ชิงอีหยุดความคิดที่จะใช้กรงเล็บกระดูกขาวเก้าอิม ก็ไม่ได้กลัวหรอกนะ แต่ถ้าเขาโกรธขึ้นมาคงเหวี่ยงนางลงพื้นเป็แน่
ทำเป็เล่นไป นางไม่ได้โง่เง่าเสียหน่อย เหตุใดนางต้องเปิดโอกาสให้ผู้อื่นทำเหมือนนางเป็คนเขลาด้วยเล่า?
ยิ่งขึ้นเขาหมอกก็ยิ่งหนา ทั้งยังมีลมเย็นะเืพัดมาทุกทิศทุกทางจนใบหน้าเปียกชื้น
ทั้งที่ตอนนี้เป็่ต้นฤดูใบไม้ร่วง แต่บนนี้กลับเหมือนอยู่ในฤดูหนาวมายาวนานแล้ว
“เฮ้อ แย่จริง บนเขานี่ลมก็พัดมาตั้งนาน แล้วเหตุใดหมอกยังไม่จางอีก” จิ๋วกุ่ยบ่นเพราะหมอกอึมครึมนั้นทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดตลอดเวลา
เมื่อวานเขาเป็หนึ่งในสองคนที่ได้รับาเ็และใช้ ‘น้ำจากซากศพ’ ล้างท้องและทาใบหน้าแล้ว เช้านี้เรียกว่าอาการจึงดีขึ้นถึงแผลบนหน้าจะยังมีตุ่มพองเลยดูน่ากลัว นอกนั้นเขาก็ไม่มีอาการผิดปกติอะไร
ฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้ว หากกลับไปถึงเมืองหลวงต่อให้เขาจะไปดื่มที่หอหลิงเฟิงสามวันสามคืน อย่างไรเขาก็ไม่มีทางเมาแน่นอน!
ขณะที่คนอื่นต่างรู้สึกแบบเดียวกัน
พวกเขาต่างประหลาดใจและบางคนก็นึกเสียใจ เพราะดูเหมือนว่าเมื่อวานนี้องค์หญิงทรงไม่ได้หลอกพวกเขา ‘น้ำซากศพ’ นั่นเป็ของดีจริงๆ ถ้ารู้เช่นนี้พวกเขาก็คงไม่รังเกียจและคงจะใช้มันไปแล้ว
เสียงหัวเราะอันน่าสะพรึงดังมาจากด้านหลัง จิ๋วกุ่ยหันกลับไปก็เห็นว่าวั่งจีตัวปลอมนั่นกำลังหรี่ตาจ้องมองพวกเขาราวกับงูเห่าแผ่แม่เบี้ย
“เ้าคนชั่วยังกล้าหัวเราะอีกเหรอ?!” จิ๋วกุ่ยยกขาเตะท้องของวั่งจีตัวปลอม
เมื่อเห็นมันก็รู้สึกโกรธขึ้นมา เหล่าผีที่เขาสร้างได้ทำสิ่งเลวร้ายมากมาย ไม่ต้องพูดถึงการตายของซานเอ๋อร์เลย เขากับจางจื่อก็เกือบจะได้ไปพบพญามัชจุราชแล้วเช่นกัน
ความเ็ปทำให้วั่งจีนั่งขดตัวเป็กุ้งแห้งอยู่กับพื้น ส่วนสามเณรสองสามรูปที่ยืนดูอยู่ใกล้ๆ ทำเพียงเอ่ยอมิตตาพุทธและไม่คิดที่จะหยุดจิ๋วกุ๋ยเลย
พวกเขาที่รู้ความจริงต่างรังเกียจเ้าตัวปลอมนี่ไม่น้อยไปกว่าผู้อื่น
ชิวอวี่ขมวดคิ้วและเหลือบมอง “พอได้แล้ว อย่าให้มันตาย หากองค์หญิงใหญ่มีพระราชประสงค์ให้ฆ่าก็รอให้ขึ้นไปถึงยอดเขาก่อนแล้วค่อยฆ่า”
วั่งจีที่ตัวสั่นเทาอยู่บนพื้นถูกลากขึ้นมาอีกครั้ง เขาถูกมัดด้วยเชือกที่ไม่สามารถสลัดให้หลุดได้ ส่วนแววตาของเขานั้นมีเพียงความมาดร้าย
เมื่อไปถึงยอดเขา มันก็ถึงเวลาตายของพวกเ้า!
ถึงตอนนั้นต่อให้คิดที่จะหนีก็ไม่ทันแล้ว!
โดยเฉพาะนางชั่วนั่น! เขาจะถลกหนังงามๆ นั่นมาทำเป็ว่าวให้ได้
พอนึกถึงการแก้แค้นอันงดงาม วั่งจีก็หัวเราะคิกคักขึ้นมาอีกครั้งจนโดนเตะอีกรอบ
“โอ๊ย!”
