ในเวลานี้ก็มีสตรีนางหนึ่งเดินออกมา สตรีผู้นี้สวมชุดผ้าโปร่งสีแดงฉูดฉาดสะบัดพลิ้วไปตามลม เครื่องประทินโฉมบนใบหน้าดูบรรจงแต่งแต้มจนเกินไป มองไปแล้วไม่ค่อยสบายตานัก นางค่อยๆ ก้าวขึ้นเวทีมองมาที่ฉีเฉินแล้วกล่าวเบาๆ "ผู้น้อยเว่ยหลานอิ๋ง วันนี้จะขอร่ายรำบทเพลงต่อไปนี้ถวายให้แด่องค์ชายฉีเฉิน"
ทุกคนที่ได้ยินต่างเริ่มมีความเคลื่อนไหว ฟังจากที่พวกเขาคุยกัน เว่ยหลานอิ๋งหลงรักฉีเฉินมานานมากแล้ว นางจะร่ายรำเพื่อฉีเฉินในงานเลี้ยงร้อยสกุลของทุกปี เพื่อแสดงออกถึงความรักที่นางมีต่อฉีเฉิน
ฉีเฉินคาดเอาไว้ก่อนแล้วว่าเว่ยหลานอิ๋งจะต้องมาเพื่อสิ่งนี้ ใบหน้าของเขามีเพียงรอยยิ้มบางเบา ยากจะคาดเดาว่าภายในใจคิดอะไรอยู่บ้าง แต่สายตาบุรุษย่อมเทียบกับสตรีไม่ได้ สตรีมองสตรีถึงจะมองทางกันออก จวินหวงรู้อย่างแจ่มชัดว่าเว่ยหลานอิ๋งมิใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน[1] จึงมองดูอยู่ด้วยสายตาเยียบเย็น
หลังจากเว่ยหลานอิ๋งกล่าวจบก็มองไปที่ฉีเฉินอย่างลึกซึ้ง แล้วค่อยๆ เยื้องย่างขึ้นไปบนชั้นสอง ในขณะที่นางปรากฏตัวบนนั้น อาภรณ์ของนางก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว เครื่องแต่งกายแบบดินแดนตะวันตกยามเมื่ออยู่บนเรือนร่างของนาง ให้อารมณ์ความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้ เสียงกระพรวนใสกังวานดังขึ้นตามจังหวะการก้าวเดิน มอมเมาหัวใจผู้คนให้หลงใหล
ม่านโปร่งผืนใหญ่ที่ทอดรายลงมาอย่างงามสง่าเปลี่ยนทัศนวิสัยเบื้องหน้าให้ดูเลือนราง จวินหวงเงยหน้ามองขึ้นไป เห็นเว่ยหลายอิ๋งยืนอยู่โดดเดี่ยว ราวกับเทพเซียนผู้ไกลห่างจากโลกหล้า
คาดว่าฉีเฉินก็คงไม่ได้คิดว่าครั้งนี้เว่ยหลานอิ๋งจะแสดงลวดลายอะไรให้เขาชม ชั่วขณะหนึ่งเขาจึงถูกม่านโปร่งราวกับห้วงความฝันดึงดูดสายตาให้จับจ้องอยู่เพียงเรือนร่างของเว่ยหลานอิ๋ง จวินหวงมองเขาสองสามครั้งก็ได้แต่ส่ายหน้าถอนใจ เกรงว่าครานี้ฉีเฉินคงหนีไม่พ้นสตรีที่อยู่เหนือการควบคุมอย่างเว่ยหลานอิ๋งแน่แล้ว
เว่ยหลานอิ๋งรู้สึกดีใจมากที่มีเสียงตอบรับจากเขาเช่นนี้ นางยื่นมือออกไปดึงผ้าม่านเอาไว้ แล้วค่อยๆ ทอดกายทิ้งตัวลงมา เสียงผู้คนด้านล่างอื้ออึงไปทั่วบริเวณ การร่ายรำของนางราวกับขนห่านป่าที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ
จวินหวงหัวเราะเบาๆ พลางยกจอกสุราบนโต๊ะเตี้ยขึ้นมาแกว่งไปมา น้ำสุราใสแจ๋วราวกับกระจกที่สามารถสะท้อนให้เห็นขนตาคนได้ นางจิบเบาๆ เข้าไปหนึ่งคำ กลิ่นสุราเข้มข้นช่างเป็สุราดีโดยแท้
