Chapter 23
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่แซ็กคารีต้องเห็นโจไซอาเืออก ไม่ผ่านการอาเจียน ก็ผ่านเืกำเดา แซ็กคารีไม่มีโอกาสใกับวิธีการรักษาที่เป็จุมพิตจากเทพด้วยซ้ำ ในขณะที่แผลของเขาหายดีราวไม่เคยถูกแท่งเหล็กบาดมาก่อนเพราะเทพช่วยรักษา แต่โจไซอากลับกอดตัวเอง นั่งขดตัวกลางหิมะ มือผอมกำลังยกขึ้นปาดเืกำเดาออก แต่แซ็กคารีห้ามเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนครับ” ซาตานหนุ่มเปิดกระเป๋าเป้ที่สะพายบนไหล่ขวา หยิบผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินออกมาเช็ดเืให้แทน แต่มันไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหล
“ท่านควรกลับเมืองเทพ ที่นั่นอุ่นกว่านี้”
ลมหายใจทางปากด้วยความหอบเหนื่อยของโจไซอาขึ้นไอควันเพราะอากาศหนาว มือผอมพยายามใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกเอาไว้ให้เืหยุดไหล ผ้าสีน้ำเงินขึ้นรอยเข้มกว่าเดิม ด้วยสีแดงของเืผสมเข้าด้วยกัน ร่างกายอ่อนแรงหนาวสั่นเช่นนี้ แต่โจไซอายังส่ายหน้าปฏิเสธคำแนะนำ ส่งสายตามองแซ็กคารีชัดเจนว่าเขาจะไม่ยอมกลับ
“ช่วยดึงฉันขึ้นที”
แซ็กคารีอ้อมไปด้านข้างเทพร่างผอม โอบแขนที่เอวโจไซอา มืออีกข้างจับแขนผอมบางของเทพเอาไว้ ค่อย ๆ ช่วยให้โจไซอาลุกขึ้นยืนสำเร็จ จากนั้นนิ้วชี้ขององค์เทพก็คอยบอกทางให้แซ็กคารีพาเดินไป
เดินต่อเพียงไม่กี่ก้าวก็เห็นต้นไม้สูงที่เหลือเพียงกิ่งก้านเรียงรายริมถนนเส้นเก่า และบนถนนที่หิมะไม่สูงมากนักมีรอยล้อรถยนต์อยู่ โจไซอาเดินตามรอยล้อ จนกระทั่งเห็นรถยนต์สีดำสนิทของตนเองจอดอยู่ตรงหน้า
“ขึ้นไปสิ ขับไปที่ที่เธออยู่ กระท่อมที่เธอเคยพาฉันไป” โจไซอาส่งสายตาให้แซ็กคารีขึ้นไปนั่งในรถที่เบาะคนขับ
“ไม่เป็ไรครับ วันนี้ผมไม่ได้จะกลับไปที่นั่น” แซ็กคารีปฏิเสธ เขาใช้มือดันลำตัวผอมบางให้ขึ้นไปบนรถ แต่โจไซอาทำตัวแข็ง ไม่ยอมนั่ง
“ใช้รถของฉันได้ อยากขับไปที่ไหนก็แล้วแต่เธอ”
“ท่านควรกลับเมืองเทพมากกว่า ที่นี่หนาวเกินไป”
“ช่างเถอะ กลับไปฉันก็ไม่ดีขึ้น…”
โจไซอาพูดแบบนั้นอีกครั้ง และเป็สิ่งที่แซ็กคารียังหาคำตอบไม่ได้
“เธอจะเดินไปหรือไง หรือจะบิน ถ้าเกิดเหนื่อยกลางทางขึ้นมาล่ะ”
“ซาตานไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นครับ”
“แล้วเธอมั่นใจได้ยังไงว่าบินขึ้นฟ้าแล้วจะไม่มีมนุษย์เห็น”
แซ็กคารีชะงักนิ่ง ไม่อาจเอ่ยคัดค้านได้ ถ้าหากมีมนุษย์เห็นเขาในร่างซาตานเข้า เขาจะไม่ปลอดภัยทั้งในโลกมนุษย์ และในโลกของุ์ ด้วยบทลงโทษของเทพอารักษ์กฎ
“เธอมั่นใจได้ยังไงว่า… นอกกำแพงไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่”
