ส่วนเื่ที่เขาจะชอบนางจริงๆ นั้น กงอี่โม่ไม่เคยคิดถึงกรณีเช่นนี้เลยใครบ้างจะหลงชอบพี่สาวที่เลี้ยงตนเองมากับมือราวกับมารดา? ไม่ได้มีจิตใจผิดปกติแล้วจะเกิดความรู้สึกเช่นนี้ได้อย่างไรอีกทั้งในความคิดของกงเจวี๋ยนั้น นางคือพี่น้องร่วมสายเืเดียวกัน นี่คือสิ่งต้องห้ามในสมัยโบราณดังนั้นนางจึงไม่เคยคิดว่ากงเจวี๋ยจะเกิดความรู้สึกเช่นนี้กับนาง
ขณะที่กล่าวนั้นนางเดินไปข้างโต๊ะเพื่อหยิบกาน้ำชาซินเอ๋อร์เห็นเช่นนี้จึงรีบตั้งสติเดินเข้ามารินน้ำชาให้กับนาง
กงเจวี๋ยรู้สึกสับสนวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง สิ่งที่แตกต่างก็คือก่อนหน้านี้เขารู้สึกสิ้นหวัง ส่วนครั้งนี้ความรู้สึกกลับสับสนซับซ้อนมากกว่าเดิมมันมีทั้งความหวาดกลัว ความดีใจ ความเ็ป และความลังเล
เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดกับเสด็จพี่อย่างไรดีเมื่อคืนตอนที่นางกำนัลผู้นั้นวางยาเขา หลังจากพบความผิดปกติแล้วเขาจึงรีบขังตัวเองไว้ในห้องอยู่คนเดียวภาพที่ปรากฏขึ้นในสมองของเขาล้วนเป็ร่างของนาง
ใบหน้างามสดใส ใบหน้าขมวดคิ้วบูดบึ้ง ใบหน้าผ่อนคลายรวมทั้งตอนที่นางสวมชุดเรียบง่ายที่ตัดขึ้นมาเองในขณะฝึกวรยุทธ์นั้นผิวขาวราวกับหิมะโผล่พ้นผ้าออกมาริมฝีปากแดงที่พร่ำสอนเขาทำให้เขารู้สึกแทบเสียสติ ดังนั้นเขาจึงต้องแช่อยู่ในน้ำเย็นตลอดทั้งคืน
คาดไม่ถึงว่าวันถัดมาเขายังคงรู้สึกหงุดหงิดร้อนใจ ในขณะเดียวกันเขาก็ยังมีไข้ดังนั้นเพื่อเป็การรวบรวมสมาธิของตน เขาจึงลงมือแกะสลักไม้ ทว่าสิ่งที่เขาแกะสลักออกมากลับเป็ตุ๊กตาที่มีลักษณะเหมือนกับนางเขารู้สึกตื่นตระหนก รู้สึกประหลาดใจ และรู้สึกดีใจเมื่อองค์ชายสิบสี่เอ่ยปากเช่นนั้น มันจึงเป็การพูดแทงใจดำอย่างแท้จริง นอกจากนี้อีกฝ่ายยังใช้คำพูดอันร้ายกาจทำร้ายนางเขาทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงลงมือหนักทันที
เมื่อเห็นกงเจวี๋ยนิ่งเงียบไม่ยอมตอบอยู่เป็นานกงอี่โม่จึงหันหน้าไปมองอย่างประหลาดใจทว่านางเห็นเพียงสีหน้าเสียใจเพราะถูกเข้าใจผิดของกงเจวี๋ยดวงตาสีน้ำหมึกเ็าคู่นั้นมองด้วยสายตาเอ่ยถาม
“เสด็จพี่ไม่เชื่อใจข้าหรือ? ข้าคิดจะมอบตุ๊กตาไม้แกะสลักชิ้นนั้นให้เสด็จพี่”
เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ กงอี่โม่จึงเชื่อไปกว่าครึ่ง นางไม่ได้ซักไซ้ต่อแต่เรียกให้คนเตรียมสำรับ วันนี้วุ่นวายมาทั้งวันแล้วนางทั้งเหนื่อยและหิวมากจนสมองเริ่มทำงานไม่ไหว
ส่วนกงเจวี๋ยกลับพยายามควบคุมความรู้สึกผิดหวังของตนเอง เขาแอบผ่อนลมหายใจอยู่เงียบๆ
เขาห้ามพูดเด็ดขาด หากเขาพูดออกมานอกจากเสด็จพ่อไม่มีทางยอมให้อภัยนาง คนอื่นๆก็จะใช้ท่าทางเป็ปฏิปักษ์เข้าทำร้ายนาง
ยุคสมัยนี้เป็ยุคสมัยที่เข้มงวดกับสตรีมาก นอกเสียจาก...เขาจะมีอำนาจบารมีมากพอที่จะควบคุมเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้ทั้งหมด
ดังนั้นเขาต้องยิ่งใหญ่ขึ้นมาให้ได้ ความคิดเช่นนี้ไม่เคยรุนแรงทรงพลังมากขนาดนี้มาก่อนมันรุนแรงจนเขาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
กงอี่โม่! กง อี่โม่!
