มือของหลิวฉีซื่อจิกขาไว้แน่น กำลังบ่นในใจว่าหลิวซานกุ้ยที่เชื่อฟังและซื่อตรงที่สุดก็ไม่รับมือไปพร้อมกับนาง
จะไม่ให้นางโกรธได้อย่างไร หลิวซานกุ้ยเอาแต่ทำหน้าใสซื่อ เหมือนว่าเขาเองก็คิดหนทางไม่ออกจริงๆ
สายตาของหลิวฉีซื่อฉายแววชิงชัง แล้วด่าเสียงต่ำ “ข้าเลี้ยงเ้ามาเสียข้าวสุกตั้งหลายปี โง่จะตายชัก ทั้งวันทั้งคืนนอกจากคิดเื่ถกกระโปรงเมีย แล้วยังทำอะไรได้บ้าง”
“ย่าไม่ได้เลี้ยงพ่อเสียข้าวสุกสักหน่อย หลายปีมานี้พ่อเป็คนเลี้ยงย่าต่างหาก” หลิวเต้าเซียงไม่ยอมให้เื่จบเช่นนี้
นางจับทางของหลิวฉีซื่อได้หมดจด หากว่านางยังคงด่าต่อไป เื่ที่หลิวซุนซื่อก่อขึ้นคงไม่มีทางจบ
นางไม่ปล่อยให้โอกาสที่หลิวฉีซื่อจะะเิอารมณ์หลุดลอยไป ปากเล็กๆ จึงเริ่มพูดพล่าม “ย่า ย่าถามพ่อข้าก็เท่ากับเปล่าประโยชน์ คนที่ขอเงินคือบ้านลุงใหญ่กับลุงรอง เงินก็อยู่ที่ย่า ท่านอยากให้หรือไม่ให้ คนที่เป็ผู้าุโน้อยกว่าจะขัดขืนได้หรือ? หากย่าอยากให้ พ่อข้าคัดค้าน แล้วจะมีประโยชน์หรือ?”
เมื่อได้ฟังเช่นนี้หลิวฉีซื่อก็ปรายตาชราคู่นั้นจดจ้องหลิวเต้าเซียง หากว่านางคือเ้าของร่างเดิม เกรงว่าคงหวาดกลัวปอดแหกไปแล้ว
หลิวเต้าเซียงเป็ดั่งหมูสิ้นชีพไม่กลัวน้ำเดือด อยากจ้องก็จ้องไป ถึงอย่างไรนางอยากทำอะไรก็จะทำ
หลังจากนั้นก็กินมันเทศอย่างพอใจ หลิวฉีซื่อเดือดกับท่าทีนั้น วางมือลงบนโต๊ะเสียงดัง กัดฟันกรอดแล้วด่าเสียงค่อย “นางเด็กเหลือขอ เวรตะไล ผู้ใหญ่คุยกันเ้ายุ่งอะไรด้วย!”
สำหรับคําพูดสกปรกที่น่าเกลียด หลิวเต้าเซียงขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปที่หลิวฉีซื่อด้วยดวงตาเ็ามากและพูดว่า “ทําไม ข้าพูดอะไรผิด? พ่อของข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีเงินเท่าไรในครอบครัว เขาจะคิดได้อย่างไรว่าควรแบ่งเช่นไร ย่า สู้ย่าบอกกับพ่อว่าในบ้านมีเงินเท่าไร บางทีพ่อข้าจะมีความคิดเห็นที่งดงามถี่ถ้วนให้ก็ได้”