เขาเงียบ เพราะโจไซอาพูดความจริงทั้งหมด พวกมนุษย์ที่สร้างกำแพงสูงเป็แนวยาววนรอบโลก และประกาศว่าจะไม่ออกมายุ่งวุ่นวายกับธรรมชาติภายนอกกำแพงเป็เื่โกหก หากมีเงินมากพอก็สามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในธรรมชาติเงียบสงบได้ ราวเป็โลกใบใหม่ของเศรษฐีที่มีเพียงคนฐานะเท่าเทียมกันอยู่เท่านั้น
มีร่องรอยอายุน้อยกว่าสิบปีหลายอย่างที่มนุษย์ทิ้งไว้ ทั้งหิมะบนพื้นถนนที่ไม่สูงเท่าจุดอื่น ๆ บ่งบอกถึงการใช้งาน ทั้งแสงสว่างตอนกลางคืนที่แซ็กคารีเคยเห็นเมื่อเดือนก่อนยามบินขึ้นฟ้า
เทคโนโลยีก้าวหน้าในยุคนี้ยิ่งทำให้แซ็กคารีต้องระวังมากขึ้นอีกยามสยายปีกบินขึ้นฟ้า ในตอนกลางวันเช่นนี้เขาไม่อาจอยู่ในร่างซาตานได้เลย แม้อยู่นอกกำแพงและมองไม่เห็นสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากพวกสัตว์
“ขึ้นรถเถอะ ขับให้ฉันที สัญญาว่าจะนั่งเงียบ ๆ”
แซ็กคารีหยุดคิด เริ่มโอนอ่อนต่อคำขอร้อง
“ห้ามมองผม”
“ฮะ”
“ท่านต้องสัญญาว่าจะนั่งเงียบ ๆ และไม่มองผมครับ”
ดวงตาสีเฮเซลจ้องโจไซอาด้วยความจริงจังหนักแน่นกับข้อตกลง แต่เทพกลับขมวดคิ้วอยากเถียงใจจะขาดว่าเขาไม่มีทางหยุดมองอีกฝ่ายได้ อยากย้อนไปถึง 99 ปีที่ผ่านมาที่เขาได้แต่คิดถึงคนรัก เฝ้ารอให้ได้เจอกันอีกครั้ง แต่เมื่อมาพบกันกลับถูกห้ามไม่ให้มองเช่นนี้
“ฉันทำไม่—”
“ไม่อย่างนั้นท่านคงต้องกลับเมืองเทพ ตกลงไหมครับ”
“ตก… ตกลง” ไม่รู้ทำไมโจไซอาถึงไม่กล้าขัดน้ำเสียง สายตา กับใบหน้าดุดันของแซ็กคารีขึ้นมา
เทพกะพริบตาปริบ ๆ ยอมรับข้อตกลงที่ยังไม่มั่นใจว่าตัวเองจะรักษาสัญญาได้ ลมหนาวพัดพาเข้ามาทักทายทั้งคู่ แซ็กคารีมีไหล่กว้างและตัวสูงพอจะช่วยบังลมให้โจไซอา เทพจึงไม่หนาวมากนัก แซ็กคารีพยุงเทพร่างผอมให้นั่งที่เบาะข้างคนขับแทน แล้วยอมขึ้นรถมานั่งหลังพวงมาลัยแต่โดยดี
“ขอพูดประโยคหนึ่งได้ไหม” ข้างในรถอุ่นสบาย แต่ยังไม่มากพอ โจไซอาเอ่ยขอเสียงเบาแล้วมองแซ็กคารีที่กำลังหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าเป้ เทพพูดต่อเมื่อซาตานเงยหน้าสบตาและพยักหน้าอนุญาต
“ข้างหลังมีผ้าห่ม ฉันขอหน่อยสิ”
แซ็กคารีเอื้อมมือไปเบาะหลังตามที่เ้าของรถชี้บอก วางผ้าห่มผืนไม่ใหญ่และไม่หนามากนักบนตักโจไซอา และไม่พูดอะไรอีกเลย
แซ็กคารีไม่ให้โจไซอามอง เขาจึงทำได้แค่มองผ่านหางตาเท่านั้น มือใหญ่คุ้ยหาของในกระเป๋าเป้ต่อไป หยิบสมุดที่มีกระดาษหลายแผ่นคั่นอยู่โผล่ออกมา แซ็กคารีค่อย ๆ เปิดแต่ละหน้าในสมุด ข้างในนั้นเขียนด้วยภาษาอังกฤษเป็หมึกสีดำ ทุก ๆ อย่างยังคงเป็แบบที่มนุษย์ใช้ ไม่มีสิ่งใดมาจากโลกของเทพเลย
กระทั่งซาตานหันมาหา จ้องจับผิดว่าโจไซอาไม่ได้แอบมองอยู่ เทพจึงต้องรีบหลบตาเปลี่ยนไปมองนอกหน้าต่าง แกล้งเอนปรับเบาะเลื่อนไปจนสุด และจะปรับเอนนอนเล็กน้อย