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตาก็ผ่านไปถึงสองปีแล้ว ตอนนี้กงเจวี๋ยอายุสิบเอ็ดปีส่วนกงอี่โม่อายุสิบสองปี
หาก้ากล่าวถึงเหตุการณ์ที่เป็ที่โจษจันใน่สองสามปีมานี้ทุกคนต้องกล่าวถึงเื่ที่องค์หญิงจาวหยางกลายเป็ที่โปรดปรานไม่รู้เป็เพราะเหตุใด จู่ๆ ฮ่องเต้จึงดูแลเอาใจใส่องค์หญิงที่มาจากตำหนักเย็นผู้นี้ได้มากมายถึงเพียงนี้แม้กระทั่งองค์รัชทายาทก็ยังไม่สามารถสู้ได้
นางชอบเครื่องดื่มเย็นห้องเครื่องขนาดเล็กในตำหนักไท่จี๋จึงต้องมีการเตรียมเครื่องดื่มเย็นไว้ตลอดปีทั้งสี่ฤดู
นางไม่คุ้นเคยกับการอาบน้ำจากถัง ทางพระราชวังจึงมีการสร้างท่อน้ำใต้ดินที่เป็โครงสร้างขนาดใหญ่ตามภาพที่นางวาดออกมาอีกทั้งภายในพระราชวังยังมีการสร้างหอเก็บน้ำและตาข่ายกรองน้ำนับั้แ่นั้นมาแต่ละตำหนักจึงมี ''น้ำประปา'' ซึ่งเป็การช่วยลดแรงงานและสร้างความสะดวกสบายได้ไม่น้อย
มีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นนับไม่ถ้วน นางทำเื่ที่เป็ประโยชน์จำนวนไม่น้อยโดยไม่รู้ตัว
ท่อน้ำใต้ดินถูกสร้างไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว เพื่อสุขอนามัยที่ดีองค์หญิงยังคิดค้น ''กระดาษใยฝ้าย'' ที่ใช้ในห้องน้ำโดยเฉพาะ ต่อมานางยังพัฒนาต่อจนกลายเป็กระดาษซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันสำหรับผู้เรียนหนังสือเป็อย่างดีนอกจากนี้ยังมีการคิดค้นแท่นพิมพ์และปากกาอีกด้วย
ดูเหมือนว่าสมองน้อยๆ ของนางจะมีความแปลกประหลาดมหัศจรรย์ไม่มีที่สิ้นสุดจึงไม่แปลกใจที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานนางถึงเพียงนี้เพราะแม้กระทั่งชาวบ้านทั่วไปยังรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของนาง
ณ ปีกตำหนักจาวหยาง
กงเซิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ประทับตำแหน่งสูงเขาเอียงตัวฟังเหล่าขุนนางทั้งหลายถกเถียงกัน ที่นี่มีลักษณะคล้ายกับห้องหนังสือดังนั้น ทุกคนจึงไม่ได้ระมัดระวังตัวเหมือนเวลาฮ่องเต้ออกว่าราชการตามปกติส่วนด้านล่างเก้าอี้ประทับไม่ใช่องค์รัชทายาท และไม่ใช่ขุนนางใหญ่แต่กลับเป็องค์หญิงพระองค์หนึ่ง เวลานี้นางกำลังเอนตัวพิงเก้าอี้ประทับท่าทางของนางคล้ายกับกงเซิ่งเลยทีเดียว
