กงเซิ่งกลับใจเย็นมาก เขาเริ่มอธิบายสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ของแดนประจิมจากนั้นจึงกล่าวขึ้น“อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายคิดว่าอ๋องแดนประจิมรักษาชายแดนมานานหลายปีแต่เมื่อเผชิญหน้ากับภัยแล้งเช่นนี้กลับแก้ปัญหาไม่ได้ แสดงว่าเขาไร้ความสามารถ ให้ข้าย้ายอ๋องแดนประจิมลงมาและมีคนบอกว่าแดนประจิมมีทหารจำนวนหนึ่งแสนถือว่ามากเกินไป ไม่มีประโยชน์อันใดให้ข้าถอนคืนครึ่งหนึ่ง”
เขาโน้มตัวลงราวกับว่ากำลังกระซิบกระซาบกับกงอี่โม่ทว่าเสียงของเขากลับก้องกังวานจนได้ยินทั่วตำหนักมีขุนนางใหญ่จำนวนไม่น้อยพลันเกร็งใบหน้า พวกเขารู้สึกอึดอัดยิ่งนัก
เมื่อได้ฟังเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว กงอี่โม่จึงกะพริบตา นางเอียงศีรษะเวลานี้ผมของนางประดับด้วยปิ่นดอกไม้ห้อยระย้า เมื่อเอียงศีรษะแล้วพู่ระย้าสีเขียวอ่อนจึงเอนไปด้านหนึ่ง ทำให้ใบหน้าของนางดูขาวใสอ่อนวัยมากยิ่งขึ้น
“อ๋องแดนประจิมไร้ความสามารถ? ทหารม้าหนึ่งแสนเยอะเกินไป? มีภัยแล้งทุกปีแต่กลับแก้ปัญหาไม่ได้?” ยิ่งเอ่ยออกมา สายตาของนางที่กวาดตามองพวกเขาก็ยิ่งสะท้อนประกายดูถูก
“ลูกคิดว่าผู้ที่กล่าวประโยคเหล่านี้ควรถูกย้ายออกมากกว่าช่างไร้สมองเสียจริง”
นางกล่าวอย่างไม่เกรงใจอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายยิ้มอย่างเ็า “ถ้าเช่นนั้นองค์หญิงมีความเห็นเช่นใดหรือ?”
แม้จะกล่าวเช่นนี้ ทว่าในใจของเขากลับกำลังดูแคลน นางก็แค่ประดิษฐ์สิ่งเล็กๆน้อยๆ ขึ้นมา แค่นี้ก็คิดว่าตัวเองมีความสามารถไร้เทียมทานแล้วหรือ? องค์หญิงที่ยังไม่เคยออกจากประตูวังจะสามารถคิดหาวิธีที่ดีได้อย่างไร?
แต่ใครจะรู้ กงอี่โม่ตบใบหน้าครึ่งหลับครึ่งตื่นของตนเอง นางกล่าวเสียงอ่อน“หยิบกระดาษและปากกามา”
สิ่งที่ถูกหยิบมาก็คือกระดาษแข็งและปากกาที่กงอี่โม่เป็ผู้คิดค้นขึ้น
ก่อนทะลุมิติมาที่นี่ นางเคยเรียนวาดภาพอยู่หลายปีการวาดภาพลายเส้นจึงไม่ใช่เื่ยาก นางลากเส้นไม่กี่ครั้งภาพูเาสูงและแอ่งกระทะก็ปรากฏอยู่บนกระดาษขณะที่กงเซิ่งยื่นหน้าเข้าไปดูอย่างสนใจ กงอี่โม่ก็วาดภาพเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางยกภาพร่างขึ้นยื่นหน้าเข้าหาฮ่องเต้เพียงผู้เดียวพร้อมกล่าวออกมา
“เสด็จพ่อโปรดทอดพระเนตร ภาพที่ลูกวาดมีลักษณะคล้ายกับแดนประจิมไหมเพคะ?”
