ด้านล่างของหมอนใบนั้น แน่นอนว่าไม่ใช่สมุดบันทึกอะไรแต่เป็มีดบินเล่มหนึ่ง
มีดบินนั้นรวดเร็วดุจสายฟ้า!
แต่ว่าหยางหนิงนั้นมีใจระแวงเซียวอี้ซุ่ยอยู่ตลอด จึงระมัดระวังตัวอยู่เสมอ ในวินาทีที่เซียวอี้ซุ่ยสะบัดมือนั้น หยางหนิงก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติแล้วโดยร่างกายของเขาได้ทำการเอียงหลบไปด้านข้างแล้วล่วงหน้า มีดบินเล่มนั้นกรีดผ่านแก้มของหยางหนิงไปเล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะตอบสนองได้ทันการ เกรงว่ามีดบินเล่มนั้นคงได้ผ่าทะลุกลางหน้าผากแล้ว
เซียวอี้ซุ่ยเดิมคิดจะอาศัยความมืดมิดนี้ลงมือกะทันหันโดยคิดว่าจะต้องมีความสำเร็จถึงเก้าส่วน แต่กลับนึกไม่ถึงว่ามีดบินจะพลาดเป้า ทำให้เกิดสีหน้าตกตะลึง ร่างกายเตรียมจะกลิ้งกลับเข้าไปด้านใน ทว่าหยางหนิงนั้นตอบสนองได้เร็วมาก เขาใช้ดาบใหญ่ฟันลงบนคอของเซียวอี้ชุ่ยอย่างแรง
เซียวอี้ซุ่ยที่ขาท่อนล่างถูกตัดออกไปแล้วนั้นก็มีการเคลื่อนไหวที่ช้าลง เสียง “ฟู่” ดังขึ้นก่อนที่เส้นเืบนลำคอจะถูกหยางหนิงฟันขาดด้วยดาบเดียว โลหิตแดงสดพุ่งทะยานออกมา ก่อนที่เซียวอี้ซุ่ยจะรู้สึกว่าร่างกายของตนหายวับไปในชั่วพริบตา แม้แต่เรี่ยวแรงที่จะร้องะโออกมาก็ยังไม่มี เขายกมือขึ้นทาบลงบนลำคอที่ถูกฟันของตน ก่อนที่ร่างกายจะเริ่มกระตุกและดวงตาทั้งสองถลนออกมา เขาดิ้นไปมาอยู่บนเตียงไม่กี่ครั้งก่อนที่ร่างกายจะไม่สามารถขยับต่อไปได้อีก
หยางหนิงมิใช่คนที่ฆาตกรรมคนจนชินชา คืนนี้เขาสังหารคนไปแล้วถึงสองคน ความจริงร่างกายของเขาก็สั่นระริกอยู่เล็กน้อย เขามิได้คุ้นชินกับการสังหารคนเช่นนี้
แต่ว่าพวกคนเหล่านี้ที่เทียบไม่ได้แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน ทำการอันใดไร้ซึ่งมนุษยธรรมนี้ ต่อให้สังหารคนเหล่านี้ไป หยางหนิงก็ไม่มีความรู้สึกผิดอันใดเลยแม้แต่น้อย
ในใจของเขารู้ดีว่าคนเช่นนี้หากไม่กำจัดเสียั้แ่ตรงนี้ ก็มีแต่จะทำให้คนอีกมากต้องตกระกำลำบาก บางทีการสังหารคนก็คือการช่วยคน
หลังจากที่บรรยากาศโดยรอบเริ่มกลับมาสงบสุขแล้ว หยางหนิงถึงจะทำการดึงเซียวอี้ซุ่ยลงมาจากเตียง
