พี่เสวี่ยเยี่ยนของเ้าก็มาด้วย เป็เพื่อนกับพวกเ้าได้พอดี รีบไปเถอะ” โม่ฮว่าเหวินอมยิ้มกล่าวกำชับ กลัวว่านางจะไม่รู้จักโม่เสวี่ยเยี่ยน จึงแนะนำไว้ก่อน
“เ้าค่ะท่านพ่อ เช่นนั้นถงเอ๋อร์ไปก่อนนะเ้าคะ” โม่เสวี่ยถงลุกขึ้น ขณะที่เดินไปได้เพียงสองก้าวก็หันตัวกลับมา เห็นรอยยิ้มของโม่ฮว่าเหวินค่อยๆ ถอดออกจากสีหน้า หัวคิ้วมุ่นขมวด ก็ย่นจมูกกล่าวอย่างไม่สบายใจ “ท่านพ่อ อากาศหนาวขนาดนี้ ในห้องหนังสือก็ไม่ค่อยอบอุ่น เรียกให้คนเอาเตาอุ่นมาเพิ่มเถิด มิเช่นนั้นถงเอ๋อร์จะไม่สบายใจนะเ้าคะ”
กล่าวจบก็มองโม่ฮว่าเหวินด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
“ได้ เดี๋ยวพ่อจะเรียกให้คนไปเอาเตาอุ่นมาเพิ่ม” โม่ฮว่าเหวินอมยิ้มกล่าวรับคำ มองบุตรสาวเดินออกจากห้องหนังสือไปด้วยแววตาอ่อนโยน หลังจากนั้นก็หยิบจดหมายออกมาเปิดอ่าน หัวคิ้วค่อยๆ มุ่นเข้าหากันอย่างช้าๆ สีหน้าเปลี่ยนเป็เย็นเยียบ
โม่หลันยืนรอปรนนิบัติอยู่ใต้ชายคาระเบียง เมื่อเห็นโม่เสวี่ยถงออกมา ก็รีบส่งเตาอุ่นมือให้นางอุ้มไว้ แล้วคอยประคองผู้เป็นายอยู่ด้านหลัง หิมะหยุดตกแล้ว มีเพียงเกล็ดหิมะเล็กๆ ที่ลอยละล่องอยู่ในอากาศ บนกิ่งไม้ ใบไม้บนต้น ูเาจำลอง สระน้ำล้วนถูกคลุมด้วยหิมะอีกชั้นดูราวกับสวมเกราะหยกไว้
อากาศในเมืองหลวงโดยมากมักจะเป็เช่นนี้ วันนี้ไม่ถือว่าเป็วันหิมะตกหนักเท่าใดนัก แม้จะมีตกหนักบาง่ แต่ก็ไม่นานนัก เดี๋ยวเดียวก็เหลือเพียงเกล็ดหิมะเล็กๆ น้อยๆ แม้จะดูเหมือนตกแรง ทว่าก็มิได้คลุมหนามาก แต่เป็เช่นนี้ก็ดี บ่าวที่กวาดหิมะจะได้ไม่ต้องเปลืองแรงนัก
สีขาวโพลนที่ครอบคลุมอยู่เต็มสวนทำให้รู้สึกเหน็บหนาว นางเดินไปตามทางเล็กในสวนช้าๆ นึกถึงฉากเมื่อครู่ แม้บิดาจะยิ้มบางๆ แต่แววตากลับมืดลึก ทำให้รอยยิ้มประดับอยู่แค่บนใบหน้า แต่กลับไปไม่ถึงหัวใจ จดหมายฉบับนั้นมีอะไรกันแน่ ทำไมพอท่านพ่อได้รับจดหมายจากลุงรอง ยังไม่ทันเปิดอ่านก็หน้าถอดสีเสียแล้ว
ชาติที่แล้วนางไม่รู้ว่าระหว่างท่านพ่อและท่านลุงรองมีการติดต่อกันหรือไม่ ยามนั้นนางสนใจแต่ความทุกข์ตรมของตนเอง จนไม่เคยสังเกตเื่นอกตัวมาก่อน ยามนี้เมื่อมาตรองดู สิ่งที่นางพลาดไปก็มิได้มีเพียงจุดนี้ ไฉนท่านลุงรองจึงนำจดหมายลับมาให้ และเหตุใดสีหน้าของท่านพ่อจึงดูตึงเครียด หนาวเหน็บ เศร้าสลด ชั่วพริบตานั้นนางถึงขั้นัักับความรู้สึกหนาวเยือกได้เลย
่เวลานั้นท่านพ่อดูสลดลงไป แม้แต่รอยยิ้มก็ยังต้องฝืนออกมา
ทำไมท่านลุงรองไม่พบปะติดต่อกับท่านพ่ออย่างเปิดเผย หรือว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะมิได้จืดจางอย่างที่นางคิด?
