“เกี่ยวกับเื่ของเผ่ากู่ลั่ว อาจารย์ยังรู้เื่อื่นอีกหรือไม่ขอรับ?” ที่ก่วงฉือไต้ซือกล่าวมานั้น หลี่ลั่วเคยได้ฟังมาจากหลี่จงิแล้ว เขาอยากรู้เื่ราวที่ละเอียดมากกว่านี้
ก่วงฉือไต้ซือเป็คนฉลาดเพียงนั้น เมื่อได้ยินหลี่ลั่วมีความอยากรู้อย่างกระวนกระวายใจ ผนวกกับคิดเชื่อมโยงไปถึงคำพูดเมื่อสักครู่ “หรือว่าเื่ของเผ่ากู่ลั่วจะมีความเกี่ยวพันกับชาติกำเนิดของเ้ารึ?”
หลี่ลั่วพยักหน้า หยิบลูกประคำอีกสายหนึ่งออกมา “นี่คือสร้อยประคำที่มารดาผู้ให้กำเนิดทิ้งไว้ให้ข้าขอรับ ศิษย์เองก็เพิ่งทราบมาจากเมื่อวานว่าที่จริงแล้วสร้อยประคำพระยูไลยังเรียกว่าสร้อยประคำแม่ลูกได้อีกด้วย มีสองสาย มารดาผู้ให้กำเนิดหลังจากคลอดข้าออกมา จึงนำข้ามามอบให้บิดา และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนับั้แ่นั้นเป็ต้นมา ข้าสงสัยว่าเขาอาจจะเกิดเื่แล้ว ดังนั้นใจจึงร้อนรุ่มดั่งไฟสุมขอรับ”
“แม่ลูกผูกพัน เป็ความผูกพันทางสายเื เ้ากังวลนางเป็เื่ปกติ แต่เผ่ากู่ลั่วนั้นลึกลับจริงๆ แคว้นของพวกเรามาจนถึงวันนี้มีประวัติศาสตร์ไม่ถึงร้อยปี แต่ตำนานของชนเผ่ากู่ลั่วนั้นมีมาั้แ่ก่อนร้อยปีให้หลังนี้เสียอีก”
ไท่จู่ฮ่องเต้ ครองบัลลังก์ยี่สิบปี ทรงขึ้นครองราชย์เมื่อมีพระชนมพรรษาได้สี่สิบห้าพรรษา และตในยามมีพระชนมพรรษาหกสิบห้าพรรษา
เกาจู่ฮ่องเต้ บุตรชายคนโตของฮองเฮาในไท่จู่ฮ่องเต้ เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ โดดเด่นในทุกๆ เื่ ทรงขึ้นครองราชย์เมื่อมีพระชนมพรรษาได้สี่สิบสามพรรษา และตในยามมีพระชนมพรรษาแปดสิบสองพรรษา ครองบัลลังก์สี่สิบปี
อู่เต๋อฮ่องเต้ เป็ฮ่องเต้ที่อายุสั้น เกาจู่ฮ่องเต้อายุยืนเกินไป ดังนั้นจึงทำให้บรรดาพระโอรสนั่งไม่ติดแล้ว อู่เต๋อฮ่องเต้เมื่อแรกได้รับการช่วยเหลือจากแม่ทัพ ขึ้นครองราชย์เป็ฮ่องเต้ ปราบศึกภายในจนสงบ ขึ้นครองราชย์เมื่อมีพระชนมพรรษาได้ห้าสิบห้าพรรษา และตในยามมีพระชนมพรรษาห้าสิบแปดพรรษา ครองบัลลังก์สามปี
เหรินเซี่ยวฮ่องเต้ เสด็จปู่ของกู้จวิ้นเฉิน เสด็จพ่อของจ้าวหนิงฮ่องเต้และไท่จื่อเยี่ยน ขึ้นครองราชย์เมื่อมีพระชนมพรรษาได้สามสิบสามพรรษา และตในยามมีพระชนมพรรษาหกสิบห้าพรรษา ครองบัลลังก์สามสิบสองปี
ไท่จื่อเยี่ยน ในวันที่ขึ้นครองราชย์ บรรดาองค์ชายก่อฏ แม้หลี่ซวี่จะเร่งเดินทางมาปราบศึกภายใน แต่เหน็ดเหนื่อยทั้งกายใจ จากไปั้แ่ยังหนุ่ม ครองบัลลังก์หนึ่งเดือน