โดยปกติแล้วไม่ใช่เื่ที่หลิวซานกุ้ยจะรู้ได้ หรือแม้แต่หลิวซุนซื่อหน้าเหม็นน่าไม่อายคนนี้ ขณะที่ในใจของหลิวฉีซื่อ เงินตราของนางต้องเก็บไว้ให้ลูกหลาน โดยเฉพาะหลิววั่งกุ้ย
นางจะได้เป็ฮูหยินของขุนนางหรือไม่ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเขา
หลิวซุนซื่อได้ยินคําพูดแฝงของหลิวเต้าเซียง คราวนี้จึงเปลี่ยนทิศทางเพราะรู้ว่าหลิวฉีซื่อคิดเฉไฉ จึงเอ่ยตามหลังอย่างเชื่องช้า “ท่านแม่ ตกลงท่านจะให้หรือไม่ให้ เช่นนั้นท่านแม่ก็อย่าหวังว่าจะยกสิบตำลึงเงินให้บ้านพี่ใหญ่ ข้ากับเหรินกุ้ยไม่ยอม”
สำหรับหลิวฉีซื่อ หลิวซุนซื่อพูดจาตรงไปตรงมาเสมอ นางรู้ว่าแม่สามีนั้นร้ายกาจ ดังนั้นเมื่อมีเื่อะไรก็ต้องพูดออกไปตรงๆ
หลิวฉีซื่อถูกบีบบังคับก็ยิ่งหงุดหงิด ไม่อยากไว้หน้าลูกสะใภ้จึงฝืนเอ่ย “ข้าตัดสินใจไปแล้ว ปีนี้ช่วยเหลือบ้านพี่ชายเ้าสิบตำลึงเงิน พวกเ้าคิดเช่นไรก็ช่าง หากคิดไม่ได้ ตกลง ปีหน้าข้าจะเลี้ยงหมูให้น้อยลงสองตัว พวกเ้าก็อย่าคาดหวังว่าข้าจะเอาเงินมาช่วยจื้อเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์”
วกไปวนมา เื่ราวก็วนกลับมายังจุดเดิม
หลิวซุนซื่อเองก็เดือดดาล คิดถึงเื่ที่ฟังมา่บ่าย อาสี่จะแบ่งสมบัติไปกว่าครึ่งหนึ่งในบ้าน ส่วนอาเล็กก็จะเอาที่ดินส่วนหนึ่งไปตอนออกเรือน นางจะทนรับการแบ่งชนชั้นของหลิวฉีซื่อเช่นนี้ได้อย่างไร มีเพียงหลิวเหรินกุ้ยกับหลิวจื้อไฉที่เป็เสาหลักอยู่ข้างกาย ความโมโหของนางก็ลดลงไปเพียงนิด
นางไม่กล้าปะทะกับหลิวฉีซื่อตอนนี้ ไม่อยากขโมยไก่แต่ได้ข้าวสารมาแทน
สำหรับฉากไร้สาระนี้ที่หน้าโต๊ะอาหารเย็น หลิวซานกุ้ยไม่สนใจ เขากินโจ๊กอย่างรวดเร็ว วางตะเกียบแล้วเอ่ย “แม่ เื่นี้ไม่เกี่ยวกับครอบครัวของข้า ข้าไม่ขอร่วมเกี่ยว กุ้ยฮัว หยุดกินได้แล้ว เหมือนว่าชุนเซียงจะถ่ายท้อง รีบกลับห้องไปเปลี่ยนผ้าอ้อมให้นางเร็ว”
หลิวชิวเซียงและหลิวเต้าเซียงมองหน้ากันและยิ้ม วางชามและตะเกียบพร้อมกับเตรียมหนี ไม่แม้แต่จะมองดูใบหน้าดำมืดของหลิวฉีซื่อ