การปรึกษาหารือเกี่ยวกับบ้านเมืองจะมีสตรีอยู่ด้วยได้อย่างไร? มีขุนนางาุโจำนวนไม่น้อยที่แสดงอาการไม่พอใจทางสีหน้าทว่าขุนนางอายุน้อยบางส่วนเริ่มยอมรับความจริงเื่นี้ได้แล้วพวกเขาคิดว่าแค่ฝ่าาไม่พาองค์หญิงร่วมออกว่าราชการก็ถือว่าเป็ผลจากการยอมผ่อนปรนของฝ่าาแล้ว
เวลานี้พวกเขานำปัญหาที่ไม่อาจแก้ไขได้ออกมาปรึกษาหารือที่ตำหนักจาวหยางซึ่งก็ถือว่าเป็การทำงานล่วงเวลาอย่างหนึ่ง
กงอี่โม่ไม่ค่อยสดใสนักการหาวของนางทำให้ั์ตาของขุนนางาุโสะท้อนประกายโกรธจัด
ตอนนี้พวกเขากำลังถกเถียงปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นในแดนประจิมเป็ประจำทุกปีเวลานี้ยังไม่มีวิธีการแก้ปัญหาที่ได้ผลเลยสักนิด
แดนประจิมมีลักษณะเป็แอ่งกระทะ เนื่องจากไม่มีแหล่งน้ำชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นั่นจึงขาดแคลนน้ำที่ใช้ในชีวิตประจำวันมากเช่นนี้จึงไม่มีน้ำในการปลูกพืชอย่างแน่นอน บางครั้ง์ไม่เป็ใจแม้กระทั่งพืชที่ทนความแล้งได้อย่างดีก็ยังไม่สามารถออกผลผลิต ดังนั้นฮ่องเต้จึงต้องช่วยเหลืออยู่เสมอถือเป็ปัญหาเก่าที่แก้ไม่หาย
ผู้คนทั้งหลายต่างถกเถียงกันเป็เวลานาน แต่ก็ยังไม่มีวิธีการแก้ปัญหาที่ดีมีใครบางคนเหลือบมองกงเจวี๋ย จากนั้นจึงกล่าวเสียงขรึม
“แดนประจิมเป็พื้นที่ยากจน ชาวบ้านมักเผชิญหน้ากับปัญหาพายุทรายและภัยแล้งมีชีวิตลำบากอย่างยิ่ง ตอนนี้บ้านเมืองสงบสุขอ๋องแดนประจิมจึงไม่จำเป็ต้องมีทหารมากมายขนาดนั้น ทหารจำนวนหนึ่งแสนหากสามารถถอนคืนได้ครึ่งหนึ่งความกดดันของทางราชสำนักย่อมดีขึ้นอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อกงเจวี๋ยได้ยินเช่นนี้ เขาจึงหรี่ตามองไปทางบุคคลผู้นั้นอยู่ชั่วครู่พร้อมส่งยิ้มอย่างเ็า
เขาในวัยสิบเอ็ดปีสูงกว่ากงอี่โม่กว่าครึ่งศีรษะแล้ว ใบหน้างามเ็าท่าทางสง่างาม เวลานี้เขากลายเป็องค์ชายที่ไม่มีความโดดเด่นใดๆ สองปีมานี้เขาพยายามปกปิดตนเองตามคำพูดของกงอี่โม่ ทุกคนต่างรู้สึกว่านอกจากวรยุทธ์แล้วเขาก็ไม่มีความสามารถด้านอื่นๆ อีก
ทว่าเขาเคยเล่าปัญหาภัยแล้งในแดนประจิมให้เสด็จพี่ฟังนับั้แ่งานเฉลิมพระชนมพรรษาพระพันปีในครั้งนั้น เขามีโอกาสเจอหน้าลูกพี่ลูกน้องของเขาจากนั้นเขาจึงติดต่อกับอ๋องแดนประจิมใกล้ชิดมากขึ้น เนื่องจากลักษณะแผ่นดินในแดนประจิมเป็ปัญหาใหญ่เขาจึงคาดการณ์ว่าสักวันต้องมีคนใช้ข้ออ้างเช่นนี้ยึดอำนาจทหารในมืออ๋องแดนประจิมผู้เป็ท่านตาของเขาเขาเคยกังวลกับปัญหานี้ ทว่าเมื่อเสด็จพี่ได้ฟังแล้วกลับทำตาเป็ประกายนางกล่าวว่าถือเป็โอกาสที่ดีอย่างหนึ่ง