แซ็กคารีมองสำรวจพวงมาลัยรถยนต์ ตำแหน่งของเกียร์ และปุ่มกดต่าง ๆ อยู่สักพัก จากนั้นจึงเริ่มออกเดินทาง รถยนต์ของโจไซอาเป็รุ่นคลาสสิกไม่ใช่รถสมัยใหม่ อดีตภูตประจำต้นไม้เลือกรถคันนี้ให้เพราะไม่แตกต่างจากรุ่นในยุคที่โจไซอาคุ้นเคยที่สุด แน่นอนว่าซาตานหนุ่มที่จดจำอดีตชาติได้ก็คุ้นเคยกับระบบของมันเช่นกัน
ระหว่างที่แซ็กคารีตั้งใจขับรถไปตามท้องถนนสลับมองลายมือขยุกขยิกจากสมุดที่วางบนตัก โจไซอาได้มีเวลาฝ่าฝืนคำสัญญา และแอบมองชายผู้เป็ที่รัก รอยยิ้มวาดขึ้นเป็ดอกไม้ผลิบานท่ามกลางฤดูหนาวทันที เมื่อโจไซอาได้เห็นใบหน้าของแซ็กคารีที่ไม่แตกต่างจากเอเดน กริฟฟินเลย แม้แต่ท่าทางตอนขับรถก็คล่องแคล่วเหมือนกัน
แซ็กคารีกำลังตามหาบ้านพักคนชราคามีเลีย สถานที่ที่มีความทรงจำเกิดขึ้นมากมาย และเขาเฝ้ารอที่จะได้กลับไปที่นั่น เพื่อตามหาเบาะแสถึงสายเืทายาทคุณตา คุณยายที่เคยอยู่ที่นั่น
เมื่อผังเมืองเปลี่ยนไป มนุษย์สร้างกำแพงสูง และย้ายไปอยู่ในนั้น อาคารนอกกำแพงหลายที่ถูกทุบทิ้งจนเหลือเพียงซาก ทำให้เขาตามหาบ้านคามีเลียยากกว่าเดิม แม้จะจดจำเส้นทางได้แม่นยำ แต่ตามหาเท่าไรก็ไม่พบแม้เพียงเศษซากของเสาบ้านที่เหลืออยู่
แซ็กคารีเพิ่งค้นพบภาพถ่ายมุมสูงใน่ราว 50 ปีของบ้านพักคามีเลีย เป็ภาพที่ใหม่ที่สุดเท่าที่เขาจะตามหาเจอ ในภาพนั้นบ้านรอบ ๆ หลายหลังถูกทุบจนเหลือเป็พื้นสีขาว แต่บ้านคามีเลียยังคงตั้งอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง เขาหวังว่าตอนนี้บ้านยังคงเหมือนเดิม และมีร่องรอยของทายาทพวกเขาหลงเหลืออยู่บ้าง
จากการเดินทางตามหาบ้านคามีเลียหลายครั้ง ทำให้แซ็กคารีรู้ว่าถ้าเขาใช้คฤหาสน์กริฟฟินเป็จุดเริ่มต้นจะทำให้เขาหลงทาง เขาจึงใช้อย่างอื่นแทน ดวงตาสีเฮเซลกวาดมองหาถนนที่เริ่มคุ้นเคยแล้วยกยิ้มบาง ๆ อย่างดีใจ เขาขับต่อไปโดยใช้ภาพจากความทรงจำฝังแน่นไม่เลือนหาย
แซ็กคารีปลดเข็มขัดนิรภัยเมื่อคิดว่ามาถึงที่หมาย หันมองเทพร่างผอมที่อ่อนเพลียจนเผลอหลับไป โจไซอารักษาสัญญาว่าจะนั่งเงียบตลอดทางได้ดี แต่เขารู้ว่าระหว่างทางเทพแอบมองเขาหลายครั้ง แต่ไม่ได้ห้ามและเลือกที่จะแกล้งทำเป็ไม่เห็น
ร่างสูงลงจากรถพร้อมสมุดในมือ หยิบกระดาษยับ ๆ ที่เขาวาดแผนที่เอาไว้ออกมาด้วย แล้วเริ่มมองหาบ้านสีฟ้าหม่นที่คาดว่าสีคงซีด เนื้อสีหลุดล่อนออกมาแล้ว แต่เขามองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากซากตึกแถวที่คาดว่าเคยเป็ย่านค้าขายมาก่อน ด้วยป้ายมากมายที่ยื่นออกมาจากตัวอาคาร บางป้ายเหลือเพียงเสามีร่องรอยแตกหัก ส่วนตัวป้ายอาจร่วงอยู่ที่พื้นใต้หิมะ
โครงสร้างตึกแถวผุพังพร้อมจะพังทลายได้ทุกเมื่อหากเดินเข้าใกล้ เขาคิดว่าคงมีอายุมากกว่าร้อยปี เช่นเดียวกับบ้านคามีเลียที่อายุ 120 ปีเป็อย่างน้อย หากบ้านยังอยู่ ตอนนี้คงมีสภาพไม่ต่างจากตึกแถวพวกนี้ หรือไม่ก็อาจพังทลายลงมาแล้วก็ได้