ภายใต้ความมืด หยางหนิงเหลือบไปเห็นฮูหยินฮวาที่นอนสลบไม่ได้สติ เขาจึงหมุนตัวเดินไปหยิบกาน้ำชาบนโต๊ะมา และอ้าปากอมน้ำในกาไว้คำหนึ่ง ก่อนจะเดินกลับไปที่เตียงและวางดาบทาบลงบนลำคอของฮูหยินฮวา เมื่อมองเห็นร่างกายที่มีผิวขาวเนียนของฮูหยินฮวาที่อยู่เบื้องหน้าประกอบกับทรวงอกอวบอิ่มที่ค่อยๆ ขยับขึ้นลงตามแรงหายใจ เขาก็ดึงหมอนมาปิดบริเวณทรวงอกของนางก่อนจะทำการพ่นน้ำเย็นในปากของตนใส่ใบหน้าของฮูหยินฮวา
เป้าหมายของเขาในคืนนี้เดิมไม่ใช่การขจัดคนชั่ว แต่เป็การตามหาเบาะแสของเสี่ยวเตี๋ย แต่เพราะสถานการณ์บีบบังคับทำให้เขาจำต้องสังหารคน ตอนนี้เซียวอี้ซุ่ยได้ตายไปแล้ว เบาะแสของเสี่ยวเตี๋ยคงได้แต่ต้องฟังจากปากของฮูหยินฮวาแล้ว
น้ำชาเย็นชืดพ่นใส่ใบหน้าของฮูหยินฮวา เมื่อถูกความเย็นกระทบเข้าใส่ก็ทำให้ฮูหยินฮวาค่อยๆ มีสติขึ้นมา นางลืมตาขึ้นด้วยแววตาพร่าเลือน ก่อนจะรู้สึกถึงความเย็นที่ทาบอยู่บนลำคอของตนและเห็นถึงแววตาเยือกเย็นที่จ้องผ่านมาท่ามกลางความมืดมิดผ่านในห้อง ร่างกายของนางก็สั่นสะท้านก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเบา “อย่า...อย่าฆ่าข้า...!”
“พวกหญิงสาวถูกส่งไปที่ใดแล้ว?” หยางหนิงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ตอบมาตามจริง บางทีอาจให้เ้ามีชีวิตอยู่ต่อ!”
น้ำเสียงของฮูหยินฮวาสั่นเครือ “ไม่ใช่ข้า ล้วนแต่เป็ฝี...ฝีมือของเซียวอี้ซุ่ย ท่าน...ท่านจอมยุทธ์ ขอท่านได้โปรดไว้...ไว้ชีวิตด้วย ข้า...ข้าถูกบีบบังคับให้ทำ!” เวลานี้สีหน้าของนางซีดเซียว ท่วงท่าเย้ายวนผู้คนก่อนหน้านี้ได้มลายหายไปจนหมดแล้ว
“คนถูกส่งไปที่ใด?” หยางหนิงเอ่ยถามอีกครั้ง “หากยังเวิ่นเว้อ จะฟันให้ตายเสียตรงนี้!”
ศพของเซียวอี้ซุ่ยนั้นอยู่ด้านข้าง ทำให้ฮูหยินฮวารู้ดีว่าฝ่ายตรงข้ามมิได้ทำการล้อเล่น เวลานี้ในใจนางอยากแค่จะมีชีวิตอยู่ต่อ จึงรีบทำการเอ่ยสารภาพ “พวกนางล้วนแต่...ล้วนแต่ถูกส่งไปที่เมืองหลวง”
“ส่งไปที่ใดของเมืองหลวง?”
“ข้า...ข้าไม่รู้จริงๆ” สีหน้าของฮูหยินฮวาขาวซีด “ข้าเคยได้ยินเซียวอี้ซุ่ยพูดว่าเฝิงเจิ้งเชิ่งพาคนออกไปจากที่แห่งนี้และพาออกไปนอกเมือง ด้านนอกเมืองจะมีคนรับเื่ต่อ จากนั้นก็จะถูกส่งตรงไปยังเมืองหลวง”
หยางหนิงรู้ว่าเฝิงเจิ้งเชิ่งนั้นต้องเป็อีกชื่อของสุนัขบ้าอย่างมือปราบเฝิงเป็แน่ จึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “นอกเมืองมีผู้ใดรับเื่ต่อ?”