นางแหงนหน้ากระดกสุราดื่มจนหมดจอก แล้วเอียงคอชมการแสดงของเว่ยหลานอิ๋งต่อไป ฉีเฉินที่อยู่ข้างตัวตกหลุมรักคนงามเข้าแล้ว จวินหวงเห็นแล้วก็อดรู้สึกขำไม่ได้
ฮองเฮาประทับอยู่ชั้นสองแต่สายตากลับจับลงมาที่ตัวจวินหวง เห็นจวินหวงดื่มสุราที่พระนางใช้ให้คนไปวางยาเอาไว้ ริมฝีปากเผยรอยยิ้มลึกล้ำ แต่นางกำนัลที่ยืนอยู่ข้างกายอุ้งมือชุ่มไปด้วยเหงื่อ สีหน้าเต็มไปด้วยความลำบากใจ
จวินหวงดื่มสุราไปสองสามจอกก็รู้สึกมึนงงและหนักศีรษะ นางขมวดคิ้วสงสัย แต่ไหนแต่ไรไม่เคยคออ่อนโดยไม่มีเหตุผลเช่นนี้ นางจับชีพจรของตนเองภายใต้โต๊ะเตี้ยอย่างไม่ให้เป็ที่สังเกต จึงรู้ในฉับพลันว่าตนเองถูกพิษเข้าแล้ว
คิดย้อนไปถึงนางกำนัลของฮองเฮาที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวที่นี่เมื่อครู่ นางก็รู้ได้อย่างรวดเร็วว่าเกิดอะไรขึ้น นางแหงนหน้าขึ้นไปมองชั้นสอง แววตาของนางคมกริบราวกับสามารถสังหารคนได้ นางหายใจเข้าออกลึกๆ เฮือกหนึ่ง พยายามควบคุมข่มความรู้สึกปวดศีรษะเอาไว้ ยันร่างกายโงนเงนลุกขึ้นมายืน
"เ้าเป็ใครกัน ยังไม่รีบหลีกทางไปเร็วๆ อีก" จู่ๆ ก็มีเสียงสตรีดังขึ้น จวินหวงยังไม่ทันโต้ตอบอะไรออกไป ก็ถูกเว่ยหลานอิ๋งผลักกระเด็นไปแล้ว นางล้มลงบนโต๊ะเตี้ย สุราบนโต๊ะหกเรี่ยราด ทั้งไหและจอกสุราแตกกระจายเต็มพื้น
เว่ยหลานอิ๋งทำสีหน้าราวกับเป็ผู้บริสุทธิ์ จวินหวงหยัดกายลุกขึ้นมามองเว่ยหลานอิ๋งอย่างไม่แยแส และไม่พูดอะไรสักคำ ฉีเฉินที่อยู่ข้างๆ หน้านิ่วกังวลใจอย่างมาก รีบเข้ามาประคองจวินหวงขึ้นมา "น้องเฟิง เ้าไม่เป็อะไรใช่ไหม?"
จวินหวงส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า "ข้าไม่เป็ไร แค่ร่างกายรู้สึกไม่สบายนิดหน่อย อยากจะออกไปเดินรับลมข้างนอก ข้าขอตัวก่อนล่ะ" พูดจบนางก็เดินผ่านโต๊ะเตี้ยออกไป
เดิมทีฉีเฉินก็อยากจะตามไป แต่ถูกเว่ยหลานอิ๋งรั้งตัวไว้ เว่ยหลานอิ๋งช้อนตามองเขาท่าทางชดช้อยน่ารักยากที่ใครจะปฏิเสธได้ ในที่สุดฉีเฉินก็ทิ้งน้องชายมาซุกอกสาวงาม
เขาดึงเว่ยหลานอิ๋งมากอดไว้ในอ้อมแขน สูดลมหายใจเข้าไปชุ่มปอด กลิ่นหอมสดชื่นจางๆ บนเรือนร่างของเว่ยหลานอิ๋งชวนให้รู้สึกหลงใหลจนเขาไม่อาจถอนตัวได้
เว่ยหลานอิ๋งซบอยู่ในอ้อมอกของฉีเฉิน แล้วถามขึ้นด้วยสีหน้าเขินอาย "หวางเหย่ ทรงพอพระทัยหม่อมฉันหรือไม่?"