จ้าวหนิงฮ่องเต้ ขึ้นครองราชย์เมื่อมีพระชนมพรรษาได้สามสิบห้าพรรษา จวบจนถึงตอนนี้ครองบัลลังก์มาเป็เวลาหกปีแล้ว
ไท่จู่เป็ผู้บุกเบิกก่อตั้งราชวงศ์ อยู่ในประวัติศาสตร์แคว้นจีนปีที่หนึ่งถึงปีที่ยี่สิบ
เกาจู่ถือกำเนิดก่อนที่จะก่อตั้งแคว้น นับเป็ปีที่ยี่สิบเอ็ดได้ขึ้นครองราชย์จนถึงปีที่หกสิบเอ็ด
อู่เต๋อฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ในปีที่หกสิบเอ็ด ปีที่หกสิบสี่ต
เหรินเซี่ยวฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ในปีที่หกสิบสี่ ปีที่เก้าสิบหกต
จ้าวหนิงฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ในปีที่เก้าสิบหกจวบจนถึงปัจจุบัน เป็ปีที่หนึ่งร้อยสอง ปัจจุบันนี้แคว้นจีนเป็ปีที่หนึ่งร้อยสอง (รัชศกจ้าวหนิงปีที่หก)
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ เผ่ากู่ลั่วมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เช่นนั้นก็น่าจะมีร่องรอยให้ข้าตามหา ศิษย์ขอบคุณอาจารย์ที่ชี้แนะขอรับ” ไม่ว่าจะพูดอย่างไร หลี่ลั่วคิดกระจ่างแจ้งดีแล้ว ก่อนที่หลี่ซวี่จะตายนั้น ด้วยกำลังและอำนาจในมือเขายังหาเผ่ากู่ลั่วไม่พบ ตนเองเพิ่งจะห้าขวบ อายุยังน้อย เขาไม่รีบเร่ง
เพื่อนคนแรกที่หลี่ลั่วได้ต้อนรับที่วัดก่วงเปยก็คือจางเลี่ยนไป๋ หลี่หงพาเขามาพร้อมกัน พูดขึ้นมาแล้วหลายวันมานี้เพราะเื่สร้อยประคำพระยูไล หลี่ลั่วจึงได้ลืมจางเลี่ยนไป๋ไปเสียสนิท
“พี่ใหญ่ พี่จาง” เมื่อเห็นคนทั้งสอง หลี่ลั่วนั้นดีใจจนออกนอกหน้า “พวกท่านมาได้อย่างไรกัน?”
“เ้าเชิญพี่จางไปที่จวน ตัวเ้าเองกลับไม่อยู่ที่จวน ดังนั้นข้าและพี่จางปรึกษากันแล้วจึงพากันมาเยี่ยมเ้าที่วัดก่วงเปย ยังมีของเหล่านี้ด้วย ล้วนเป็ท่านแม่ที่สั่งให้คนตระเตรียมของว่างและกับข้าวอาหารเจไว้ เกรงว่าเ้าจะไม่คุ้นชินอาหารการกินในวัดก่วงเปย” หลี่หงให้คนนำของยกเข้าไป
หลี่ลั่วพูดยิ้มๆ “ไหนเลยจะไม่คุ้นชินขอรับ อาหารการกินั้แ่เล็กยังดีไม่เท่าอาหารเจในวัดก่วงเปยเลย มาเถิด ไปนั่งที่เรือนข้า”
พูดแล้ว คนทั้งหมดก็เข้าไปในเรือนของหลี่ลั่ว หลี่ลั่วให้ซินเป่านำของว่างออกมาและได้ส่งไปให้ก่วงฉือไต้ซือและสามเณรน้อย ทั้งยังให้หยวนโม่และลวี่ผิงยกน้ำชาออกมา “จริงสิพี่ใหญ่ เื่ของเจียงซูเอ๋อร์เป็เช่นใดบ้างขอรับ?”
“พูดถึงสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงเจียงซูเอ๋อร์แล้วก็ช่างเป็คนประหลาดดีแท้” หลี่หงพูดแล้วก็อดไม่ไหวหัวเราะออกมา “เ้าเดาดูซิว่าเป็อย่างไร เพื่อให้ตัวเองไม่ต้องแต่งให้แคว้นฉวี่หลง นางจึงทำผิดประเพณีกับเฉิงเอินโหวซื่อจื่อ ถังลิ่ง เมื่อยามที่ทั้งสองคนถูกพบนั้นล้วนไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ปกปิดร่างกาย กอดก่ายกันแแ่ ไอโยว...เวลานี้ทั้งสองคนได้หมั้นหมายกันแล้ว”
“เช่นนั้นหน้าของฝ่าาเล่า? องค์ชายฉวี่หลงจะยอมรามือหรือ?” หลี่ลั่วถาม องค์ชายฉวี่หลงนั้นมีใจปฏิพัทธ์ต่อเจียงซูเอ๋อร์ดังรักแรกพบ
“ฝ่าาทรงพิโรธใหญ่โต หน้าของสกุลเจียง สกุลอวี๋ และฉีอ๋องล้วนไม่เหลือ แต่ยังดีที่เื่นี้เกิดขึ้นในเวลาที่ฉีอ๋องกำลังอยู่ระหว่างทางไปซีเป่ย ได้ยินว่าเป็แม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋เป็ผู้ออกหน้าขอร้อง ฝ่าาจึงยอมปล่อยเจียงซูเอ๋อร์” หลี่หงกล่าว
“เช่นนั้นการแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีเล่า?” นี่คือประเด็นสำคัญ
“องค์หญิงฉวี่หลงและองค์ชายรองแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี” หลี่หงกล่าว
อะไรกัน? องค์หญิงและองค์ชายแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี นี่มันสำคัญกว่าองค์ชายฉวี่หลงแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีกับเจียงซูเอ๋อร์มากมายนัก แต่เหตุไฉนจึงเปลี่ยนเป็เช่นนี้ได้เล่า? หลี่ลั่วเพียงแต่แปลกใจทว่าไม่ได้ถามอันใดมากมาย สำหรับแคว้นฉวี่หลงแล้วนั้น การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นก็เพื่อ้าหาประโยชน์จากแคว้นจีน เจียงซูเอ๋อร์ไม่ได้อยู่ในใจของฉีอ๋อง องค์หญิงฉวี่หลงไม่ได้คาดหวังอะไรมากกับเื่การแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างองค์ชายฉวี่หลงกับเจียงซูเอ๋อร์อยู่แล้ว เวลานี้เกิดเื่เช่นนี้ขึ้น นางจึงฉวยโอกาสเสนอการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีกับองค์ชายรอง เพื่อให้เป็ตามที่ตน้า
“พูดไปแล้วยังคงเป็เื่ที่ข้าจะแนะนำคู่ครองให้กับพี่จางเป็เื่สำคัญ” หลี่ลั่วพูดขึ้นอีก
จางเลี่ยนไป๋หน้าแดงเล็กน้อย หลี่หงประหลาดใจ “เ้าจะแนะนำผู้ใดกัน?”
“พี่หญิงใหญ่” หลี่ลั่วกล่าว “พี่หญิงใหญ่ของข้าพี่จางเคยได้พบหน้าแล้ว วันไหว้พระจันทร์ในงานเทศกาลโคมไฟนางอยู่ด้วยกันกับข้า ยังจำได้หรือไม่?”
จางเลี่ยนไป๋หน้าแดงยิ่งกว่าเดิม เขาย่อมต้องจำได้อยู่แล้ว แม่นางน้ำเสียงอ่อนโยน นิสัยสุภาพเรียบร้อย เขาจำได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต่อมานางโทษตัวเองที่ทำเสี่ยวโหวเหฺยหายตัวไป ร่ำไห้ด้วยความปวดใจถึงเพียงนั้น
“พี่หญิงใหญ่ปีนี้อายุสิบหกปี พี่จางเพิ่งจะผ่านพิธีสวมกวานอายุสิบแปดปี ทั้งสองคนล้วนเหมาะสมกันดี สำหรับนิสัยของพี่หญิงใหญ่ของข้า เป็แม่นางที่สุภาพ ละเอียดอ่อน กตัญญูอย่างยิ่ง แต่หากเป็เื่ใหญ่คงต้องให้พี่จางใส่ใจมากสักหน่อย ทว่าข้าเชื่อว่าพี่จางมีความสามารถนี้” หลี่ลั่วกล่าวอีก
“น้องหก เ้า...” หลี่หงหมดคำพูดแล้ว แต่พอพูดถึงน้องสาวของตนและจางเลี่ยนไป๋ หลี่หงครุ่นคิด ทั้งสองคนเหมาะสมกันจริงๆ “ไฉนข้าจึงไม่เคยคิด หากพี่จางมาเป็น้องเขยข้า เช่นนั้นดียิ่ง พี่จางคิดเห็นอย่างไร?”
