“ไม่ ไม่ต้อง…” เหยียนชิงใ อาการมึนเมาก็ลดลงหลายส่วน สองมือยุ่งเป็พัลวัน “พิธีร่วมเตรียมอะไรนั่นก็ช่างมันไปเถอะ…อืม ข้าทำไม่เป็… เอ๊ะ เ้าปล่อยมือได้แล้ว…”
เขาทำไม่เป็ เอ่อ ถึงเคยได้ยินมาไม่น้อยแต่ก็ไม่เคยปฏิบัติ
แม้ว่าเสียงด้านหลังจะเบาเหมือนยุงบิน ทว่าเว่ยซูหานกลับได้ยิน จึงกล่าวด้วยแววตาเคร่งขรึม
“เ้าเมาแล้ว ข้าจะปรนนิบัติเ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แล้วพักผ่อน ไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่แตะต้องเ้าด้วย อย่าเสียงดังไปเลย ถ้าคนเดินผ่านไปมาได้ยินเข้าแล้วมาแอบฟังที่ประตูห้องเราจะทำเยี่ยงไร?”
อย่างไรเสียก็ยังถือว่าเป็เด็ก ทำไม่เป็ก็ไม่เป็ไร ในเมื่อตนทำเป็ ต่อไปเมื่อเขาโตขึ้น ตนจะเป็คนสอนทุกอย่างให้เขาเอง
“เอ่อ…อื้ม เช่นนั้น… รบกวนฮูหยินด้วย…”
เหยียนชิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก่อนจะหยุดดิ้นรน เขาลดเสียงลงอย่างระมัดระวัง ปล่อยให้อีกฝ่ายถอดเสื้อคลุมของตนออก ์ทรงโปรด สุดท้ายแล้วก็เป็เขาที่คิดมากไปเอง เว่ยซูหานตอนนี้ยังบริสุทธิ์ จะคิดเหลวไหลได้อย่างไรกัน
เมื่อผ่อนคลายแล้ว ฤทธิ์เหล้าที่สร่างไปชั่วขณะก็พลันกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง แต่ถึงอย่างไร วันนี้ถือว่าจัดการเื่สำคัญได้สำเร็จอีกเื่ แม้สถานการณ์จะแปรผันตามเวลา ทว่า์ก็ยังไม่ทอดทิ้งตน
เมื่อฤทธิ์เหล้ากลับมาอย่างสมบูรณ์ เหยียนชิงก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมา ไม่นานหนังตาหนักอึ้ง สุดท้ายจึงหลับตาลงอย่างอดไม่ได้
เว่ยซูหานเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาตามธรรมเนียม หลังจากเช็ดมือเช็ดเท้าให้เขาด้วยน้ำอุ่นที่บ่าวรับใช้เตรียมไว้ให้แล้วก็แช่เท้าของตนลงไปครู่หนึ่งก่อนจะเข้านอน
มองใบหน้าที่ยังอ่อนเยาว์ที่อยู่ห่างกันเพียงคืบ ก็อดคิดถึงตอนที่พวกเขาพบกันครั้งแรกในวังหลวงเมื่อชาติที่แล้วไม่ได้ ตอนนั้นเมื่อมองผ่านศาลาริมน้ำไป ตนเห็นเขากำลังสอนหนังสือให้องค์ชายในตำหนักเหวินหัว ใบหน้าดูเป็มิตร มุมปากของเขาโค้งขึ้นเป็รอยยิ้มที่เ้าเล่ห์และเฉลียวฉลาด
ในตอนนั้นตนอยากดูแลปกป้องเขาไปตลอดชีวิต แต่น่าเสียดาย เขาไม่อาจทำอะไรได้ตามอำเภอใจ บวกกับแผนการที่ตามมาในภายหลัง ต่อให้เขามีอำนาจล้นฟ้า สุดท้ายก็ทำได้แค่มองตระกูลเหยียนทั้งตระกูลตายไปพร้อมความแค้น
เว่ยซูหานมองคนที่หลับสนิทอย่างจริงจัง สุดท้ายสายตาก็หยุดอยู่ที่ริมฝีปากสีชมพู เขาก้มศีรษะบรรจงจูบเบาๆ โดยไม่ลังเล ชาตินี้ คนผู้นี้ก็คือของของเขา ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะแย่งเขาไป
เขาจะต่อต้านเจาเสวี่ยให้ตระกูลเว่ย และจะช่วยตระกูลเหยียนผ่านพ้นหายนะ เขาเชื่อว่าตระกูลเหยียนถูกใส่ร้าย
ผูกมิตรเป็สามีภรรยา ความรักของสองคนไม่พรากจากกัน นับแต่นี้ไป ไม่ว่ามรสุมจะโหมกระหน่ำก็จะร่วมฝ่าฟัน ลงเรือลำเดียวกันก็อยู่ร่วมกัน ชาตินี้จะไม่ทอดทิ้งกัน
เมื่อยังไม่ผ่านพิธีสวมกวาน [1] เหยียนชิงจึงไม่ค่อยได้ดื่มเหล้า ดังนั้นวันรุ่งขึ้นเขาจึงตื่นสาย พอตื่นมาก็ยังเวียนหัว
เมื่อลุกจากเตียง สีหน้าก็เปลี่ยนเป็ซีดเผือด ตอนนี้เว่ยซูหานทำความสะอาดเสร็จแล้วและออกไปอ่านหนังสือที่ด้านนอก เมื่อได้ยินเสียงก็รีบเดินเข้ามา
“สามีข้า ท่านตื่นแล้วหรือ?”