วั่งจีโดนเตะหน้าคว่ำ ทำให้หน้าผากกระแทกกับพื้นจนสลบไป
“อะไรกัน ไม่ทนเอาซะเลย” จิ๋วกุ่ยยกมือขึ้นหยักไหล่ราวกับว่านั่นไม่ใช่ความผิดของตน
ชิวอวี่หันมากลอกตาให้เขา ทำมันสลบเองก็แบกเอาเองแล้วกัน!
ชิงอีเอาแขนโอบรอบคอของเซียวเจวี๋ยพลางใช้มือข้างหนึ่งเล่นผมยาวประบ่าแล้วความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามา เ้าหนุ่มน้อยนี่หน้าตาดีแถมผมก็ยังนุ่มลื่นขนาดนี้ ก็ไม่แปลกใจที่เ้าแมวอ้วนนั่นจะสงสัยว่าเขาเป็ภูตแห่งหุบเขาแปลงกายมา
เกรงว่าต่อให้เหล่าภูตแห่งหุบเขาหนุ่มๆ จำแลงกายมาก็คงไม่มีรูปโฉมเช่นเขา
เซียวเจวี๋ยที่แบกนางไว้ยังคงก้าวเท้าเดินอย่างสง่างามราวกับเดินเล่นบนสวนในสรวง์ ช่างดูดีประดุจภาพวาด แล้วจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่หายใจติดขัดแม้แต่น้อย
เขารู้สึกคันยุบยิบที่หน้าเป็ระยะเพราะใครบางคนใช้ปลายนิ้วเรียวยาวหมุนผมเขาเล่นอยู่ตลอด โดยบางจังหวะปลายผมก็ปัดมาที่หน้าเขาเป็ระยะ จนอาการคันที่หน้าลามมาถึงหัวใจราวกับโรคติดต่อ นั่นทำให้เขาขมวดคิ้วอย่างไม่สบายใจ
“อย่าซน”
ชิงอีเหลือบมองเขาแล้วก็นึกถึงบั้นท้ายที่ยังระบมแล้วไฟแค้นก็ลุกโชน นางทำเป็ไม่ได้ยินและยกข้อมือขึ้นมาโดยจงใจเอาผมไปแหย่หูแหย่ตาเขา
เซียวเจวี๋ยตวัดตามองนางอย่างเ็า
ชิงอีคว้าหมับเข้าที่คอของเขาและใช้ขาทั้งสองหนีบเอวเขาไว้แน่น ก่อนจะเลิกคิ้วท้าทาย ดูสิว่าท่านจะสามารถสลัดข้าออกหรือไม่
เซียวเจวี๋ยเม้มปากเพื่อกลั้นยิ้มแต่เมื่อหันมาก็กลั้นไว้ไม่อยู่ ช่างเป็หญิงสาวที่ทำให้คนสับสนเสียจริง เห็นได้ชัดว่าเป็คนที่หยิ่งยโสและทั้งที่โตเป็ผู้ใหญ่แล้ว ทว่า ชอบเล่นอะไรแผลงๆ เป็เด็กๆ
ไม่ว่าจะวาดเต่าไว้บนหน้าเขาหรือเอาผมมาแหย่หูแหย่ตา แล้วแบบนี้จะไม่เหมือนเด็กได้อย่างไร?
“เซ่อเจิ้งอ๋อง ท่านเชื่อไหมว่าโลกนี้มีผี?” หญิงสาวถามขึ้นลอยๆ
ดวงตาของเซียวเจวี๋ยสั่นเล็กน้อย “ข้าเชื่อเพียงว่ามีผีอยู่ในใจมนุษย์เท่านั้น”
ชิงอีมีสีหน้ารำคาญและจ้องด้านหลังศีรษะของเขาอย่างสงสัย เ้าหนุ่มน้อยนี่คิดอย่างนั้นจริงๆ หรือจงใจพูดเช่นนี้เพื่อขจัดความสงสัยของนาง?
ยิ่งเดินทางถนนก็ยิ่งลาดชันและลื่นราวกับว่าเส้นทางนี้ไม่มีคนใช้มาเนิ่นนาน
เซียวเจวี๋ยแหงนมองยอดเขา มันถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาจนแสงแทบจะลอดผ่านมาไม่ได้
ใกล้จะถึงวัดตงหวาแล้วสินะ
เมื่อวานนี้แม้ชิวอวี่จะทำการสอบสวนวั่งจีทั้งคืนซึ่งข้อมูลที่ได้จากมันก็ไม่ได้เป็ประโยชน์นัก ด้วยเหตุการณ์ที่ผ่านมานี้ทำให้ชิวอวี่คิดว่าชิงอีเป็คนที่ช่างยากแท้หยั่งถึง
ทุกคนผ่าหมอกจนในที่สุดก็มาถึงจุดหมายปลายทาง เมื่อยืนเบื้องหน้าประตูวัดตงหวา ความหนาวเย็นซึ่งพวกเขาได้เผชิญมาตลอดการเดินทางก็จางหายไปแทนที่ด้วยท้องนภาอันสดใส
ชิวอวี่และคนอื่นๆ ถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อมองไปที่ประตูวัดภายใต้แสงอาทิตย์พลางคิดว่าหรือเป็พวกเขาที่คิดมากเกินไปเอง? วัดตงหวาแห่งนี้มีแสงพุทธศาสนาส่องสว่างไสวคงไม่ได้มืดมนเหมือนสำนักจีเหรินจายหรอกใช่ไหม?