เมื่อคิดถึงเื่นี้กงเจวี๋ยจึงมองไปทางสาวน้อยที่ทำท่าง่วงเหงาหาวนอนอย่างอดไม่ได้สายตาของเขาพลันอ่อนโยนทันที
คำพูดของขุนนางาุโท่านนี้ก็มีเหตุผลอยู่บางส่วน ทุกปีต้องคอยบรรเทาภัยแล้งส่วนตอนนี้ไม่จำเป็ต้องออกรบ หากมีทหารลดลงบางส่วนก็ย่อมลดภาระไปได้บ้าง ดังนั้นจึงมีหลายคนที่เริ่มเห็นด้วย ทว่านี่เป็เพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุแต่ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุกงเช่อขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้สึกว่าวิธีนี้มีปัญหาแอบแฝงอยู่จึงไม่ควรเลือกใช้
เวลานี้อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายก้าวเท้าขึ้นมาด้านหน้าหนึ่งก้าว“ฝ่าา ข้าคิดว่าคำกล่าวของใต้เท้าผู่มีเหตุผลอ๋องแดนประจิมดูแลแดนประจิมมานานหลายปี แต่กลับไม่สามารถแก้ปัญหาภัยแล้งได้เลยเกรงว่าเป็เพราะอายุมากแล้วจึงไม่สามารถแบกรับภาระอันหนักอึ้งเช่นนี้ได้อีกเขาควรกลับมาพักผ่อนที่เมืองหลวงได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
คำกล่าวนี้เป็การผลักปัญหายากที่ไม่สามารถแก้ไขได้โยนใส่อ๋องแดนประจิมปากทำเป็พูดว่าเรียกกลับมาพักผ่อนที่เมืองหลวง จากภายนอกอาจดูสวยงามทว่าในแดนประจิม อ๋องแดนประจิมมีผลงานและอำนาจบารมี แต่เมื่อกลับถึงเมืองหลวงแล้วเขาไม่มีอำนาจทหารอยู่ในมือ อ๋องแดนประจิมจะกลายเป็คนชราที่ว่างงานถึงตอนนั้นเขาคงไม่สามารถปกป้องตระกูลของเขาเพราะแค่สามารถเอาตัวรอดได้ก็ถือเป็เื่ไม่ง่ายเลย
ฮ่องเต้ทราบหลักการและเหตุผลเหล่านี้ดี แต่เขายังไม่คิดโยกย้ายคนในเวลานี้เมื่อหาวิธีแก้ปัญหาไม่ได้จริงๆ เขาจึงก้มศีรษะมองกงอี่โม่อย่างอดไม่ได้
“ลูกเอ๋ย เ้าคิดอย่างไรกับเื่นี้หรือ?”
เมื่อเห็นฮ่องเต้สอบถามความเห็นเกี่ยวกับบ้านเมืองจากองค์หญิงขุนนางาุโจำนวนไม่น้อยจึงแสดงสีหน้าไม่พอใจทว่าก่อนหน้านี้มีการลงโทษเชือดไก่ให้ลิงดูแล้ว ตอนนี้พวกเขาจึงทำได้เพียงเก็บความรู้สึกเหล่านี้ไว้ในใจแต่ไม่กล้าเอ่ยออกมา
ตอนแรกกงอี่โม่เกือบผล็อยหลับไป เมื่อได้ยินฮ่องเต้เรียกตัวเอง นางจึงรีบลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็วพร้อมเอ่ยถามว่าเป็เื่อะไร