“ท่านเ้าอาวาส ท่านแน่ใจหรือว่าเขาคือวั่งจี?”
ชิงอีที่อยู่บนหลังของเซียวเจวี๋ยถามเอื่อยๆ
เจี้ยชือพนมมือพลางกล่าว “วั่งจีเติบโตในวัดตงหวาอาตมาไม่มีทางจำผิดแน่นอน องค์หญิง เกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่พ่ะย่ะค่ะ? เหตุใดวั่งจีจึงอยู่ในสภาพเช่นนี้?”
“ท่านเ้าอาวาส นี่คือวั่งจีตัวปลอม พระอาจารย์วั่งจีตัวจริงมรณภาพไปเมื่อหนึ่งปีก่อนขอรับ” เหล่าสามเณรน้อยขึ้นเขามาด้วยลุกพรวดและตอบแทนด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“เป็ไปได้อย่างไร!” เหล่าผู้คนในวัดตงหวาแตกตื่น
เจี้ยชือส่ายหัวไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
“เป็เื่จริงขอรับ พวกเราเห็นร่างของพระอาจารย์วั่งจีด้วยตาของเราเอง คนที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้คือตัวปลอมขอรับ!”
“นี่...นี่มันเป็ไปได้ยังไง...” เจี้ยชือยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี
ชิงอีเริ่มหมดความอดทน “หากให้พวกท่านแก้ไขปริศนาเองก็คงจะแก้ได้ช้า ข้าไม่ได้มีความอดทนพอที่จะยืนโง่เหมือนตอไม้กับพวกท่านหรอกนะ”
ทุกคนลอบมองไปยังเท้านางที่ไม่ได้แตะพื้นสักนิด พลางคิดในใจว่าท่านก็ไม่ได้ยืนซะหน่อยนี่เป็เซ่อเจิ้งอ๋องต่างหากที่แบกท่านไว้
เจี้ยชือรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลามานั่งสับสนจึงระงับความสงสัยไว้ก่อนและพาพวกชิงอีเข้าไปข้างใน
เจี้ยชือเป็ผู้นำทางและพอเข้าไปในวัดแล้ว สิ่งที่เด่นเป็สง่าตรงหน้าพวกเขาคือวิหารหลวงเด่นสง่าและเมื่อเดินผ่านข้างวิหารนั้น ชิงอีก็แหงนหน้าและหรี่ตามองด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ศาลเ้านี้บูชาเทพองค์ใดกัน?”
เจื้ยชือหันกลับมาตอบว่า “ทูลองค์หญิง สถานที่แห่งนี้คือศาลเ้ามันดาลาเปลวเพลิงปกคลุมนภา ซึ่งหาใช่เพื่อบูชาพระพุทธเ้า แต่เพื่อบูชา...”
“พญามัจจุราชน้องสาว ราชินีแห่งชิงอี” ริมฝีปากเรียวงามของชิงอีเอ่ยต่อแทน
“ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ” เจี้ยชือพนมมือพร้อมกับกล่าวอมิตาพุทธด้วยท่วงท่าเปี่ยมไปด้วยศรัทธา
“พญามัจจุราชน้องสาว? พญามัจจุราชมีน้องสาวด้วยหรือ?” หลิงเฟิงซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ ถามเจี้ยชือ
เขาอธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “ใน ‘ทีฆราคม[1]’ บันทึกไว้ว่าพญามัจจุราชมีสองคน ซึ่งมีพญามัจจุราชพี่ชายคอยดูแลผีชาย ส่วนพญามัจจุราชน้องสาวคอยดูแลผีหญิง ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่าพญามัจจุราชคู่”
“นี่เป็ครั้งแรกข้าได้ยินเื่นี้ กลายเป็ว่ามีผู้หญิงที่เป็พญามัจจุราชด้วย” หลิงเฟิงถามต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็นพลางมองไปที่ศาลเ้า “อย่างไรก็เถอะ พญามัจจุราชน้องสาวเป็เทพแห่งปรโลก เหตุใดวัดตงหวาถึงได้สร้างศาลเ้าให้นาง เช่นนี้จะไม่โชคร้ายเอาหรือ?”
ทันทีที่หลิงเฟิงพูดจบ ภิกษุรอบกายก็จับจ้องมาที่เขาอย่างโกรธเคือง เจี้ยชือเองมองด้วยแววตาที่ไม่ต่างกันเท่าไรนัก
เหมียว
จู่ๆ แมวก็ร้องขึ้น แล้วในวินาทีต่อมาก็มีเสียงกรีดร้องของหลิงเฟิงพร้อมรอยกรงเล็บพิฆาตของเ้าแมวที่ฝากไว้บนตัวเขาเป็จำนวนมาก
“เ้าแมวบ้านี่!” หลิงเฟิงพูดลอดไรฟันและคิดที่จะจับปีศาจตัวน้อยตัวนี้ แต่ทันทีที่ยื่นมือออกไปก็ถูกชิงอีส่งสายตาเย็นเฉียบเชิงข่มขู่มาให้
หลิงเฟิงจำใจยอมปล่อยและได้แต่กุมหน้าตนพลางบ่น “อาศัยบารมีนายรังแกชาวบ้าน มันยุติธรรมที่ไหนกัน!”