ฮูหยินฮวาลังเลไปชั่วขณะขณะที่แววตาเป็ประกายขึ้นแวบหนึ่ง หยางหนิงจึงส่งเสียงหึเบาๆ ในลำคอทำให้นางไม่กล้าลังเลอีกต่อไปแล้วจึงรีบเอ่ยตอบ “เป็...เป็สำนักคุ้มกัน”
“สำนักคุ้มกัน?” หยางหนิงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ คิดไม่ถึงว่าแม้แต่สำนักคุ้มกันก็จะถูกดึงให้มาเกี่ยวข้องด้วย ดูเหมือนว่าผู้มีอำนาจที่เข้ามาข้องเกี่ยวกับธุรกิจค้ามนุษย์นี้จะมีไม่น้อยเลย
ฮูหยินฮวารีบเอ่ยต่อ “ลูกน้องของเซียวอี้ซุ่ยนั้นทำการหลอก...หลอกพวกหญิงสาวเหล่านี้ให้มาอยู่ในกำมือ จากนั้น...จากนั้นก็ส่งมาฝึกฝนที่นี่ รอจนพวกนางเริ่มมีพื้นฐานบ้างแล้ว เฝิงเจิ้งเชิ่งก็จะค่อยลอบส่งพวกนางออกไปนอกเมือง” นางคิดอยากจะเอาใจเสี่ยวเตียวเอ๋อร์เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อจึงรีบทำการอธิบายต่อ “เซียวอี้ซุ่ยเคยพูดว่าพวกหญิงสาวเหล่านี้ขอเพียงรู้เกี่ยวกับด้านบทเพลงการร่ายรำเล็กน้อย ราคานั้นก็จะพุ่งขึ้นสูงมาก สองปีมานี้เขาก็ใช้สิ่งนี้มาสร้างรายได้จำนวนไม่น้อยให้กับตน”
“สำนักคุ้มกันที่เ้าพูดถึง หมายถึงหน่วยงานใด?” หยางหนิงเอ่ยถาม “คือสำนักคุ้มกันของเมืองอำเภอนี้งั้นหรือ?”
ฮูหยินฮวาเอ่ยตอบ “เป็สำนักคุ้มกันใหญ่ ข้าเองก็เคยถามเซียวอี้ซุ่ย เขา...เขาไม่ให้ข้าเอ่ยถามให้มากความ เพียงแต่พูดว่าสำนักคุ้มกันนั้นถือเป็ระดับต้นๆ ของสำนักคุ้มกันใหญ่ในเมืองหลวง”
“สำนักคุ้มกันใหญ่ในเมืองหลวง? พวกเขาจะมาทำเื่ชั่วช้าเช่นนี้กับพวกเ้าได้อย่างไร?” หยางหนิงเอ่ยออกมาพร้อมยิ้มอย่างเยือกเย็น “เ้ากำลังโกหกอยู่ใช่หรือไม่?”
“ข้าไม่กล้าทำเช่นนั้นแน่...!” สีหน้าของฮูหยินฮวาเปลี่ยนไปในทันที “ข้าเองก็ได้ยิน...ได้ยินมาจากเซียวอี้ซุ่ย เขา...เขายังบอกอีกว่า...!” เสียงของนางสั่นสะท้าน ไม่กล้าทำการเอ่ยต่อขึ้นมากะทันหัน
“เขายังบอกว่าอะไรอีก?”
“เขา...เขายังบอกว่าเื้ัของสำนักคุ้มกันนั้นมีคนใหญ่คนโตอยู่ หญิงสาวเ่าั้เมื่อถูกส่งไปที่เมืองหลวงแล้วก็ล้วนแต่ตกอยู่ในน้ำมือของคนใหญ่คนโตผู้นั้น” ฮูหยินเอ่ยตอบเสียงสั่น “คนใหญ่คนโตนั้นสามารถใช้ให้หญิงสาวเหล่านี้ไปทำประโยชน์ได้มากมาย เขายังพูดอีกว่าต่อให้เื่นี้ถูกคน...ถูกคนรู้เข้าจริงๆ ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะว่ามีคนใหญ่คนโตนั้นให้การสนับสนุน ไม่มีใครสามารถก่อความวุ่นวายได้”
“คนใหญ่คนโต?” หยางหนิงรู้ในทันทีว่าคนใหญ่คนโตนี้จะต้องเป็ผู้สนับสนุนที่เซียวอี้ซุ่ยเอ่ยถึงแน่นอน จึงยิ้มเย็นพร้อมเอ่ยต่อ “เขามิได้บอกกับเ้าว่าคนใหญ่คนโตผู้นั้นเป็ใคร?”