“ภาพรวมเป็เช่นนี้ไม่ผิดแน่” กงเซิ่งพยักหน้า
กงอี่โม่คลี่ยิ้มน้อยๆ นางนั่งบนเก้าอี้ประทับที่ว่างอยู่ครึ่งหนึ่งพร้อมกล่าวขึ้นเสียงดัง
“ทั้งสองด้านของแดนประจิมล้วนเป็ูเาหิมะ เมื่อหิมะละลาย แหล่งน้ำจึงเพียงพอทว่าเนื่องจากพื้นที่มีลักษณะพิเศษ อากาศร้อนจัดน้ำเหล่านี้จึงเหือดแห้งอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงมีภัยแล้งอยู่เสมอ ใช่ไหมเพคะ?”
ดูเหมือนฮ่องเต้จะไม่สนใจว่าเก้าอี้ประทับของตนจะถูกคนอื่นบางส่วนเขาพยักหน้ารับ
“เพราะเหตุใดจึงไม่ขุดอ่างเก็บน้ำล่ะ?”
เวลานี้อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายพลันยิ้มอย่างดูแคลน “องค์หญิงอาจไม่ทราบแดนประจิมมีอ่างเก็บน้ำเล็กและใหญ่นับร้อยแห่ง ทว่าเมื่อถึงฤดูร้อนก็ล้วนแห้งขอดทั้งหมด”
เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะมีความคิดดีๆ สักอย่าง ทว่าดูเหมือนว่าก็คิดได้เพียงแค่นี้
กงอี่โม่คลี่ยิ้มน้อยๆ สายตาที่นางมองอีกฝ่ายราวกับกำลังมองคนโง่อยู่
“เพราะเหตุใดจึงไม่เชื่อมต่ออ่างเก็บน้ำเข้าด้วยกันล่ะ?”
คำพูดของนางจุดประกายความคิดให้กับทุกคน กงเช่อกล่าวอย่างครุ่นคิด“แม้เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน แต่ก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาแสงแดดแผดเผาได้อยู่ดีใช่ไหม?”
“ในเมื่ออยู่บนดินไม่เหมาะสม แล้วทำไมจึงไม่เชื่อมต่อผ่านใต้ดินล่ะ? หากไม่โดนแสงอาทิตย์ก็ย่อมกักเก็บน้ำไว้ได้ใช่ไหม?” กงอี่โม่ส่งยิ้มอย่างสดใสพร้อมเอ่ยขึ้น ขณะที่กล่าวนั้น นางยกภาพวาดไว้เบื้องหน้ากงเซิ่งอีกครั้งกงเซิ่งมองจนตาเป็ประกาย ส่วนนางก็กล่าวขึ้นอย่างมั่นใจ
“ขุดบ่อลึกบนตำแหน่งที่เหมาะสมบริเวณครึ่งูเาจากนั้นให้เชื่อมบ่อลึกเข้ากับอ่างเก็บน้ำผ่านใต้ดินพร้อมทั้งขุดอ่างเก็บน้ำให้ลึกลงไปเป็รูปทรงกาน้ำชาที่มีท้องกว้างปากแคบเช่นนี้เวลาหิมะละลาย น้ำทั้งหมดจะไหลลงสู่บ่อลึก จากนั้นไหลเข้าสู่อ่างเก็บน้ำเนื่องจากอยู่ใต้ดิน น้ำเหล่านี้จึงไม่เหือดแห้งหายไป มันน่าจะเพียงพอให้ผู้คนใช้ในชีวิตประจำวันรวมทั้งการปลูกพืชอย่างแน่นอน”
คำพูดของนางชัดเจนเรียบง่าย เมื่อผู้ที่อยู่ในที่แห่งนี้ได้ยินแล้วต่างทำตาเป็ประกายราวกับเพิ่งตระหนักรู้ในเื่นี้ กงอี่โม่มองบรรยากาศทั้งหมดอย่างชัดเจน นางกล่าวเสริมอย่างมั่นใจ
“โครงการนี้เป็โครงการใหญ่มากทว่าหากทำสำเร็จจะเป็การลำบากเพียงครั้งเดียวแต่สามารถใช้ได้ตลอดไป เช่นนี้ดูเหมือนว่าทหารหนึ่งแสนก็ยังน้อยไปส่วนอ๋องแดนประจิมรักษาชายแดนมานานหลายปี เขามีอำนาจบารมีให้เขาเป็ผู้ควบคุมดูแลการก่อสร้างจึงเหมาะสมที่สุด เสด็จพ่อท่านว่าข้าพูดถูกต้องไหมเพคะ?”