ครอบครัวของหลิวเต้าเซียงกลับไปที่ห้องปีกตะวันตกแล้วลงกลอน หันหลังแล้วไปด้านหลัง ทั้งครอบครัวล้อมโต๊ะไม้ เดาว่าเรียกโต๊ะได้ ความเป็จริงคือแผ่นไม้ที่วางอยู่บนก้อนอิฐสองอัน
หลิวชิวเซียงยิ้มตาพริ้มแล้วยกชามขึ้นมา ซดโจ๊กขาวที่ข้นไปหนึ่งคำ แล้วใช้ช้อนตักไข่ตุ๋นขึ้นมาหนึ่งคำ กินเข้าไปเต็มปาก ยิ้มแล้วเอ่ย “ไข่ตุ๋นของน้องรองอร่อยยิ่งนัก”
“แน่นอน พี่ใหญ่ พี่ดูสิ ้าไข่ตุ๋นมีใส่ซอสไว้ด้วย แอบตักน้ำมันหมูจากในห้องครัวมาทาในหม้อด้วย แล้วค่อยสับต้นหอมโรยไว้้า ราดน้ำมันไว้้า ความหอมก็จะส่งกลิ่นขึ้นมา ตอนนั้นหากไม่ใช่แม่ทำกับข้าวอยู่ที่ห้องครัว อาเล็กไปหาคุณชายท่านนั้น ข้าเองก็กลัวว่าจะถูกจับได้”
ในความเป็จริงแม้ว่าคนเ่าั้จะตามกลิ่นมา หลิวเต้าเซียงก็มีปัญญาซ่อนของทั้งหมด เพียงแต่เช่นนั้น อาจจะก่อเื่ให้ทางบ้านได้
จางกุ้ยฮัวที่อยู่เดือนใน่ก่อนหน้านี้ล้วนกินแต่อะไรที่จืดชืด หลังจากออกเดือนก็ชื่นชอบรสเข้มข้นมากขึ้น ตอนนี้กำลังมีความสุขกับแครอทผัดพริก ได้ยินดังนั้นจึงยิ้ม “ไม่รู้ว่าสมองของเ้าวันๆ คิดแต่เื่อะไร แต่ว่า แม่รู้สึกว่าแครอทผัดพริกอร่อยกว่าใช้น้ำมันหมูผัด หอมน่าดู”
หลิวซานกุ้ยแสดงความพอใจกับการจุดไฟทำกับข้าวมื้อดึกในครอบครัวเงียบๆ และคิดว่า สิบตำลึงเงินที่แม่ตนเองเกริ่นถึงก่อนหน้านี้ แต่บ้านตนเองกลับได้กินอยู่ไม่ต่างจากหมูที่เลี้ยงอยู่ด้านหลังบ้าน ในใจเกิดความรู้สึกแย่ขึ้นมา
เมื่อฟังคําพูดของจางกุ้ยฮัวก็มองไปในชามกับข้าว นั่นสินะ แครอทผัดพริกใช้น้ำมันไปไม่น้อย มองดูความมันวาว กลิ่นหอมของกระเทียมยั่วยวนจมูก
“อืม ชอบก็กินเยอะหน่อย แล้วก็ เต้าเซียง ครั้งหน้าอย่าใช้น้ำมันเยอะเพียงนี้ หากย่ารู้เข้า เกรงว่า…”
หลิวเต้าเซียงตอบอย่างไม่แยแสว่า “ไม่เห็นต้องสนใจนาง อยากให้แม่ข้าทำกับข้าว ก็ต้องเอาน้ำมันกลับมาทำกับข้าว นอกเสียจากว่า…”
ฮ่าฮ่าฮ่า รอจนหลิวฉีซื่อพบว่าน้ำมันในบ้านใช้หมดเร็วเกินไป ต้องด่าจางกุ้ยฮัว ถึงตอนนั้น คงหวาดกลัวและปฏิเสธไม่ให้แม่ตนเองรับหน้าที่นี้ต่อ?!