ฮูหยินฮวาเอ่ยตอบ “เขามีเื่มากมายที่ไม่ได้บอกให้ข้ารู้ ยังพูดอีก...ยังพูดอีกว่ายิ่งรู้เยอะก็จะยิ่งตายเร็ว... สิ่งที่ข้ารู้ก็มีแค่นี้แล้ว เื่อื่นข้าไม่รู้จริงๆ”
“เช่นนั้นที่นี่มีแม่นางที่ชื่อเสี่ยวเตี๋ยอยู่หรือไม่?” หยางหนิงเอ่ยถาม “ตอนนี้นางเองถูกส่งไปที่เมืองหลวงแล้ว?”
ฮูหยินฮวาทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา “เ้าหมายถึงเสี่ยว...เสี่ยวเตี๋ย? ใช่ นาง...นางเองก็ถูกส่งออกไปแล้ว”
“ถูกส่งออกไปเมื่อใด?”
“ส่งไปได้สามวันแล้ว” ฮูหยินฮวาเอ่ยต่อ “ส่งจากที่แห่งนี้ไปยังเมืองหลวงเจี้ยนอันต้องใช้เวลาเดินทางประมาณสิบกว่าวัน พวกเขา...พวกเขาน่าจะไปได้ครึ่งทางแล้ว”
หยางหนิงส่งเสียงรับคำในลำคอเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ เก็บดาบลง ฮูหยินฮวาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ทว่าหยางหนิงกลับเอ่ยเสียงเรียบออกมาอีกครั้ง “หันไปทางนั้น!”
ฮูหยินฮวารู้สึกว่าหัวใจบีบแน่นก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงสั่น “ท่านจอมยุทธ์ ท่าน...!”
“รีบหันหน้าไป” หยางหนิงเอ่ยออกมาเสียงเย็น “เลิกพูดพล่ามเสียที”
ฮูหยินฮวาหวาดผวาด้วยความกลัว ทว่าภายใต้คมดาบ นางก็ไม่สามารถทำการคัดค้านได้ ได้แต่เอียงตัวไปเล็กน้อยและหมุนศีรษะไปอีกทาง หยางหนิงได้เปลี่ยนตำแหน่งการจับของด้ามดาบแล้ว เขาทุบมันอย่างแรงลงบนท้ายทอยของฮูหยินฮวา ฮูหยินฮวาส่งเสียงฮึกออกมาเบาๆ ก่อนจะสลบลงไป
แม้ว่าหยางหนิงจะรู้สึกว่าการกระทำของฮูหยินฮวาก็น่าไม่อายเช่นกัน ทว่าเขาเองก็รู้ว่าการที่หญิงม่ายจะใช้ชีวิตต่อนั้นไม่ใช่เื่ง่าย อีกทั้งการอยู่ภายใต้คนอย่างเซียวอี้ซุ่ยนั้นก็ไม่อาจทำอะไรตามใจตนได้ ไร้ซึ่งสิทธิ์เสียงในการต่อต้านเซียวอี้ซุ่ย แม้ว่าการกระทำของนางจะชั่วร้าย แต่โทษก็ไม่ถึงตาย ไม่ควรจะใจร้ายถึงขั้นลงมือสังหารนาง
เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าอย่างเร็วที่สุดฮูหยินฮวาก็ต้องใช้เวลาถึงสามสี่ชั่วยามจึงจะฟื้นขึ้นมาได้ ตอนนี้จึงทำการเดินย่องค้นของด้านในห้องพักอยู่รอบหนึ่ง เซียวอี้ซุ่ยนั้นมีถุงเงินอยู่ถุงหนึ่งจริง ๆ ด้วย อีกทั้งด้านในยังมีเศษเงินอยู่ไม่น้อย อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะมีประมาณสิบกว่ายี่สิบกว่าตำลึง นอกจากนี้ยังมีใบทองคำอีกหลายแผ่นอยู่ในถุงเงินด้วย