ฉีเฉินได้ยินเช่นนั้นก็ก้มหน้าลงมองเว่ยหลานอิ๋งทำทีเหมือนว่าจะกำลังคิดถึงสิ่งที่นางถามอยู่จริงๆ แต่สิ่งที่เขาคิดก็คือ บิดาของนางเป็เพียงขุนนางฝ่ายบุ๋นขั้นเจ็ด ไม่มีผลต่อการ่ชิงตำแหน่งรัชทายาทมากนัก แต่เมื่อคิดในมุมกลับ ในราชสำนักตอนนี้มีคนนอกอยู่เพียงไม่กี่คน หนึ่งในนั้นก็คือใต้เท้าเว่ย ถ้าหากสามารถใช้ประโยชน์ได้ ก็ควรจะเก็บไว้ใช้ดีกว่า
ฉีเฉินก้มหน้ามองหญิงสาวในอ้อมอกแล้วหัวเราะเบาๆ ออกมา จากนั้นก็ไม่พูดไม่จาจูงมือเว่ยหลานอิ๋งเดินขึ้นไปชั้นสอง ผู้คนทั้งหมดจ้องไปที่พวกเขา จึงไม่มีใครสังเกตเห็นว่าหนานสวินได้เดินออกไปแล้ว
"เสด็จพ่อ ลูกอยากแต่งเว่ยหลานอิ๋งเป็ชายาพ่ะย่ะค่ะ" ฉีเฉินคุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ กล่าววาจาอย่างมั่นคงหนักแน่น
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเว่ยหลานอิ๋ง แล้วก็ผินพระพักตร์มามองฉีเฉิน พลางขมวดพระขนง แต่ฮองเฮาเพียงแค่หัวเราะเ็าอยู่ในใจ จากที่พระนางเห็นสกุลเว่ยมิได้มีพิษมีภัยอะไรต่อพระนาง ไม่สู้ถือโอกาสนี้สร้างบุญคุณกับฉีเฉินโดยที่พระนางไม่ต้องเปลืองแรงทำอะไรมากมาย
คิดได้เช่นนี้ ฮองเฮาก็ค่อยๆ ยืนขึ้น ยอบกายตรัสกับฮ่องเต้ "ฝ่าา ในเมื่อเฉินเอ๋อร์ชอบนาง พระองค์ก็ทรงอนุญาตเื่มงคลนี้เถิด พระองค์ทรงทอดพระเนตรสิเพคะ พวกเขาสองคนเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก เป็คู่์สร้างมาโดยแท้"
จักพรรดิทรงพยักหน้า เห็นด้วยว่าคำกล่าวของฮองเฮาไม่ไร้เหตุผล ตอนนี้ฉีเฉินก็ถึงอายุที่สมควรจะอภิเษกสมรสได้แล้ว หลังจากทรงวินิจฉัยอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ให้คนไปเชิญใต้เท้าเว่ยมาเข้าเฝ้า และประกาศต่อหน้าทุกคน "เว่ยหลานอิ๋งสุภาพเรียบร้อย องค์ชายฉีเฉินองอาจสง่างาม วันนี้ทั้งสองมีจิตปฏิพัทธ์ต่อกัน เราขอพระราชทานมงคลสมรสให้พวกเขา ให้เฟ้นหาฤกษ์มงคลจัดพิธีให้พวกเขาจนเสร็จสิ้น"
"ขอบพระทัยเสด็จพ่อ"
...
หลังจากที่จวินหวงเดินออกจากเหลาสุราก็รู้สึกหนักศีรษะ เกาะกำแพงประคองตัวไว้ก้าวเท้าไม่ไหวอีกแล้ว วินาทีต่อมาเปลือกตาก็ปิดล้มลงหมดสติ โชคดีที่หนานสวินมาพบเข้า เขาพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วรับตัวจวินหวงไว้ได้ทันก่อนที่นางจะร่วงถึงพื้น
จวินหวงเอนซบอยู่ในอ้อมอกของหนานสวิน ทันทีที่เห็นริมฝีปากของจวินหวงกลายเป็สีดำ หนานสวินก็ขมวดคิ้วเครียด แค่มองก็รู้ได้ว่าถูกพิษ เขามองไปรอบด้าน เนื่องจากมีงานเลี้ยงร้อยสกุล รอบบริเวณจึงถูกปิดไม่ให้คนนอกเข้ามาเพ่นพ่านได้
หนานสวินรู้ว่าไม่สามารถประวิงเวลาได้อีก จึงสวมเสื้อคลุมให้แก่จวินหวง แล้วแบกนางไปยังเส้นทางกลับจวนของตน เขาพบกับทหารยามตรวจสอบคนเข้าออก องครักษ์เห็นว่าหนานสวินแบกคนไว้บนหลัง พวกเขาต่างรู้จักหนานสวินกันทุกคน ดังนั้นจึงไม่กล้าหุนหันพลันแล่นทำอะไร หลังจากผลักกันไปผลักกันมาเกี่ยงกันไปมาอยู่สักพัก ก็มีคนหนึ่งเกาหัวเดินออกมาถาม "หวางเหย่จะไปไหนหรือขอรับ? น้องชายท่านนี้มีปัญหาอะไรหรือไม่?"