“เ้าพูดถูกต้องทั้งหมด เื่นี้ตกลงกันตามนี้ เ้าเสนอความเห็นที่ดีมีความดีความชอบ ข้าจะมอบรางวัลให้เ้าอย่างงาม” กงเซิ่งลูบศีรษะนางอย่างพอใจ
“หากสามารถแต่งตั้งข้าได้จริงๆ ถ้าเช่นนั้นเสด็จพ่อแต่งตั้งข้าให้เป็ขุนนางไปดูแลเื่นี้สักครั้งหากได้ไปควบคุมการก่อสร้างที่แดนประจิมด้วยตนเอง มันคงน่าสนใจมากเพราะหากมอบหน้าที่นี้ให้คนโง่เหล่านี้ ข้ารู้สึกไม่ไว้ใจเดี๋ยวพวกเขาทำโครงการนี้ล้มเหลวถึงตอนนั้นก็จะกล่าวโทษข้าว่าข้อเสนอของข้าไม่ได้เื่” กงอี่โม่คลี่ยิ้มพร้อมกล่าวขึ้น
กงเซิ่งทำหน้าลำบากใจ แม้ว่าตอนนี้เขามักทำเื่ที่ไม่เป็ไปตามกฎเกณฑ์บ้างทว่าที่นี่คือเมืองหลวง ในเมืองหลวงไม่มีใครกล้าต่อต้านเขา ทว่าหากเป็แดนประจิมผลลัพธ์อาจไม่แน่เสมอไป การส่งขุนนางหญิงไปดูแลอาจทำให้เกิดเื่ได้
ดังนั้นเขาจึงส่ายศีรษะ แข็งใจปฏิเสธกงอี่โม่
เหตุการณ์เป็ไปตามที่คาดการณ์ไว้ กงอี่โม่ยู่ปากน้อยๆ ของนางดวงตาเป็ประกายแวววาวกะพริบขึ้นลงหลายครั้ง นางไม่พอใจมากทว่ากงเซิ่งยังคงแข็งใจไม่หันไปมองนาง สีหน้าท่าทางของเขาแสดงออกชัดเจนว่าได้ตัดสินใจแล้วกงอี่โม่จึงได้แต่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา นางยอมถอยหนึ่งก้าวพร้อมเอ่ยขอร้องอีกครั้ง
“ถ้าเช่นนั้นเสด็จพ่อโปรดส่งกงเจวี๋ยไปนะเพคะ สิ่งที่ข้าทำได้เขาก็สามารถทำได้ทุกอย่าง ส่งเขาไปน่าจะถือว่าเหมาะสมใช่ไหมเพคะ? ส่วนคนอื่นข้ารู้สึกไม่ไว้ใจเลย”
กงเจวี๋ย?
เวลานี้กงเซิ่งจึงเพิ่งหรี่ตามองกงเจวี๋ย เขาคำนวณเวลาบุตรชายคนนี้อายุสิบเอ็ดปีแล้ว สองปีมานี้กงเจวี๋ยทำตัวอยู่ในกฎเกณฑ์เป็อย่างดีเขาเชื่อฟังและมั่นใจในตัวกงอี่โม่ผู้คนส่วนใหญ่มักจดจำได้เพียงกงอี่โม่ผู้โดดเด่นสะดุดตา แต่ไม่มีใครจดจำผู้ที่มีลักษณะเหมือนเงาอย่างเขาเลย
เมื่อคิดว่ากงเจวี๋ยไม่มีเสด็จแม่ ไม่มีใครคอยช่วยวางแผนให้เขา ดังนั้นจนกระทั่งบัดนี้เขาจึงยังไม่มีตำแหน่งใดๆในราชสำนัก เขามีชีวิตอยู่ในวังราวกับคนโปร่งใสในขณะที่กงเซิ่งลืมกงเจวี๋ยไปแล้วนั้น ก็มีเพียงบุตรสาวคนนี้ที่คอยช่วยวางแผนแทนกงเจวี๋ยส่วนคำกล่าวที่ว่ากงเจวี๋ยก็สามารถทำได้ทุกอย่างของนางเขาคิดว่าเป็เพียงคำที่กงอี่โม่ใช้นำเสนอคนของตนอันที่จริงไม่ได้มีเพียงกงเซิ่งเท่านั้นเพราะแม้กระทั่งขุนนางใหญ่ทั้งหลายก็ไม่เชื่อว่ากงเจวี๋ยจะมีความสามารถใดๆแอบซ่อนอยู่ภายใน กงเซิ่งคิดว่าเมื่อส่งกงเจวี๋ยไปจัดการเื่นี้แล้วพอกลับมาเขาจะมอบตำแหน่งใดสักอย่างให้กับอีกฝ่าย