จางเลี่ยนไป๋หน้าแดงจนแดงไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว แต่ยังคงเงยหน้าขึ้น “ทุกอย่างล้วนฟังท่านป้าและคุณหนูหลี่” ความหมายก็คือ เขาเห็นด้วย
หลี่ลั่วนั้นพออกพอใจในตัวจางเลี่ยนไป๋ยิ่ง มีผู้คนมากมายที่มีครอบครัวยากจนเช่นจางเลี่ยนไป๋ มักจะรู้สึกว่าตนเองต้อยต่ำ หรือพูดว่าฐานะของครอบครัวตนไม่ดี แต่จางเลี่ยนไป๋ไม่เป็เช่นนั้น เขายังคงมีนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา
เมื่อหลี่ลั่วถูกใจเขา และยังรู้สถานการณ์ของครอบครัวเขาแล้ว ย่อมไม่รังเกียจ จางเลี่ยนไป๋เป็คนฉลาดคนหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่รั้งรอเวลา เขาชมชอบสตรีที่สุภาพอ่อนโยน กตัญญู ด้วยเหตุที่มารดาของเขาสุขภาพไม่ดี ดังนั้นจึงคิดจะแต่งภรรยาที่น่ารักมาดูแลมารดาของตน
แน่นอนว่าเขาเป็ผู้ชาย เวลานี้เขาอาจจะยังไม่สามารถให้ชีวิตที่ดีแก่นางได้ แต่เขามีความเชื่อมั่นในตนเอง
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ คุยกันแน่นอนแล้ว หลังจากกลับไปพี่ใหญ่ไปพูดกับมารดาเสียหน่อย ดูว่ามารดาสะดวกเมื่อใด จะได้พบหน้าพี่จาง” หลี่ลั่วไม่ได้หาคู่ครองให้หลี่หลินอย่างขอไปที แต่เขาชอบนิสัยของจางเลี่ยนไป๋จริงๆ และเมื่อพูดถึงความเป็จริงแล้ว การที่จางเลี่ยนไป๋จับคู่กับหลี่หลินไม่ใช่การปีนป่ายขึ้นสูง ในทางกลับกัน ยังคงเป็หลี่หลินที่ใจกว้างไม่พอ
สำหรับเื่ระหว่างหลี่หลินและจางเลี่ยนไป๋ หลังจากหลี่หงกลับไปจึงได้พูดกับหลี่หยางซื่อ จางเลี่ยนไป๋คนผู้นี้หลี่หยางซื่อจำไม่ค่อยได้ ได้ยินหลี่หงพูดว่าคืนที่หลี่ลั่วหายตัวไป เขายังได้ออกช่วยตามหา และรู้จักกันตอนที่ทายปริศนาโคมไฟ ความรู้สึกที่มีต่อเขานั้นดียิ่ง อีกทั้งการสอบระดับมณฑลในครั้งนี้จางเลี่ยนไป๋อยู่ในสิบลำดับแรก เวลานี้เป็จวี่เหรินแล้ว รอเพียงการสอบหน้าพระที่นั่งในปีหน้าเดือนสาม ในเรือนยังมีเพียงมารดาที่เจ็บป่วยนอนอยู่กับเตียงคนหนึ่ง ครอบครัวเรียบง่าย หลี่หยางซื่อพอใจยิ่งนัก
ด้วยนิสัยของหลี่หลิน สมาชิกในครอบครัวยิ่งน้อยยิ่งดี
“ความหมายของน้องหกก็คือ หากว่าดี ให้รีบกำหนดให้แน่นอน หากรอให้จางเลี่ยนไป๋สอบเข้าเป็จิ้นซื่อแล้วเกิดเขาสอบเข้าซานเจี่ย[1]ได้ละก็ ถึงเวลานั้นคนที่จะมาพูดเื่คู่ครองกับเขาคงมีมาก” หลี่หงย้ำเตือน
หลี่หยางซื่อคิดแล้วจึงเห็นพ้อง “เช่นนั้นเ้าเชิญจางจวี่เหรินมาพบที่จวนดีหรือไม่?”