แซ็กคารีถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง เกิดไอควันเพราะอากาศหนาว เขาเดินกลับไปที่รถ รีบเปิดประตูฝั่งคนขับและสอดตัวเข้าไปในรถอย่างรวดเร็วไม่ให้ลมหนาวเล็ดลอดเข้าไปทำร้ายเทพร่างผอมที่พักผ่อนอยู่ แต่เมื่อเขาเข้ามานั่ง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก็สบมองดวงตาสีเฮเซลพอดี
เขารีบหลบตา มองท้องถนนตรงหน้าทันที แล้วเปลี่ยนเกียร์เพื่อถอยรถกลับเส้นทางเดิม เพราะตรงหน้าหิมะสูงจนฝ่าไปยาก และป้ายร้าน หรือป้ายโฆษณาพร้อมจะหล่นลงมาได้ทุกเมื่อ
โจไซอาจ้องมองอยู่นาน อยากถามเต็มแก่ว่าอีกฝ่ายกำลังหาอะไรอยู่ พยายามชะโงกมองสมุดบนตัก อีกฝ่ายก็รีบปิดสมุดหนีทันที
ไม่ว่าที่ไหนที่แซ็กคารีคิดว่าต้องใช่ กลับไม่ใช่อย่างที่คิด เขาลงจากรถหลายครั้ง เพื่อมองความว่างเปล่าไร้ร่องรอยของบ้านพักคนชราคามีเลีย ความสิ้นหวังเริ่มเกาะกุมหัวใจอีกครั้ง แม้จะได้เบาะแสสำคัญมาเพิ่มเติมแต่เขายังตามหาบ้านหลังนี้ไม่เจอ ฟ้าก็เริ่มมืดลง อากาศก็หนาวเย็นลงทุกที
“แค่ก… แค่ก”
เสียงไอแห้ง ๆ ดึงความสนใจจากซาตานหนุ่ม โจไซอานั่งเงียบจนเขาแทบลืมว่ามีเทพร่างผอมนั่งมาด้วย ดูเหมือนว่าอาการของเทพเริ่มแย่ลงอีกครั้ง
โจไซอากอดตัวเองอยู่ใต้ผ้าห่มบาง ๆ สีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าซีดเผือด ตัวสั่น แซ็กคารีเอื้อมมือวางบนไหล่บางใต้ผ้าห่มแ่เบาอย่างเผลอตัว โจไซอาจึงเงยหน้ามองตาด้วยความแปลกใจ
“ไหวไหมครับ”
“ไม่ต้องสนใจฉันหรอก”
เสียงแหบแห้งแทบฟังไม่ออกเอ่ยตอบ แซ็กคารีทนมองเฉย ๆ ไม่ได้อีก จึงเร่งเครื่องทำความร้อนจนสุด แล้วถอดเสื้อโค้ตของตัวเองออก คลุมตัวให้โจไซอาอีกชั้น
ระยะห่างที่ลดน้อยลงยามแซ็กคารีตรวจดูให้แน่ใจว่าผ้าห่มและเสื้อโค้ตช่วยให้ความอบอุ่นกับโจไซอาได้ ทำให้เขาได้กลิ่นหอมจากเทพด้วย กลิ่นดอกไม้สีขาวยามนี้ไม่มีกลิ่นคาวเืเจือปน ช่างหอมหวานละมุน ดึงดูดให้เขาอยากัั อยากขยับเข้าหา อยากอยู่ใกล้ชิด
แต่แซ็กคารีกลับรีบผละตัวออกมานั่งหลังตรงประจำตำแหน่งคนขับ เขาเพิกเฉยความรู้สึกที่ก่อตัวในหัวใจยามได้กลิ่นหอมของดอกไม้สีขาว ดวงตาที่จ้องมองท้องถนนเพียงอย่างเดียวนั้น ทำให้แซ็กคารีไม่รู้ว่าโจไซอากำลังแอบมองและยกยิ้มกว้างเพียงใด
เสื้อโค้ตเก่า ๆ ได้ซึมซับความอบอุ่นจากผิวกายซาตานมาอย่างเต็มที่ เมื่อมาห่มตัวโจไซอาเช่นนี้ เขาจึงอุ่นขึ้น ราวกับแซ็กคารีช่วยโอบกอดเขาให้หายหนาว ใบหน้าดุดันเรียบนิ่งไม่มีรอยยิ้ม แต่การกระทำอ่อนโยน เป็ห่วง และใส่ใจ
แซ็กคารีมองไม่เห็นสิ่งอื่นนอกจากพื้นที่โล่งว่างเปล่ามีเพียงหิมะสีขาว ไร้สิ่งที่เขากำลังตามหา เขาอยากล้มเลิกความคิดที่จะตามหาบ้านคามีเลีย แซ็กคารีกลับมานั่งในรถพร้อมความผิดหวังฉายชัดบนใบหน้าจนโจไซอาไม่อาจนิ่งเงียบได้อีก เทพมองเห็นภาพมุมสูงของสถานที่หนึ่งจากภาพในสมุดของแซ็กคารี