ชิงอีส่งเสียงฮึออกมาอย่างเ็า เ้าเด็กนี่กล้าบอกว่านางเป็ตัวโชคร้ายงั้นเหรอ? แค่รอยข่วนนิดๆ หน่อยๆ ถือว่าเบาไปเสียด้วยซ้ำ
พระอาจารย์เจี้ยชือมองเหตุการณ์ตรงนี้แล้วพนมมือพูดกับหลิงเฟิงว่า “ดินแดนแห่งพระพุทธศาสนาควรสำรวมวาจา อาตมาหวังว่าโยมจะไม่ภูตผี”
“ข้ายังไม่ได้ว่าอะไรเลย” หลิงเฟิงพึมพำ “ยิ่งไปกว่านั้น ยังไงนางคงไม่ได้ยินอยู่แล้ว...”
ชิงอีที่อยู่บนหลังเซียวเจวี๋ยมองหลิงเฟิงอย่างเกียจคร้านและส่งยิ้มให้ “เ้ารู้ได้อย่างไรว่านางไม่ได้ยิน?”
ต่อให้อยู่ที่นี่หรือปรโลกข้าก็ได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้ง!
เนื่องจากชิงอีเป็หญิงสาวจึงได้พำนักอยู่ลานภายในของวัดซึ่งห่างจากที่พำนักของเซียวเจวี๋ย หลังจากเถาเซียงและต้านเสวี่ยเปลี่ยนเสื้อผ้าและซักเสื้อผ้าให้ชิงอีแล้ว นางก็นอนลงบนตั่งพลางเอ่ยปากบอกว่าหิวออก ถึงสั่งให้นางกำนัลทั้งสองไปนำอาหารมาให้
ภายในห้องเงียบสงบได้ไม่ถึงเสี้ยวลมหายใจ
“น่าสนใจจริงๆ ข้ายังไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับการสร้างร่างทอง[2]ให้กับพญามัจจุราชในวัดวาอารามเช่นนี้เลย” เ้าแมวอ้วนหัวเราะเหอะๆ “ชิงอี คราวนี้พวกเราคงไม่ใช่น้ำเชี่ยวชนปะทะวังพญาั[3] คนครอบครัวเดียวกันทะเลาะกันเองหรอกใช่หรือไม่?”
ราชินีกลอกตา “พวกภูตผีปีศาจเ่าั้สมควรเรียกว่าเป็สมาชิกในครอบครัวของข้าด้วยงั้นหรือ?”
เ้าแมวอ้วนหัวเราะแห้งๆ “มันก็ต้องเป็เช่นนั้นอยู่แล้ว ภูตผีที่ก้าวผ่านธรณีประตูชิงอีเตี้ยนของเรามาได้คงไม่เป็ภูตผีชั้นต่ำขนาดนั้น เพียงแต่จากปากคำของวั่งจีตัวปลอมนั้นดูท่าศิษย์พี่ที่ว่าจะไม่ใช่พระอาจารย์เจี้ยชือนะ ถึงเขาจะมีแสงแห่งธรรมเลือนรางแต่ใช่ว่าจะไม่มีิญญาร้ายเลย”
“ถึงเขาจะไม่ได้เป็คนชักใยอยู่เื้ัแต่ก็เป็ผู้สมรู้ร่วมคิดคนหนึ่ง”
“เช่นนี้แล้ว ข้าเลยเห็นจุดอิ้นถาง[4]ของพระอาจารย์นั่นที่เปลี่ยนเป็สีดำราวกับว่ากำลังจะมีภัยพิบัติสินะ” เ้าแมวอ้วนพูดกระแนะกระแหน พลันมันก็เกิดคำถามขึ้นมา “แต่วัดตงหวาแห่งนี้ก็แปลกจริงๆ ทั้งที่ด้านล่างเห็นว่าเมฆดำปกคลุมเขาลูกนี้ที่ทำให้รู้ว่ามีิญญาอยู่ทั่วทุกที่ แต่พลังิญญาเ่าั้กลับหายไปหมดในวัดแห่งนี้”
ั์ตาของชิงอีสั่นไหวกำลังเอ่ยปากพูดกลับมีเสียงเคาะประตูดังขัดมาก่อน ชิงอีขยิบตาให้เ้าแมวอ้วน มันจึงรีบะโกลับขึ้นไปบนคาน
“เข้ามา”
ประตูถูกเปิดเข้ามา
กลับเป็สามเณรตัวน้อยที่ถืออาหารเข้ามาให้ชิงอี เขาก้มศีรษะลงและเดินด้วยท่าทางแลดูประหลาดเหมือนว่ากำลังเดินเขย่ง
“องค์หญิง เครื่องเสวยมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสวยได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
ชิงอีถามเนือยๆ “เหตุใดเ้าถึงมาส่งล่ะ แล้วนางกำนัลทั้งสองของข้าอยู่ที่ไหน?”