“ลูกตั้งใจเช่นนี้เหมือนกันขอรับ” หลี่หงกล่าว “อีกสองเดือนลูกจะแต่งงานแล้ว หลินเจี่ยเอ๋อร์อายุสิบหกปีแล้ว หากกำหนดแน่นอนกับพี่จาง สามารถแต่งออกไปปีหน้า่หลังขึ้นปีใหม่ได้ขอรับ”
“ดูเ้าพูดจาเข้า หรือว่าเ้ายังจะรีบร้อนให้น้องสาวของเ้าออกเรือนไปด้วยเล่า?” หลี่หยางซื่อร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก
“ใช่ที่ไหนกันเล่าขอรับ ต่อให้น้องสาวอยู่ในจวนโหวทั้งชีวิต ข้าล้วนยินดี ข้าเพียงแต่ไม่อยากให้นางพลาดจากชายหนุ่มดีๆ มีความสามารถและอนาคตไกลเช่นนี้” หลี่หงกล่าว
แม้หลี่หยางซื่อจะยินดี แต่ยังคงตักเตือนหลี่หลิน หลังจากหลี่หลินตอบรับ จึงเชิญจางเลี่ยนไป๋มาพบที่จวนโหว จางเลี่ยนไป๋ตั้งใจสวมอาภรณ์ชุดใหม่สีขาว แม้เนื้อผ้าจะหยาบ แต่สะอาดสะอ้าน บวกกับหน้าตาท่าทางของเขาสุภาพอ่อนโยน บุคลิกดี หลี่หยางซื่อมีท่าทางเหมือนแม่ยายกำลังประเมินสังเกตดูบุตรเขย ยิ่งมองก็ยิ่งพออกพอใจ
หลังจากนั้น จางเลี่ยนไป๋เชิญแม่สื่อมาทาบทามอย่างเป็ทางการที่จวนโหว แม้สกุลจางจะยากจน แต่จางเลี่ยนไป๋นั้นเรียนดี ยามปกติเป็ครูสอนอยู่ในสำนักศึกษาเล็กๆ และยังช่วยร้านหนังสือคัดลอกหนังสือ ดังนั้นในหนึ่งเดือนเขาจะมีรายรับอยู่ราวๆสองถึงสี่ตำลึง เมื่อเชิญแม่สื่อมานั้น ยังได้ใช้เงินไปบางส่วน ซื้อของขวัญมาอีกเล็กน้อย
เมื่อแม่สื่อเดินออกมาถึงประตูใหญ่ของจวนโหว รอยยิ้มบนใบหน้าราวกับดอกไม้บาน สองครอบครัวชอบพอกันอยู่แล้วนั้นเป็เงินที่หาได้ง่ายยิ่งนัก จางเลี่ยนไป๋ในวันนี้เป็เสี่ยวจวี่เหรินแล้ว แต่ไม่มีใครสนใจเขา ดังนั้นเื่การหมั้นหมายระหว่างเขาและหลี่หลินจึงไม่เกิดคลื่นลมใดๆ ทั้งสิ้น ท่านแม่จางสุขภาพไม่ดี เื่การแต่งงานที่เหลือนั้นจึงเป็จางเลี่ยนไป๋ปรึกษาหารือกับหลี่หยางซื่อ เพราะปีหน้าเดือนสามจางเลี่ยนไป๋ต้องสอบหน้าพระที่นั่ง ดังนั้นความหมายของพวกเขาก็คือ กำหนดวันแต่งงานไว้หลังเดือนสาม ถึงเวลาจะสอบจิ้นซื่อต้อนรับหลี่หลินเข้าบ้านสกุลจาง ทั้งนี้ก็เพื่อเป็การให้หน้าจวนโหวด้วย เพราะด้วยฐานะของจวนโหวและฐานะของเขาแล้ว ถือเป็การปีนป่ายจริงๆ เขามีความเคารพนับถือตนเอง ไม่อยากให้ใครพูดว่าเขาอาศัยความสัมพันธ์กับจวนโหว
ดังนั้นการแต่งงานจึงกำหนดไว้ปีหน้าปลายเดือนสาม ยังมีเวลาอีกห้าเดือน หลี่หลินจะได้เตรียมตัวเย็บปักชุดแต่งงานของตน และเดือนสี่เป็เทศกาลเช็งเม้ง สำหรับสกุลจางแล้วนั้น สะใภ้ใหม่จะได้จุดธูปไหว้พ่อสามี สำหรับจวนโหวแล้วนั้น ลูกเขยจะได้จุดธูปให้พ่อตา
วันที่เลือกมานี้ดียิ่ง
ดังนั้น หลี่หงจึงไปวัดก่วงเปยอีกครั้งเพื่อนำเื่ที่กำหนดแน่นอนแล้วไปบอกกับหลี่ลั่ว
เวลานี้เข้าสู่เดือนสิบแล้ว เมื่อเขาไปถึงวัดก่วงเปยจึงได้รู้ว่า ก่วงฉือไต้ซือได้มรณภาพแล้ว ดังนั้นทั้งวัดจึงปิดประตูเป็เวลาสามวัน พระภิกษุทั้งหมดล้วนสวดมนต์ให้ก่วงฉือไต้ซือ
“น้องหก?” เขานั้นมาเพื่อจะแจ้งข่าวมงคล กลับมาพบเื่งานศพของก่วงฉือไต้ซือ ช่างอิหลักอิเหลื่อดีแท้
[1] ซานเจี่ย (三甲) คือผู้ที่สอบได้คะแนนลำดับที่ 1-3 ของการสอบรอบสุดท้ายหน้าพระที่นั่ง