“หาอะไรอยู่” โจไซอาขัดคำสัญญาและถามออกไป ทั้งที่รู้ว่ามันคือที่ไหน
ซึ่งแซ็กคารีปิดปากเงียบ ไม่ยอมตอบคำถาม
“บ้านพักคนชราคามีเลียเหรอ”
แววตาของแซ็กคารีบ่งบอกทุก ๆ อย่าง เพราะดวงตาสีเฮเซลหันมองโจไซอาที่เอ่ยคำคำนั้นออกมา เบิกกว้างเล็กน้อยราวเก็บความใไม่อยู่ โจไซอาพูดสิ่งที่อยู่ในใจของแซ็กคารีราวสามารถอ่านใจได้ แต่เทพไม่มีอำนาจวิเศษเช่นนั้น เทพทำได้เพียงคาดเดา
“ท่านรู้ได้ยังไง”
“บอกแล้วไงว่าชาติก่อน…” โจไซอาไม่พูดต่อให้จบ และหันหน้าหนีมองถนนตรงหน้า เพราะไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศ แซ็กคารีอาจจะโมโหและลงจากรถไปเลยก็ได้ หากเขาพูดต่อจนจบ
“ฉันรู้ว่าบ้านคามีเลียอยู่ที่ไหน”
ทีแรกแซ็กคารีไม่เชื่อ คิดว่าคงเป็หนึ่งในวิธีหลอกให้เขาทำในสิ่งที่โจไซอา้า แต่อีกด้านหนึ่งของความคิดพร้อมที่จะลองเสี่ยง แซ็กคารีจึงขับรถไปตามทางที่โจไซอาบอก พร้อมกับท้องฟ้าสีเทาที่ความมืดคืบคลาน
โจไซอาเริ่มไอโขลกอีกครั้ง จนแซ็กคารีต้องหันไปมอง
“ฉันไม่เป็ไร ขับต่อไปเถอะ อย่าสนใจฉัน แค่ก—”
“แน่ใจนะครับ” โจไซอาพยักหน้า โบกปัดให้แซ็กคารีหันมองถนน
ซาตานกลับมาสนใจเส้นทางที่เขาไม่คุ้นเคยอีกครั้ง หลายอย่างเปลี่ยนแปลงจนเขาจำไม่ได้ หัวใจเริ่มไหวหวั่นว่าโจไซอาโกหก พาลให้เริ่มไม่เชื่ออาการป่วยจนไอโขลกของอีกฝ่ายไปด้วย บางทีอาจเป็การเสแสร้ง แต่เขาไม่รู้ว่าโจไซอา้าอะไรจากเขา
เสียงไอโขลกดังขึ้น จากนั้นจึงถูกอุดไว้แน่นด้วยฝ่ามือผอม แซ็กคารีหยุดรถในทันทีเพื่อจดจ่อกับเทพข้างกาย เืสีแดงสดละเลงอยู่บนฝ่ามือของโจไซอาอีกครั้ง ผ้าสีน้ำเงินที่มอบให้เช็ดเืกำเดาก็ชุ่มไปด้วยเืจนใช้งานต่อไม่ได้
“ตรงนั้นมีทิชชู”
แซ็กคารีเปิดช่องเก็บของในรถยนต์ ดึงกระดาษทิชชูสีขาวหลายแผ่นส่งให้เทพ เขาเผลอขมวดคิ้วแสดงความกังวลทางสีหน้าและแววตา โจไซอาสังเกตเห็นมัน หัวใจที่บีบรัดเพราะโรครักระทมจึงคลายออก และบีบตัวใหม่เป็จังหวะสม่ำเสมอ
“ขับต่อไปสิ อีกไม่นานก็ถึงแล้วนะ”
“ท่านควรกลับเมืองเทพ”
“ฉันจะรอให้ถึงบ้านคามีเลียก่อน”
“อากาศจะเย็นลงอีก ท่านทนไม่ไหวหรอกครับ”
โจไซอากลับหัวเราะในลำคอแ่เบา ดวงตาสีน้ำตาลดูเฉยชากับอาการป่วยรุนแรงของตนเอง
“ฉันทนมานานแล้ว… ทำไมจะทนต่อไม่ได้”
แซ็กคารีใจอ่อน เขาไม่รู้ว่าเหตุใดจึงยอมอีกฝ่าย อาจเป็เพราะโจไซอาเพิ่งรักษาแผลลึกที่ขาขวาให้ เขาจึงคิดว่าควรตอบแทน แต่ดูเหมือนความคิดนั้นจะเกิดขึ้นเพื่อตอบคำถามของตนเองมากกว่าเป็ความรู้สึกที่แท้จริง เขาสับสนกับความรู้สึกเสมอเมื่ออยู่ใกล้โจไซอา
“ท่านโจไซอาอยากให้ผมทำอะไรให้ท่านไหมครับ”