หนานสวินเหลือบมองคนผู้นั้นด้วยสายตาเย็นเยียบ จนเขาผวาเกือบล้มหงายหลังลงไป ผ่านไปชั่วครู่หนานสวินจึงเอ่ยขึ้นเสียงกร้าว "เขาเป็แขกคนสำคัญของจวนข้า เขาดื่มหนักไปหน่อย ข้ากำลังจะส่งเขากลับ"
"ขอรับๆๆ หวางเหย่้าให้พวกเราช่วยเหลือหรือไม่?" คนผู้นั้นถามพลางปาดเหงื่อ
"ไม่ต้อง พวกเ้าเฝ้าดูที่นี่ให้ดีเถอะ หากน้ำในสระลดลงไปสักครึ่งส่วน เดี๋ยวชีวิตน้อยๆ ของพวกเ้าจะรักษาไว้ไม่ได้"
"ขอรับ หวางเหย่สอนสั่งได้ถูกต้อง" พูดจบก็เปิดทางให้ น้อมส่งหนานสวินออกไปอย่างพินอบพิเทา
หนานสวินใจร้อนเป็ไฟ ลมหายใจของจวินหวงอ่อนลงไปเรื่อยๆ ราวกับว่าจะขาดหายไปโดยสิ้นเชิงในไม่ช้า เขาจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก
ทันทีที่กลับถึงจวน เขาก็ให้คนไปตามหมอประจำตัวของเขา จากนั้นเขาก็แบกจวินหวงเข้าไปในห้องนอนของตนเองโดยไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย
เหล่าบ่าวไพร่ต่างมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าคนที่หนานสวินพากลับมามีที่มาอย่างไร แต่ไม่กล้าพูดสุ่มสี่สุ่มห้า ได้แต่ทำเป็ไม่รู้ไม่เห็นอะไร
ท่านหมอเดินทางมาถึงอย่างรวดเร็ว จวินหวงนอนอยู่บนเตียงเปลือกตาปิดสนิท ลมหายใจรวยริน สีหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลของหนานสวินอยู่ในสายตาของผู้เป็หมอ เขาเพียงแค่ส่ายหน้าและถอนหายใจ
ในขณะที่ตรวจชีพจรให้กับจวินหวง ท่านหมอมีสีหน้าเคร่งเครียดขมวดคิ้วยุ่ง ท้ายที่สุดก็ถอนใจออกมา เขามองไปที่หนานสวินแล้วส่ายหน้า แต่กลับไม่กล่าวอะไรเลย หนานสวินหรือจะทนทรมานใจแบบนี้ได้ เขายื่นมือออกไปกระชากคอเสื้อของท่านหมอขึ้นมาถามทันที "นางเป็อย่างไรกันแน่?"