กงเซิ่งลูบศีรษะกงอี่โม่พร้อมคิดในใจ สองปีที่ผ่านมา แม้ว่าบุตรชายคนนี้ของเขาจะไม่ได้โดดเด่น แต่ก็ไม่มีความผิด ถือว่าใช้ได้ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจยอมรับข้อเสนอนี้
เื่ที่เขาตัดสินใจแล้ว ขุนนางใหญ่เ่าั้ไม่กล้าคัดค้านพวกเขาได้แต่แอบแค้นอยู่ในใจว่ากงเจวี๋ยมีเสด็จพี่แสนดีเมื่อเสนอวิธีแก้ปัญหาที่ดีได้แล้วจึงถือโอกาสตอนที่ฝ่าากำลังพอพระทัยรีบเสนอกงเจวี๋ยทันทีนี่คืองานดีงานหนึ่ง หากทำสำเร็จก็สามารถสืบทอดอย่างยาวนานแต่งานเช่นนี้กลับตกอยู่ในมือของคนอื่น
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อเพคะ”
กงอี่โม่กล่าวอย่างน่ารัก ทว่าขณะที่กงเจวี๋ยเงยหน้าจากการคำนับนั้นนางได้หันไปทิ้งสายตาภูมิใจใส่กงเจวี๋ยทำให้กงเช่อที่อยู่ด้านข้างต้องมองอย่างอิจฉา
สองปีที่ผ่านมา เขาไปมาหาสู่กับน้องสาวคนนี้อย่างใกล้ชิด เวลามีนางอยู่ข้างกายเขาต้องมีเื่ประหลาดใจอยู่ทุกวัน เวลาเขาไม่สบายใจ เมื่อเจอนางความรู้สึกเช่นนั้นพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
นางฉลาดมีไหวพริบ บางครั้งมีเื่ที่หาทางแก้ไม่ได้หรือคิดไม่ตกขอแค่เอ่ยถามนาง ปัญหาทุกอย่างย่อมคลี่คลายมีทางออก น่าเสียดายถึงพวกเขาจะใกล้ชิดสนิทสนมกันเพียงใด สุดท้ายน้องคนนี้ยังคงให้ความสำคัญกับน้องเก้าก่อนใครดังนั้นทุกครั้งที่เขาเห็นนางปกป้องน้องเก้า จึงรู้สึกเสียใจอยู่เสมอ
แต่เมื่อคิดทบทวนแล้ว เขาจึงส่ายศีรษะ ช่างไม่ควรเกิดขึ้นจริงๆไม่อยากเชื่อว่าเขาจะอิจฉาน้องชายน้องสาวของตนเช่นนี้
เพียงไม่นาน พระประสงค์ของฮ่องเต้ก็แพร่กระจายไปทุกที่
เหตุการณ์เป็ที่แน่นอนแล้ว อีกไม่เกินเจ็ดวันกงเจวี๋ยจะต้องนำสิ่งของบรรเทาทุกข์เดินทางไปยังแดนประจิม
ก่อนออกเดินทาง กงอี่โม่เป็ผู้จัดเตรียมข้าวของให้เขาด้วยตัวเอง นางอยากใส่ของดีทุกอย่างให้กับเขา
กงเจวี๋ยยังไม่เคยอยู่ห่างจากนางมาก่อน ครั้งนี้เขาต้องเดินทางไกลเช่นนี้อีกทั้งต้องใช้เวลายาวนาน หากกล่าวกันตามจริงแล้ว กงอี่โม่รู้สึกอาลัยยิ่งนักทว่าเลี้ยงเด็กน้อยจนเติบโต สักวันเขาก็ต้องยืนได้ด้วยตนเอง ดังนั้นกงอี่โม่จึงพยายามปูทางให้เขาอย่างเต็มที่ในขณะเดียวกันนางก็พยายามกดความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ไว้ภายใน