แม้สรรพนามห่างเหิน แต่น้ำเสียงนั้นอบอุ่นอ่อนโยน โจไซอาฟังแล้วยกยิ้มเพราะหวนนึกถึงอดีต คิดถึงน้ำเสียงทุ้มที่เฝ้าออดอ้อน พูดจาน่าฟัง และอ่อนโยนกับเขาเสมอ เมื่อได้ยินอีกครั้งในรอบ 99 ปี โจไซอาจึงแทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเป็ประกายสุกใส เพราะน้ำตาที่เอ่อคลอ
“ตัวซาตานอุ่น… เธอจับมือฉันไว้ได้หรือเปล่า”
เขาคิดว่าตนเองขอมากเกินไป เพราะแค่สบตายังทำให้อีกฝ่ายอึดอัด เขาไม่คาดหวังคำตอบตกลงจากแซ็กคารี แต่ซาตานหนุ่มกลับปล่อยมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัยรถยนต์
แล้วจับมือผ่ายผอมของโจไซอา กอบกุมไว้แน่น และใช้ผ้าห่มคลุมทับให้มิดชิด
ทั้งสองมาถึงหมู่บ้านที่ตั้งของบ้านพักคนชราคามีเลียในที่สุด แซ็กคารียกยิ้มกว้างอย่างดีใจเมื่อเห็นบ้านเก่า ๆ ตั้งตระหง่านอยู่ที่เดิม แม้บ้านรอบข้างถูกทุบทิ้งทั้งหมด น่าแปลกที่โครงสร้างบ้านยังคงอยู่ ดูแข็งแรง ไม่มีร่องรอยของกาลเวลาอย่างที่แซ็กคารีคิด
“ท่านรออยู่ในนี้นะครับ”
แซ็กคารีไม่อยากให้โจไซอาออกไปเผชิญลมหนาว จึงปล่อยมือจากการกอบกุมกันมานานหลายนาที และปลดเข็มขัดนิรภัย ออกไปสำรวจบ้านคามีเลียใน 99 ปีต่อมาหลังเอเดน กริฟฟินตาย และเกิดใหม่อีกครั้งเป็แซ็กคารี
ร่างสูงเดินอย่างระมัดระวังวนรอบ ๆ บ้าน หน้าต่างและประตูเพียงแค่ปิดเอาไว้ ไม่มีการเอาไม้มาตอกปิดตายเหมือนบ้านหลังอื่น ๆ ที่เขาเห็น ราวกับบ้านหลังนี้แค่ปิดล็อกเพื่อรอคอยเ้าของกลับมาในอีกไม่นาน
แซ็กคารีสะเดาะกลอนประตูหน้าได้อย่างง่ายดาย พื้นไม้ส่งเสียงอี๊ดอ๊าดทุกครั้งที่ย่ำเดิน ดวงตาสีเฮเซลมองที่ที่เคยเห็นห้องสมุดขนาดเล็ก แต่ทุกอย่างว่างเปล่า ไม่มีหนังสือสักเล่มอยู่ในชั้นวางติดผนัง เก้าอี้ตัวโปรดของคุณยายลิลลี่ อดีตแม่นมของเอเดน กริฟฟินก็หายไป ไม่มีเครื่องเรือนชิ้นไหนอยู่ในบ้านหลังนี้เลย
เสียงอี๊ดอ๊าดจากแผ่นไม้ดังขึ้นจากด้านหลัง แซ็กคารีรับหันมองทันทีและพบว่าคือโจไซอาที่ใช้เสื้อโค้ตของเขาคลุมไหล่เอาไว้ กำลังเดินเข้ามาในบ้าน
“ไม่เจออะไรหรอก ทุกคนตายหมดแล้ว”
“ผมบอกให้ท่านรออยู่ในรถนี่ครับ” โจไซอาไม่สนใจเสียงดุของแซ็กคารี แล้วเดินผ่านร่างสูงไปที่ห้องโถงโดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด
“เธอตามหาที่นี่ทำไม” โจไซอาถามโดยที่ดวงตายังมองความโล่งความเปล่าของห้องโถงที่มีเพียงพื้น ผนัง และฝุ่นหนา
ความไว้ใจเริ่มก่อเกิด เพราะแซ็กคารีได้คำตอบชัดเจนว่าโจไซอาไม่ได้โกหกเื่รู้จักบ้านคามีเลีย และบอกทางให้เขาจนมาถึงที่นี่ได้
“ผมอยากเจอลูกหลานของพวกเขา”
โจไซอายืนพิงกรอบประตูอย่างอ่อนแรง ค่อย ๆ หันมองซาตานหนุ่ม และส่ายหัวเบา ๆ เป็คำตอบ
“ทายาททั้งสายตรง และญาติห่าง ๆ ตายหมดแล้ว”
แซ็กคารีเชื่อคำพูดของโจไซอาสนิทใจ เพราะ่ร้อยปีหลัง คนรุ่นใหม่ชนชั้นแรงงานมักไม่มีลูก ไม่แปลกที่บางตระกูลสายขาด ไม่เหลือทายาทอีก
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่และ… พวกเขาเหรอครับ”