"หวางเหย่ แม้ว่าแม่นางท่านนี้จะรู้ตัวว่าถูกพิษและได้สกัดปราณโลหิตของตนเองเอาไว้แล้ว แต่ก่อนหน้านี้นางเคยถูกพิษมาแล้ว พิษที่ตกค้างยังถอนออกไม่หมด ซ้ำยังรับพิษใหม่เพิ่มเข้าไปอีก ยิ่งไปกว่านั้นพิษในครั้งนี้รุนแรงมาก เกรงว่า... เกรงว่าแม่นางผู้นี้คงจะเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ข้าจะจัดยาให้นางก่อน แต่ก็หวังว่านางจะฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว"
ท่านหมอส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ ลูบเคราของตนเองแล้วเดินจากไป ทิ้งหนานสวินให้ยืนอึ้งงันอยู่ที่เดิม
เขามองจวินหวงที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงราวกับไร้พลังชีวิต วินาทีนั้นเขารู้สึกปวดหน่วงในหัวใจอย่างเฉียบพลัน ราวกับว่ามีหินก้อนใหญ่มากดทับอยู่้า ลมหายใจก็เปลี่ยนเป็เร็วขึ้น
จวินหวงไม่ได้เห็นสายตาของหนานสวินในตอนนี้ นางกำลังดำดิ่งเข้าไปในภวังค์แห่งความโกลาหล ยามเมื่อสายตาของนางแจ่มชัด ก็พบว่าตนเองกลับไปในวันที่เมืองล่มบ้านแตก แผ่นดินสูญสลาย เพลิงกาฬลุกโชติ่ การฆ่าฟันดำเนินไปอย่างต่อเนื่องไม่เคยหยุดนิ่ง
"อย่า... อย่าสังหารน้องชายของข้า... อย่า" จวินหวงส่งเสียงละเมอขึ้นมาจากฝันร้าย หัวคิ้วขมวดอย่างแ่า
หนานสวินได้ยินที่จวินหวงละเมอออกมา ก็บันดาลโทสะในฉับพลัน ขบกรามกรอดตะคอกใส่จวินหวง "แว่นแคว้นล่มสลายไปแล้ว ไยเ้าต้องทนทุกข์เฝ้ามองอดีตที่ไม่อาจหวนกลับ? เ้าจะต้องให้ตนเองตายในเป่ยฉีถึงจะยอมเลิกราเช่นนั้นหรือ?"
"ลูกผู้ชายแก้แค้นสิบปียังไม่สาย เสียแรงที่เ้าแต่งกายเป็ชาย แต่กลับไม่มีความเด็ดเดี่ยวเลยสักนิด หากไม่เป็เพราะเ้ารีบร้อนกระหายในความสำเร็จจนเกินไป มีหรือที่เ้าจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้"
เขาไม่ได้ตระหนักเลยว่าในน้ำเสียงของตนเองมีความโกรธคุกรุ่น ในที่สุดก็ทนเห็นจวินหวงในสภาพนี้ไม่ได้ จึงสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป แล้วกำชับให้สาวใช้อยู่เฝ้าจวินหวงเอาไว้
จวินหวงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึก นางยื่นมือไปกดขมับที่รู้สึกปวดเอาไว้ ค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองดูเครื่องเรือนที่แปลกตาไม่คุ้นเคยเรียวคิ้วก็ขมวดมุ่น สาวใช้ที่งีบหลับอยู่ข้างกายพอลืมตาขึ้นมาเห็นจวินหวงฟื้นแล้ว ก็รีบลุกขึ้นมายืนอย่างรวดเร็ว "แม่นาง ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว"
"เ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?" จวินหวงขมวดคิ้วถาม
ท่าทางตื่นใโดยไร้สาเหตุของจวินหวง ทำให้สาวใช้ตะลึงไปครู่ใหญ่ ก่อนจะตอบคำถาม "ย่อมต้องเป็... แม่นาง..."
จวินหวงได้ยินเช่นนั้นก็ก้มศีรษะลงมองที่ร่างกายของตนเอง ก็เห็นว่าเสื้อผ้าของตนเองถูกเปลี่ยนไปแล้ว ผมก็ปล่อยลงประบ่า แต่งกายเหมือนกับสตรีทั่วไป เพียงชั่วพริบตาใบหน้าของนางก็แดงเรื่อ ชี้ไปบนอาภรณ์ที่ตนเองสวมอยู่แล้วถามว่า "ใครเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้า?"
"ย่อมต้องเป็หวางเหย่ของเราสั่งให้ข้าเปลี่ยนให้ แม่นางอย่าได้กังวลไป ที่นี่เป็จวนอ๋อง ไม่มีใครทำร้ายท่านได้"
"จวนอ๋อง? หนานสวิน?" จวินหวงก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดนางจึงคิดถึงหนานสวินเป็คนแรก เลยถามออกไปเช่นนั้น
สาวใช้พยักหน้า ลอบถอนใจอย่างโล่งอก คิดว่าหวางเหย่ของตนคงรู้จักกับแม่นางผู้นี้ ไม่น่าจะใช่สตรีที่ไปชิงตัวมา
..................................................................................................................
[1] มิใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน หมายถึง คนที่ไม่ธรรมดา มีสติปัญญาความสามารถ และมีความคิดแยบยล มักจะสร้างความวุ่นวายให้ผู้อื่นได้อยู่เสมอ