นอกจากนี้เซียวอี้ซุ่ยยังมีแหวนอีกวงหนึ่ง และฮูหยินฮวาก็มีเครื่องประดับเงินทองอยู่ไม่น้อย หยางหนิงหาถุงผ้าพบใบหนึ่งจึงได้นำของมีค่าจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านี้ห่อเข้าไปด้านใน แค่เงินสดที่มีในตอนนี้ก็ราวๆ สองร้อยกว่าตำลึงแล้ว
มือหนึ่งของเขาถือถุงผ้าเอาไว้ ขณะที่อีกมือหนึ่งถือดาบอยู่ ก่อนจะค่อยๆ ก้าวออกจากห้องไปและปิดประตูห้องพักและประตูใหญ่ลงให้สนิทดั่งเดิม แล้วค่อยๆ ย่องออกจากเรือนพักและกลับไปยังคอกม้าที่มืดมิดนั้นดั่งเดิม
ภายในเรือนที่มีคอกม้านั้นเงียบสนิท ก่อนที่หยางหนิงจะค่อยๆ ก้าวไปทางห้องพักที่อยู่เรียงกันตรงนั้น เมื่อเห็นว่าประตูห้องแค่ทำการปิดแง้มเอาไว้ เขาก็ค่อยๆ ผลักเข้าไปเบาๆ ด้านในเกิดเสียงเคลื่อนไหวขึ้นสักพักหนึ่ง ก่อนที่หยางหนิงจะกวาดตาไปรอบหนึ่งและพบว่าด้านในห้องพักเวลานี้มีร่างของคนเพิ่มขึ้นมาจำนวนไม่น้อย จึงทำการเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ข้าเอง!”
พวกหญิงสาวเมื่อได้ยินเสียงของหยางหนิงแล้วก็รู้สึกผ่อนคลายลงในทันที ในขณะที่ซิ่วเอ๋อร์ได้เดินออกมาด้านหน้าและทำการเอ่ยขึ้นว่า “พี่ชาย ข้าได้ทำการเปิดประตูห้องพักเ่าั้และบอกกับพวกนางแล้ว พวกนางล้วนแต่อยากที่จะออกไป ข้าบอกให้พวกนางอย่าทำอะไรโดยพลการ รอให้ท่านกลับมาก่อน” ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบาอีกครั้ง “พี่ชาย พวกเรา...พวกเราออกไปได้จริงหรือ?”
หยางหนิงรู้ดีอยู่แก่ใจว่าในสายตาของหญิงสาวเหล่านี้แล้ว พวกนางรู้สึกว่าจวนสกุลฮวานั้นเป็ราวกับขุมนรกที่มีกำแพงทองแดงสูงตระหง่าน จะใช้เพียงเรี่ยวแรงของหนุ่มน้อยคนหนึ่งมาช่วยพวกนางกลุ่มใหญ่ออกไปได้นั้นถือเป็เื่ที่เหลือเชื่ออยู่ไม่น้อย มิน่าพวกนางถึงได้มีใจว้าวุ่นยากจะสงบได้
หยางหนิงเองก็ไม่ได้ทำการอธิบายอะไรให้มาก แต่กลับเอ่ยเสียงเบาออกมาแทน “ยังมีเวลาอีกสองชั่วยามฟ้าก็จะสางแล้ว ตอนนี้ข้าจะพาพวกเ้าหนีออกไป ทุกคนจะต้องระวังตัวให้มาก ห้ามส่งเสียงอะไรออกมา หากทำให้ผู้คนในจวนรับรู้ เช่นนั้นก็จะลำบากแล้ว” พร้อมกับเอ่ยต่อว่า “พวกเ้ารู้หรือไม่ว่าบิดามารดาของพวกเ้าอยู่ที่ใด?”
ซิ่วเอ๋อร์เอ่ยตอบ “ที่แห่งนี้มีทั้งหมดสามสิบสองคน มียี่สิบสามคนที่บิดามารดายังอยู่ในเมือง และที่เหลือก่อนจะเข้าเมืองนั้นก็ได้พรากจากบิดามารดาตนไปแล้ว”
หยางหนิงขมวดคิ้วพร้อมเอ่ย “เช่นนั้นพวกนางก็ไม่มีที่ให้ไปแล้ว?”