แซ็กคารีอยากรู้ว่าพวกเขาตายได้อย่างไร อยากรู้ว่าชีวิตของคุณตาคุณยายที่เอเดนรัก และรักเอเดนเป็อย่างไรหลังรู้ว่าเขาตายไปแล้ว ที่กังวลที่สุดคือชีวิตความเป็อยู่หลังบ้านคามีเลียไม่ได้รับเงินบริจาคจากเอเดนอีก
“นั่งคุยกันดีไหม”
โจไซอายิ้มให้แซ็กคารี อีกฝ่ายกลับมาเป็คนช่างสงสัยและถามสิ่งที่อยากรู้กับเขาเหมือนกับในอดีตอย่างน่าเอ็นดู ซึ่งเทพพร้อมจะเล่าให้ฟังทุก ๆ อย่างที่สงสัย
ภายในบ้านค่อนข้างอุ่น พวกเขาจึงอยู่ด้านในนี้ ที่ห้องครัวมีเก้าอี้ไม้ตัวยาวที่เคยใช้วางแถวโถงรับแขก สำหรับให้ผู้มาเยี่ยมนั่งรอ ตอนนี้มันถูกลืมไว้ แซ็กคารีเช็ดฝุ่นหนาออก ย้ายไปวางชิดผนังเพื่อให้โจไซอานั่งลงและมีที่พิงหลัง
เมื่อเห็นเทพร่างผอมตัวสั่น แซ็กคารีก็คว้ามือของโจไซอามาจับโดยที่เทพไม่ต้องเอ่ยขอ ดวงตาสีเฮเซลเป็ประกายใคร่รู้ ตั้งอกตั้งใจรอคอยฟังเื่เล่าจากโจไซอา
“หลังจากเอเดนตาย ฉันให้คนช่วยดูแลที่นี่ต่อ…”
พ่อของโจไซอาเป็ผู้จัดการให้คนเข้าไปดูแลบ้านคามีเลีย ทีแรกผู้ที่คอยมอบเงินบริจาคให้อย่างสม่ำเสมอคือเอเดน เมื่อเอเดนจากไปบ้านคามีเลียจึงตกอยู่ในวิกฤตหากโจไซอาไม่รีบมาช่วยไว้ พ่อของโจไซอาคอยบอกข่าวคราวถึงผู้คนที่อยู่ในบ้านหลังนี้เสมอ
“ที่นี่หดหู่กว่าเดิมเมื่อคุณยายเอ็มม่าเป็ผู้ป่วยติดเตียง และกลับมาที่นี่ไม่ได้อีก พอเธอตายก็ยิ่งหดหู่ คุณยายเอ็มม่าตายหลังจากเธอไม่กี่วัน”
“ฉันกับท่านพ่อพยายามหาวิธีที่ทำให้ที่นี่กลับมาสดใสน่าอยู่เหมือนตอนมีเธอมาเยี่ยมหลายวิธี แต่ไม่สำเร็จ คุณตาชาร์ลีหูตึงกว่าเดิม ทั้งดื้อ ยืนกรานจะไม่ใช้เครื่องช่วยฟัง คุณตาวอร์คเกอร์กลายเป็คนโมโหร้าย พูดจาไม่น่าฟัง ส่วนคุณยายเคเรนร้องไห้ทุกวันั้แ่คุณยายเอ็มม่าจากไป”
โจไซอาสามารถไล่ชื่อของคุณตาคุณยายที่นี่ถูกต้องทั้งหมด แซ็กคารีจึงไม่เผื่อใจอีก เขาไว้ใจเทพร่างผอมมากขึ้นเรื่อย ๆ
“แล้วคุณยายลิลลี่ล่ะครับ”
แซ็กคารีเริ่มร้อนใจเมื่อพูดถึงแม่นมของเขาในชาติก่อน ผ่านมานานแค่ไหน จนเกิดใหม่เป็ลูกชายของาาเผ่าซาตาน แต่ความรักที่เขามีให้แม่นมดั่งแม่ผู้ให้กำเนิดแท้ ๆ และความอบอุ่นในความทรงจำที่คุณยายลิลลี่เคยมอบให้เขายังชัดเจน เพราะคือความรักมั่นคงเพียงหนึ่งเดียวที่เอเดน กริฟฟินมี แม้มันสั่นคลอนในครั้งสุดท้ายที่เจอกัน
โจไซอาหายใจเข้า กลืนน้ำลายลงคอแห้งเหือดก่อนตอบคำถาม
“คุณยายลิลลี่คือคนสุดท้ายที่อยู่ในบ้านหลังนี้”
“เธอจากไป่ก่อนมนุษย์ย้ายเข้าไปอยู่ในกำแพงไม่นาน ทุก ๆ คนกำลังเห่อกับอนาคตและผังเมืองใหม่จนหันหลังให้คนชราอย่างคุณยายลิลลี่ ตอนนั้น… ฉันอยู่กับคุณยายเป็คนสุดท้าย”