อืม ความคิดนี้ดี ชูกำปั้นขึ้น ตกลงตามนี้อย่างง่ายดาย
เื่อะไรต้องให้คนในครอบครัวนางใช้แรงงานเยี่ยงวัวเยี่ยงควาย เหมือนคนรับใช้ปรนนิบัติพวกหนอนไม้ไผ่บ้านนี้
“ซานกุ้ย เหตุใดเ้ากินแค่ชามเดียว? มื้อค่ำเมื่อครู่เ้าก็ไม่ได้กินเยอะนี่” ั้แ่ปล่อยให้หลิวเต้าเซียงเป็ประมุข บ้านตนเองได้แอบกินมื้อดึกทุกคืน ใจของหลิวซานกุ้ยก็ดุจดั่งผีเสื้อนับพันนับหมื่นกำลังร่ายรำ แต่วันนี้ได้ยินคำพูดของหลิวฉีซื่อทันใด ลึกลงไปในใจ ผีเสื้อเ่าั้ก็โบยบินไปหมด
“ไม่มีอะไร! พวกเ้ากินเยอะหน่อย” หลิวซานกุ้ยคิด กลางคืนคงต้องหนุนหมอนสูง หลายปีมานี้ตนเองทนอยู่มาได้อย่างไร
หลิวเต้าเซียงไม่ล่วงรู้ความคิดของเขา จึงยกช้อนขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง ตัดไข่ตุ๋นเต็มช้อนแล้วใส่ลงในชามของเขา ยิ้มแล้วเอ่ย “พ่อคงเป็ห่วงแม่สินะ วางใจเถอะ วันนี้เก็บไข่ได้หลายใบ พ่อกินอย่างสบายใจ ส่วนของแม่ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด”
เมื่อพูดถึงเื่นี้นางหยุดเล็กน้อยแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้เช้าเรากินไข่ต้ม ทั้งเร็วและง่าย” นางจำได้ว่าในอินเทอร์เน็ตมักจะบอกว่า ไข่ต้มนั้นได้รับสารอาหารดีที่สุด
หลิวชิวเซียงได้ยินดังนั้นก็หน้านิ่ง เปลี่ยนเป็อย่างอื่นบ้างได้หรือไม่ โจ๊กมันเทศก็ไม่เลว
“ตกลง พรุ่งนี้ต้มไว้ให้พวกเ้า” จางกุ้ยฮัวนั้นอิ่มเอมใจกับการกินไข่ แล้วหันไปทางหลิวซานกุ้ย เอ่ยโน้มน้าว “เป็เื่จนได้”
“อืม เ้าว่าหลายปีมานี้เราเหนื่อยเพื่อบ้านหลังนี้มามากมาย พ่อแม่ไม่เคยเห็นอยู่ในสายตาเลยหรือ?” ในใจของหลิวซานกุ้ยนั้นจุกเหลือเกิน สมองนั้นพร่ามัวไปหมด ไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหนดี
พูดให้ถูกต้องก็คือ ในใจเขานั้นผิดหวังอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันก็อัดอั้นใจ
หลิวเต้าเซียงกัดตะเกียบ ั์ตาดำขลับกลอกไปมา นางควรพัดไฟให้แรงอีกสักหน่อยดีหรือไม่?
นางชั่วร้ายจริงๆ!
“พ่อ ข้ารู้สึกว่าปู่ไม่ได้ใส่ใจพ่อ ในสายตาของย่าเองก็ไม่มีพ่ออยู่เลย คงเพราะพ่อเติบโตข้างกายปู่ทวดย่าทวด”
แม้ว่าจะไม่ได้เติบโตข้างกาย แต่เขาก็เป็ลูกชายแท้ๆ ของหลิวฉีซื่อ เหตุใดจึงลำเอียงได้ถึงเพียงนี้
หลิวชิวเซียงยังบ่นอีกว่า “พ่อ ในสายตาของย่ามีเพียง ลุงใหญ่ ลุงรอง อาสี่ กับอาเล็ก พยายามทุกอย่างเพื่อประคบประหงมพวกเขา ดูสิว่าก่อนหน้านี้พูดเื่ยกสิบตำลึงเงินให้ลุงใหญ่ นั่นเป็เื่เพียงแค่ชั่วพริบตา ยังมีอีก พ่อ เราได้ยินอาเล็กเคยบอกว่า ย่าจะยกหนึ่งร้อยตำลึงเงินให้อาสี่เป็เงินค่าสู่ขอด้วย!”