ชาติที่แล้วนางไม่สนใจเื่ราวเหล่านี้เลย แม้จนถึงตอนที่ตนเองตาย ก็ดูเหมือนว่าท่านพ่อกับท่านลุงรองก็มิได้ไปมาหาสู่กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากฟางอี๋เหนียงเลื่อนขึ้นมาเป็ภรรยาเอก ความสัมพันธ์กับสกุลลั่วก็เกือบจะถูกผนึกด้วยน้ำแข็ง ท่านลุงใหญ่ถึงกับเข้ามาหักหน้าโม่ฮว่าเหวินในงานแต่งงานของโม่เสวี่ยถง วางป้ายชื่อของมารดาไว้ตำแหน่งสูงสุด ฟางอี๋เหนียงได้แต่ยืนก้มหน้าร้องไห้ก้มหัวคารวะให้ ฉีกหน้าท่านพ่อจนเละไม่มีชิ้นดี
โม่เสวี่ยถงพลันชะงักเท้า
นับั้แ่มารดาเสียชีวิต ดูเหมือนว่าจะมีเส้นสายบางอย่างที่คอยสร้างความวุ่นวายให้จวนโม่และจวนลั่วอยู่ตลอดเวลา...
หลังจากท่านแม่ตาย ตนเองก็สูญเสียความโปรดปรานจากท่านพ่อ สาวใช้รุ่นใหญ่หลายคนมีอันเป็ไป มีคนชุดดำในห้องท่านแม่ เรือนร้างในจวนฝู่กั๋วกงที่มองเห็นห้องของท่านแม่ได้ จดหมายของท่านลุงรอง สีหน้าของท่านพ่อ...
นางตกหล่นสิ่งใดไปบ้างกันแน่?
หัวคิ้วขมวดเล็กน้อย เดินกลับเรือนอย่างเงียบเชียบ นั่งลงภายในห้องของตนเอง เรียกโม่เหอที่คุกเข่าอยู่ตรงระเบียงให้เข้ามา แต่ก็มิได้ว่ากล่าวอันใด เพียงแต่ให้นางตรองให้กระจ่างว่าจะอยู่หรือจะไป แล้วแต่ใจนาง โม่เหอร้องไห้กลับไปที่ห้องของตนเอง สาวใช้คนที่เหลือคิดจะตามไปปลอบใจ แต่ดูจากสีหน้าเย็นะเืของโม่เสวี่ยถง ในที่สุดก็ไม่มีใครกล้าพูด
หลังจากล้างหน้าล้างตาหวีผมเรียบร้อยแล้ว โม่เสวี่ยถงก็พาโม่อวี้และโม่เยี่ยไปคารวะท่านย่ารองของตนเอง
ความจริงแล้วท่านย่าหรือที่นางเรียกว่าเหล่าไท่ไท่ผู้นี้มิใช่มารดาที่แท้จริงของท่านพ่อ แต่เป็มารดารองของเขาและเป็อนุภรรยาของท่านปู่ ได้ยินมาว่าท่านเป็คนมีความสามารถ ท่านปู่เสียชีวิตไปนานแล้ว มารดาของท่านพ่อก็จากไปั้แ่เขายังเล็ก
เหล่าไท่ไท่เป็ผู้เลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่มาด้วยความยากลำบาก นางปฏิบัติต่อโม่ฮว่าเหวินอย่างเท่าเทียมกับบุตรของตน สิ่งใดที่โม่ฮว่าเหยียนมี โม่ฮว่าเหวินก็ไม่เคยขาด ทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งต่อมารดารองผู้นี้อย่างยิ่ง ต่อมาเขาสอบได้ตำแหน่งขุนนางั้แ่อายุยังน้อย โม่ฮว่าเหยียนสอบไม่ผ่าน เลือกไปทำการค้า ท่านย่าของนางผู้นี้จึงตัดสินใจไปอยู่กับบุตรชายของตนเอง ดังนั้นจึงอาศัยที่บ้านเดิมมาโดยตลอด
แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน โม่ฮว่าเหวินก็ยังซาบซึ้งในพระคุณของเหล่าไท่ไท่เสมอมา ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าโม่ฮว่าเหยียนจะพาครอบครัวมาเมืองหลวง จึงเชิญท่านย่ามาพักที่นี่ ครอบครัวจะได้อยู่ฉลองปีใหม่ร่วมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