ชิงอีที่ซบหน้าหลับอยู่บนแผ่นหลังของเซียวเจวี๋ยระหว่างทางก่อนมาถึงที่ได้ก็ค่อยๆ ตื่นขึ้น
“อืม น่าสนใจแฮะ”
ทีู่เาลูกนี้ บรรดาภูตผีปีศาจนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ดูท่าว่าแสงพุทธศาสนายังคงมีอยู่และวัดนี้คงจะเป็วัดของจริง
ช่างแปลกนัก
ั์ตาของเซียวเจวี๋ยไหววูบเมื่อได้ยินนางพึมพำ
ประตูวัดเปิดออกพร้อมกับเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ภิกษุกลุ่มหนึ่งทยอยกันออกมาโดยมีเ้าอาวาสเฒ่าสวมจีวรทำหน้าที่เป็ผู้นำคณะเร่งรีบออกมาเป็คนแรก
“อาตมาเจี้ยชือถวายบังคมองค์หญิงใหญ่ ถวายบังคมเซ่อเจิ้งอ๋อง” เจี้ยชือพนมมือและใบหน้าที่ดูใจดีก็ประดับด้วยยิ้มอ่อนโยน “องค์หญิงกับท่านอ๋องคงลำบากมากในการเดินทางครั้งนี้ ทางวัดได้จัดเตรียมอาหารไว้แล้ว”
หลังจากที่เจี้ยชือพูดจบก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นชิงอีขี่หลังของเซียวเจวี๋ย เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็นอยู่แวบหนึ่งก่อนจะจางหายไปแทบจะในทันที
หากแต่มันไม่อาจหลุดรอดสายตาอันเฉียบคมของชิงอีพ้น แล้วนางยังสังเกตเห็นสายตาขยะแขยงของเขา
พุทธศาสนาได้เน้นย้ำกฎชัดเจนต่อให้ไม่ได้เกี่ยวกับเื่นี้โดยตรงก็ตาม แต่การที่ชิงอีถูกเซียวเจวี๋ยแบกไว้บนหลังก็ดูไม่สุภาพอยู่ดี ทำให้คนอดคิดไม่ได้ว่าองค์หญิงของอาณาจักรนี้ไม่น่าสรรเสริญ
บางคนมีปฏิกิริยาตอบกลับด้วยการกลอกตาอย่างเปิดเผย ซึ่งชิงอีก็เมินเฉยและไม่สนว่าใครจะคิดอย่างไร
ทางด้านเซียวเจวี๋ย เขาลอบสังเกตสีหน้าของนางและพบว่ามันช่างน่าสนใจยิ่ง เพราะจากที่เขาเห็นนางไม่สนเื่มารยาทแม้แต่น้อย
บรรยากาศภายนอกวัดออกจะพิลึก
ชิวอวี่และคนอื่นๆ ต่างระแวดระวังและเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลาเมื่อเห็นเจี้ยชือปรากฏตัวสร้างความสับสนให้แก่ภิกษุของวัดตงหวา
ชิงอีหันไปส่ายหัวให้ชิวอวี่กับคนอื่นๆ
หืม? หรือว่าเ้าอาวาสไม่ใช่คนชั่วงั้นหรือ? ชิวอวี่ส่งสัญญาณมือด้วยมือซ้ายให้เหล่าองครักษ์ด้านหลัง ส่งผลให้การอารักขาอันเข้มงวดผ่อนคลายลง
เจี้ยชือฉงน แล้วภิกษุที่อยู่ข้างๆ ก็อุทานพร้อมชี้นิ้วไปที่หลังของจิ๋วกุ่ย “พระอาจารย์วั่งจี!”
วั่งจียังคงไม่ฟื้นขึ้นมาั้แ่หัวกระแทก จิ๋วกุ่ยก็ได้แต่แบกวั่งจีไว้บนหลังของเขาเท่านั้น
“เป็วั่งจีจริงๆ เหตุใดเขาถึงมีสภาพเช่นนี้...” เจี้ยชือสับสนและเผลอมองเซียวเจวี๋ย
“ท่านเ้าอาวาส ท่านแน่ใจหรือว่าเขาคือวั่งจี?”