“อืม…” เหยียนชิงลุกขึ้นยื่นมือขึ้นมาปิดปากพร้อมกับหาว เหลือบตาขึ้นมาก็เห็นเว่ยซูหานสวมชุดคลุมสีฟ้า ผูกเข็มขัดผ้าไหม รูปร่างผอมเพรียวสูงสง่า จึงกล่าวในใจอย่างอดไม่ได้
วีรบุรุษหนุ่มงดงามเป็เสน่ห์ไร้ผู้ใดเทียบ
ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วเดรัจฉานเหยียนิฮ่วนตัวนั้นจะลงมือทำร้ายคนไม่สนวิถีทาง เว่ยซูหานเกิดในตระกูลแม่ทัพ วรยุทธ์แข็งแกร่ง แต่กลับถูกพวกเดรัจฉานกลุ่มหนึ่งวางยาจนเกือบพิการ
“เหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติ”
ฝ่ามือใหญ่ยื่นไปนาบกับหน้าผาก นั่งลงข้างเตียงโอบไหล่เขาเบาๆ เมื่อมองคนที่มีใบหน้าซีดเผือดดวงตาเหม่อลอย เว่ยซูหานอดสงสารไม่ได้ คนผู้นี้คงไม่เต็มใจที่จะเสียสละอะไรขนาดนั้น ชาติก่อน เหยียนชิงตั้งใจอ่านตำราอย่างหนัก ก่อนจะสอบจนมีชื่อเสียง ไม่ค่อยสนใจเื่อื่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเื่เช่นนี้เลย
กลิ่นอายกับการเคลื่อนไหวที่ใกล้ชิดทำให้เหยียนชิงได้สติจนอดหน้าแดงไม่ได้ เขาดึงเสื้อผ้าและเส้นผมที่ยุ่งเหยิงก่อนจะผลักอีกฝ่ายออกไป
“ข้าไม่เป็ไร…”
เมื่อถูกผลัก แววตาของเว่ยซูหานจึงฉายแววผิดหวัง จากนั้นก็เปลี่ยนเื่ “ข้าจะปรนนิบัติเ้าล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้า”
“ไม่ต้อง…” เหยียนชิงโบกมือ ไม่เงยหน้ามองเขา พูดโพล่งว่า “ให้อิงหลีเข้ามาปรนนิบัติก็พอ เ้าไม่ต้องปรนนิบัติข้าหรอก”
“เขายุ่งอยู่” เว่ยซูหานตอบ
“เช่นนั้นข้าทำเองก็ได้…”
เหยียนชิงนวดหน้าผากที่รู้สึกวิงเวียนเล็กน้อยก่อนจะลงจากเตียง พอลุกขึ้นมาได้แล้วก็ยิ่งรู้สึกเวียนหัว ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้ดื่มเหล้า แม้บางครั้งจะถูกพี่ชายพาไปสังสรรค์บ้างเป็ครั้งคราว ทว่าจู่ๆ ให้มาดื่มมากไปเช่นนี้ ทำให้ทนไม่ไหวจริงๆ
เว่ยซูหานรีบประคองเขากลับลงเตียงอย่างรวดเร็ว
“เ้าไม่ดื่มเหล้า แต่เมื่อวานดื่มมากไปหน่อย ตอนนี้ก็น่าจะยังเมาค้างอยู่ อย่าฝืนเลย”
“อืม… จริงด้วย ปกติข้าก็ไม่ได้ดื่ม…”
เหยียนชิงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ตอนที่เว่ยซูหานถือผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดหน้าให้เขา เขาจึงไม่ปฏิเสธอีกต่อไป
เชิงอรรถ
[1] พิธีสวมกวาน หมายถึง ประเพณีก้าวพ้นวัย ทำเมื่อผู้ชายอายุยี่สิบปี