“พ่อ พ่อคงไม่ได้ถูกย่าซื้อมาหรอกนะ!” หลิวเต้าเซียงเอ่ยถามกึ่งล้อเล่น
หลิวซานกุ้ยพูดไม่ออกทันที จางกุ้ยฮัวเห็นสีหน้าเขาหม่นหมอง จึงยื่นมือไปลูบหลังของหลิวเต้าเซียงแล้วตำหนิเล็กๆ “ห้ามพูดจาไปเรื่อย พ่อเ้าเป็ลูกแท้ๆ ของย่าเ้า คนในหมู่บ้านสามสิบลี้มีใครไม่รู้บ้าง”
หลิวเต้าเซียงกะพริบตาและพึมพําเสียงค่อย “ข้าคิดว่าพ่อถูกเก็บมาเสียอีก”
หลิวชิวเซียงได้รับอิทธิพลจากหลิวเต้าเซียง ยิ่งได้ยินก็ยิ่งเห็นด้วย “แม่ น้องรองพูดได้ไม่ผิด ข้าเองก็รู้สึก แม่ว่า ครอบครัวเรานั้นเป็คนร่ำรวยที่มีชื่อเสียงในหมู่บ้าน แม้ว่าบ้านเราไม่ได้กินรำข้าว แต่อาหารการกินก็ไม่ได้ดีถึงไหน ไม่ใช่สิ มีเพียงครอบครัวฝั่งเราที่แย่ ดูคนในบ้านสิ มีใครที่ไม่ได้กินดีอยู่ดีกว่าครอบครัวฝั่งเราบ้าง”
หลิวเต้าเซียงเห็นว่าเขารู้สึกผิด ก้มหน้าไม่พูดไม่จา จึงแทงเข้าไปอีกแผล “นั่นสิ เรายังไม่ต้องพูดถึงเื่อาสี่กับอาเล็ก ลำพังบ้านลุงใหญ่กับลุงรอง ลุงใหญ่เป็นักบัญชีในจวนตระกูลหวง หนึ่งเดือนได้เงินสองพวง แล้วยังมีป้าใหญ่กับพี่เฉี่ยวเอ๋อร์ แล้วมาดูบ้านลุงรอง แม้ว่าผิวเผินจะไม่ได้มากมายเท่าลุงใหญ่ แต่ก็ได้หนึ่งพวงกว่า แต่อาหารการกินของบ้านลุงรองนั้นไม่ต้องซื้อ ทุกครั้งก็ได้จากโรงเตี๊ยม ทั้งสองบ้านนี้เมื่อถึงเทศกาลก็จะได้รับของขวัญจากผู้เป็นาย ถ้าดูเช่นนี้ บ้านไหนที่ไม่มีเงินหลายสิบตำลึงบ้าง ส่วนบ้านเราล่ะ?”
หลิวซานกุ้ยใมากที่ได้ยินเื่นี้ เขารู้ว่าเด็กหญิงสองคน้าจะพูดอะไร รายได้ของคนโตและคนรองหนึ่งปี คงพอเลี้ยงพวกเขาทั้งครอบครัว ส่วนทั้งสองบ้านมักจะลากเสบียงในบ้านกลับไปหลายคันรถต่อปี อย่างน้อยก็มีมูลค่าเจ็ดถึงแปดตำลึงเงิน ยังไม่นับหลังจากกลับบ้านใน่เทศกาลทุกปี ยังเอาปลาแห้ง เนื้อตากแห้ง ผักดองต่างๆ ไปอีก
จางกุ้ยฮัวอดไม่ได้ที่จะพูดอยู่ข้างๆ ว่า “ก่อนหน้านี้ข้าร้องไห้อาละวาด ยังได้ยินแค่คำพูดจากปู่พวกเ้าว่าแบ่งได้ห้าร้อยอีแปะต่อปี แม้ว่ากินอยู่ที่บ้าน แต่ว่า ในความเป็จริงได้กินอะไรบ้าง สวมใส่อะไรบ้าง ทุกปีได้เพียงผ้าหยาบมาสองผืน นั่นเป็เพราะย่าเ้าฟังคนอื่นต่อว่าอย่างน่าเกลียด เห็นแก่คนร่วมหมู่บ้าน เกรงว่าจะถูกนินทาต่อว่าลับหลัง”
หลิวเต้าเซียงเบ้ปาก ตอบอย่างไหลลื่น “แม่คิดว่าในใจนางคิดถึงคุณความดีของพ่อข้าจริงหรือ? ก็เพียงแค่ระอา อาสี่ยังไม่ได้พูดคุยเื่หมั้นหมาย แต่ย่ากลับคาดหวังถึงการสอบซิ่วไฉของเขาอยู่ทุกวัน หากว่าไม่มีชื่อเสียงเกียรติยศนี้ ตระกูลใดเล่าจะปล่อยให้บุตรสาวแต่งเข้ามา?”
-----