โลกมนุษย์่เวลานั้นช่างโหดร้าย ไม่มีใครเหลียวแลคนชราอายุมากเพราะคิดว่าคงตายจากในไม่ช้า และหันหน้าเข้าหาอนาคตเฟื่องฟูที่ใฝ่ฝัน ไม่มีอาสาสมัครดูแลบ้านคามีเลียอีก เพื่อนที่เคยอยู่ด้วยกันก็ตายจากหมดแล้ว โจไซอาดื่มน้ำตาเทพยามมีความสุขที่แม่หามาให้จนแข็งแรงขึ้น เพื่อมาอยู่กับคุณยายลิลลี่จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิตเธอ
“คุณยายลิลลี่… จำผมได้ไหมครับ”
ซาตานที่เคยประกาศเสียงเข้มแข็งกับโจไซอาว่าตนคือแซ็กคารี และเอเดน กริฟฟินเป็เพียงอดีตเมื่อนานมาแล้ว วันนี้กลับเป็ผู้ที่แทนตนเองว่าผม ที่หมายถึงตัวตนในชาติก่อน
“คุณยายเป็อัลไซเมอร์ เธอจำได้แค่สามี กับพ่อแม่ แล้วก็ถ้าฉันฟังไม่ผิด… ก่อนจะจากไปเธอพูดถึงเอดี้”
“เอดี้” แซ็กคารีขุดลึกเข้าไปถึงความทรงจำวัยเด็กในชาติก่อนได้ในเสี้ยววินาทีเมื่อได้ยินชื่อนี้
“ใช่ คุณยายพูดว่า จะต้องรีบไปหาเอดี้” ซาตานยกยิ้ม แต่แววตากลับเศร้าโศก
“นั่นผมครับ คุณยายลิลลี่หมายถึงผม”
เขาเอ่ยบอกโจไซอาอย่างภาคภูมิใจที่คุณยายลิลลี่ยังจดจำเขาได้ ชื่อเอดี้ เป็ชื่อเล่นในวัยเด็กของเขา มีเพียงคุณยายลิลลี่เท่านั้นที่เรียกเขาด้วยชื่อนี้ เขาทั้งดีใจและเสียใจไปพร้อม ๆ กัน เพราะอยากเป็คนที่อยู่เคียงข้างเธอในวันสุดท้ายของชีวิต และหดหู่ ไม่อยากให้เธอโดดเดี่ยวก่อนจากไป
ดวงตาสีเฮเซลมองโจไซอาด้วยความขอบคุณที่เข้ามาช่วยเหลือคุณตาคุณยายที่บ้านคามีเลียต่อจากเขา มือใหญ่บีบมือผอมแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว โจไซอาสังเกตเห็นความเศร้าจากแซ็กคารี จึงนำมืออีกข้างวางทาบทับ และกระชับให้แน่นขึ้นเพราะอยากปลอบใจ
“ขอบคุณนะครับ”
ทั้งคู่สบตากันและกันอยู่นาน ด้วยหลายล้านความรู้สึกที่ส่งผ่านทางสายตาไร้บทสนทนาใด ๆ ดังเช่นที่ทั้งคู่เคยทำให้กันเมื่อร้อยปีก่อน หัวใจของซาตานหนุ่มเต้นแรง หัวใจบีบรัดเ็ปของเทพคลายออก ความผูกพันย้ำเตือนความรู้สึก ััย้ำเตือนความโหยหา
แซ็กคารีแบกรับความไม่เข้าใจในความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นไม่ไหว เขาเป็ฝ่ายหลบตา ไอควันออกมาจากจมูกของเขาตามลมหายใจกับภายในบ้านร้างที่แสงมืดลงทำให้เขาปล่อยมือออกช้า ๆ แล้วลุกขึ้นยืน
“ท่านรีบกลับเถอะครับ ก่อนที่จะหนาวกว่านี้”
“อืม”
ทั้งสองเดินตามกันมาที่ประตูด้านหน้า แซ็กคารีกลับมาเว้นระยะห่างอีกครั้ง รถสีดำสนิทที่จอดไว้โดดเด่นท่ามกลางหิมะสีขาว โจไซอาอาการดีขึ้นเพราะได้รับความอบอุ่นจากผิวกายซาตาน มือผ่ายผอมจับเสื้อโค้ตตัวใหญ่ที่แซ็กคารีให้ยืม ส่งคืนเ้าของ
“เอารถของฉันไปใช้ได้เลยนะ มันปลอดภัยกว่าบิน”
“ท่านโจไซอา ผมไม่อยาก—”
“รับไว้เถอะ”
แซ็กคารีไม่อาจเถียงต่อ เขายืนนิ่งที่ถนนหน้าบ้านคามีเลีย มองร่างผ่ายผอมของเทพเดินห่างออกไปเรื่อย ๆ เกิดรอยเท้าบนพื้นหิมะตามทางที่โจไซอาก้าวเดิน
โจไซอาหันหลังกลับมามองแซ็กคารีอีกครั้ง โบกมือลาเบา ๆ แล้วจึงเดินหน้าต่ออีกสองสามก้าว
และหายตัวไปในอากาศ
tbc.
#เฮเซลอาย