“แม่นางทั้งสองก็ลำบากมาตลอดทาง ตอนนี้พวกเขากำลังกินอาหารอยู่ในโรงครัว เณรจึงอาสานำเครื่องมาถวายแทนพวกนางก่อน”
ชิงอีส่งเสียงอืมแล้วหยัดกายขึ้นและเดินเพียงสองสามก้าวไปหลังม่านด้วยท่าทางกระฉับกระเฉงดูไม่เหมือนว่ามีปัญหาในเื่การขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
สามเณรตัวน้อยตะลึงงันเมื่อริมฝีปากแดงขยับยิ้มจนเห็นฟันขาวราวกับหุ่นกระดาษที่ปัดแป้งสีชาดบนแก้มมีชีวิตขึ้นมา
“ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่านางกำนัลต้องกินก่อนแล้วค่อยให้เ้านายกิน”
สามเณรน้อยยิ้มแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป “เช่นนั้นเณรก็ไม่รบกวนองค์หญิงแล้ว” เมื่อเขาพูดจบก็กำลังจะเดินออกไป
มีเสียงปังดังขึ้นเป็เสียงของประตูที่ปิดเอง
ชิงอียิ้มและเหินตัวขึ้นเตะโดยไม่มีคำเตือนใดๆ
พลั่ก!
สามเณรน้อยถูกเตะอัดผนังจนมันยุบเป็แอ่งโคลนแอ่งหนึ่งนั้นมึนงงไปหมด
“มายืนตัวสั่นงันงกต่อหน้าพญามัจจุราช ผีโง่เง่าเช่นเ้าเนี่ยเป็ครั้งแรกที่ข้าเจอ!”
สามเณรตัวน้อยเคลื่อนตัวลงจากกำแพงและมองชิงอีอย่างหวาดๆ เมื่อสังเกตนิ้วเท้าเขาชัดเจนแล้วจึงพบว่าเขาเขย่งมาตลอดโดยที่ส้นเท้าไม่เคยััพื้นเลย
เขาเหลียวซ้ายแลขวารู้เลยว่าอยากจะหนี แต่เมื่อหันไปเผชิญหน้าเ้าแมวที่เลียปากแพล็บๆ จ้องมาที่เขา แล้วเมื่อมันสูดปากก็เหมือนว่าผีหนุ่มจะถูกดูดเข้าไปในปากของมันราวกับโดยทรายดูด
“อ๊า อย่ากินข้า! อย่ากินข้าเลย!”
ผีหนุ่มกลัวว่าจะถูกกลืนกินจึงนอนราบกับพื้นและขอความเมตตาไม่ขาดสาย
เมื่อเห็นเ้าผีที่ตัวสั่นงันงกแล้วชิงอีถึงกับกลอกตา ขี้ขลาดเช่นนี้ยังกล้าที่จะมาหานางในฐานะปีศาจอีก ดวงตาสวยจับจ้องไปที่เขา “สั่นทำไม ประเดี๋ยวคนก็คิดว่าข้ารังแกเ้า!”
นี่น่ะเหรอไม่รังแก? ผีหนุ่มเกือบร้องถามออกมา การเตะเมื่อครู่นั้นเขายังรู้สึกว่าิญญาของตนกำลังถูกไล่ออกไป ไหนจะมีเ้าแมวอ้วนจ้องเขาอยู่ใกล้หมายจะกินิญญาอีก
“ยังจะเล่นเป็ผีบังตาอีก รีบกลับร่างเดิมของเ้าเดี๋ยวนี้!” ชิงอีะโอย่างเหลืออด
ผีหนุ่มจึงต้องรีบกลับสู่ร่างเดิมทันที คิ้วหนาและใบหน้ายาว หน้าตาของเขาดูซื่อสัตย์และมารยาทดี ทันทีที่เขากลับร่างเดิม โก่วต้านก็ออกมาจากถุงหูรูดที่แขวนอยู่ตรงเอวของชิงอีด้วยความตื่นเต้น
“ลุงหวัง! เป็ลุงเองเหรอ!”
**************************
[1] ทีฆราคม《长阿含经》คือหนึ่งในสี่พระไตรปิฎก คือ ทีฆราคม มัธยมาคม สังยุกตาคม เอโกตตราคม
[2] ร่างทอง คือ รูปหล่อเทพเ้าสีทองของคนจีน
[3] น้ำเชี่ยวชนปะทะวังพญาั หมายถึง คนกันเองไม่ยอมรอมชอม จนต้องมาปะทะ/มาสู้กันให้เกิดความเสียหาย
[4] จุดอิ้นถาง (印堂) คือ จุดลมปราณที่อยู่ระหว่างคิ้วทั้งสองข้าง