ในชาติที่แล้วโม่เสวี่ยถงได้พบเหล่าไท่ไท่ในวันแต่งงาน ยามนั้นท่านพ่อถูกท่านลุงบีบบังคับจนเสียหน้า เหล่าไท่ไท่ก็เข้ามานั่งในตำแหน่งาุโสูงสุดของบ้าน แล้วนำป้ายของมารดาวางไว้อีกด้านหนึ่ง ด้วยฐานะาุโหญิงของตระกูล จึงช่วยรักษาหน้าท่านพ่อไว้ได้ ไม่ถึงกับทำให้ท่านพ่อซึ่งเวลานั้นดำรงตำแหน่งเป็ขุนนางขั้นสองแล้ว ต้องเสื่อมเสียเกียรติมากนัก
แต่ฟางอี๋เหนียงยังถูกท่านลุงใหญ่กักตัวไว้อีกด้าน โม่เสวี่ยถงอยู่ด้านข้างไม่กล้าพูดมาก ทว่ากลับเต็มไปด้วยความไม่พึงพอใจ รู้สึกว่าท่านลุงใหญ่ทำเช่นนี้เป็การหักหน้าฟางอี๋เหนียง หลังจากนั้นโม่เสวี่ยิ่ก็มาโอดครวญว่าฟางอี๋เหนียงไม่ได้รับความเป็ธรรมและรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง กล่าวว่าฟางอี๋เหนียงเลี้ยงดูตนเองมาจนโต แม้แต่งานแต่งยังไม่มีสิทธินั่งในตำแหน่งมารดาเลยหรือ ด้วยเหตุนี้ตนเองจึงทำตัวห่างเหินกับท่านลุงทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
ยามนี้มาคิดดู แม้ว่าท่านลุงใหญ่จะเป็คนมุทะลุดุดัน แต่กลับรักมารดาของนางยิ่ง มีเพียงเขาเท่านั้นที่เห็นความสำคัญของงานแต่งงานของตนเองเทียบเท่ากับมารดา เมื่อคิดถึงน้องสาวก็ปรารถนาให้นางเห็นตนเองมีความสุข แต่ตอนนั้นนางไม่เข้าใจความคิดของท่านลุงใหญ่ ใจนึกแต่โกรธเคืองเขาว่ายุ่งวุ่นวายไม่เข้าเื่
ไม่รู้ว่าท่านแม่ที่อยู่ในปรโลกเห็นนางห่างเหินกับบ้านท่านตาท่านยายเช่นนี้ จะรู้สึกเสียใจหรือไม่
เมื่อไปถึงเรือนของเหล่าไท่ไท่ หญิงรับใช้าุโก็เข้าไปรายงาน ข้างในอนุญาตให้เข้าพบได้ เหล่าไท่ไท่นั่งอยู่ตำแหน่งสูงสนทนากับโม่เสวี่ยถงอยู่สองสามประโยคก็ให้นางกลับ หลังจากออกประตูมาก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานออกมาจากด้านใน นั่นคือเสียงของโม่เสวี่ยเยี่ยนลูกผู้พี่ของนางกำลังฉอเลาะให้เหล่าไท่ไท่หัวเราะอย่างเบิกบานใจ
แต่นางต่างหากที่เป็หลานสาวแท้ๆ ของเหล่าไท่ไท่ ด้วยเหตุผลนี้จึงพอรับได้
เมื่อกลับมาถึงเรือน โม่หลันก็เข้ามาช่วยถอดเสื้อคลุมและกล่าวรายงาน “คุณหนู ท่านป้าิมาแล้วนะเ้าคะ”
“นางมาได้อย่างไร?” โม่เสวี่ยถงถามด้วยสีหน้าตะลึงพรึงเพริด นางแค่ให้คนไปถามความกับแม่นมิ แต่มิได้เรียกให้นางมา
“ได้ยินว่าเป็คำสั่งของนายท่านเ้าค่ะ ท่านป้าเป็แม่นมของฮูหยิน อีกอย่างก็อายุมากแล้ว หากปล่อยให้อยู่เมืองอวิ๋นเฉิงคนเดียวย่อมไม่เหมาะสม”
“พรุ่งนี้เ้าไปเชิญแม่นมิมาที่นี่ บอกว่าข้ามีเื่จะถาม”
……………………………………………………………………………………………….........
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ฉิน คือพิณโบราณ หรือปัจจุบันเรียกว่ากู่ฉิน เป็พิณที่มีเจ็ดสาย เส้อ คือพิณโบราณอีกชนิดมียี่สิบห้าสาย ฉินเซ่อรู้ทำนองหมายถึงผู้เล่นดนตรีย่อมรู้ใจกัน ดนตรีเป็ตัวกลางในการสื่อถึงความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ สะท้อนความรู้และภูมิปัญญา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้