ซิ่วเอ๋อร์เอ่ยตอบเสียงเบา “พวกเราได้ทำการปรึกษากันแล้ว พี่น้องที่ไม่มีบิดามารดานั้นให้ไปกับพวกเราก่อน พวกเราจะช่วยกันดูแลเอง”
หยางหนิงรู้สึกประทับใจอยู่ไม่น้อย ก่อนจะเอ่ยต่อเสียงเบา “หลังจากที่ข้าพาพวกเ้าออกจากเรือนพักแล้ว พวกเ้าห้ามรวมตัวกันเป็กลุ่ม ให้แยกตัวออกเป็กลุ่มๆ คนหากมีมากแล้วมักจะพบเห็นได้โดยง่าย ขอเพียงพวกเ้าสามารถหาบิดามารดาในเมืองพบ ก็รีบเอาเื่ที่เกิดขึ้นในที่แห่งนี้ประกาศออกไป เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนถูกหลอกมาได้อีก”
แม้ว่าเซียวอี้ซุ่ยจะตายไปแล้ว แต่ว่ามือปราบเฝิงยังมีชีวิตอยู่ ใครก็ไม่อาจรับประกันได้ว่ามือปราบเฝิงจะยอมรามือ
“พี่ชาย พวกเราจะออกไปได้อย่างไร?” ซิ่วเอ๋อร์เอ่ยถามเสียงเบาอีกครั้ง “ประตูใหญ่มีคนเฝ้าอยู่ พวกเราออกไปไม่ได้”
หยางหนิงเอ่ยตอบเสียงเบา “ตอนนี้เ้าให้ทุกคนไปเตรียมตัว พวกเราจะออกไปตอนนี้” ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดให้มากความ เขาผลักประตูออกไปก่อนจะเดินไปที่ประตูของคอกม้าและทำการตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้ง เมื่อแน่ใจว่าบริเวณโดยรอบไม่มีคนแล้ว ไม่นานเขาก็เห็นเงาคนกลุ่มหนึ่งค่อยๆ ย่องมา หยางหนิงจึงเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่แ่เบา “มากันครบแล้วใช่หรือไม่?”
“ครบแล้ว!”
ตอนนี้หยางหนิงถึงได้กำดาบเอาไว้ในมือและเดินนำทางอยู่ด้านหน้า พวกหญิงสาวก็เดินตามอยู่ด้านหลังราวกับอสรพิษตัวใหญ่ยาว
สำหรับตำแหน่งทิศทางของเรือนพักด้านหลังนั้น หยางหนิงได้ทำความคุ้นเคยเป็อย่างดีแล้ว เขาจึงสามารถเดินนำได้อย่างคล่องแคล่ว
ในใจของหญิงสาวส่วนมากนั้นยังคงเป็กังวล ทว่าพวกนางก็ล้วนแต่พยายามกลั้นลมหายใจของตัวเอง และได้แต่หวังว่าจะสามารถออกไปจากที่แห่งนี้ได้โดยเร็ว
หยางหนิงเดินนำทางพลางสังเกตความเคลื่อนไหวด้านหน้าโดยรอบ ก่อนจะเหลือบไปเห็นว่าด้านหลังของสวนดอกไม้ที่อยู่เบื้องหน้านั้นมีเงาแถบหนึ่งปรากฏขึ้น หยางหนิงรู้สึกใจสั่นสะท้าน ก่อนจะรีบยกมือขึ้นเป็สัญญาณให้ทุกคนหยุดฝีเท้าลง
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันมาก ทำให้หญิงสาวบางคนที่กำลังก้มหน้าเดินอยู่นั้นมองไม่เห็นว่าผู้อื่นที่เดินอยู่ด้านหน้าได้หยุดลงแล้ว ทำให้ศีรษะเดินไปกระแทกเข้า ชั่วขณะหนึ่งก็มีคนกลุ่มหนึ่งส่งเสียงโอดครวญขึ้น
หยางหนิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะได้ยินเสียงที่ดังมาจากทางด้านหน้า “ใครอยู่ตรงนั้น?”
เวลานี้พวกหญิงสาวทั้งหลายล้วนมีสีหน้าซีดเผือด ราวกับิญญาได้หลุดออกจากร่าง ขณะที่หยางหนิงนั้นไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ตัวเขาพุ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วราวกับเสือตะครุบเหยื่อ