ยังไม่ทันที่หนานสวินจะตอบกลับ ฉีเฉินที่กำลังออกตามหาก็เดินเข้ามา เขาย่นคิ้วมองหนานสวิน ก่อนจะหันมาหาจวินหวงแล้วพูดขึ้น "ข้ากำลังตามหาเ้าอยู่ ไม่คิดว่าเ้าจะมาอยู่ที่นี่”
"พอดีข้าเห็นว่าหวางเหย่ก็อยู่ที่นี่ด้วย จึงแวะมาทักทายเท่านั้น" จวินหวงกล่าว
ฉีเฉินพยักหน้า หันไปมองหนานสวินแล้วพูดว่า "หนานสวิน ข้าไม่คิดว่าเ้าจะมาที่นี่ด้วย ปีก่อนๆ หน้านี้ก็ไม่เคยเห็นเ้าจะมา"
หนานสวินดื่มชาเข้าไปคำหนึ่งก่อนจะกล่าวเรียบๆ "เมื่อก่อนไม่เคยมา แต่ได้ยินมาว่าปีนี้งานจัดยิ่งใหญ่เป็พิเศษ ก็เลยอยากรู้แวะมาดูเท่านั้นเอง แต่ดูเหมือนว่าเ้าจะมาทุกปี"
ฉีเฉินได้ยินเช่นนั้นก็เบ้ปาก ไม่สนทนากับหนานสวินอีก แล้วลากจวินหวงไปนั่งที่อื่น เพื่อรอชมการแสดงความสามารถทางศิลปะของเหล่าคุณหนูจากตระกูลมั่งคั่งเ่าั้
สตรีคนแรกที่ก้าวขึ้นไปบนเวทีก็คือซ่างกวนเยว่บุตรีของท่านอัครมหาเสนาบดี สตรีผู้นี้มีดวงตาหวานหยาดเยิ้มราวกับภาพศิลปะ เรือนร่างโฉมสะคราญห่อหุ้มด้วยผ้าโปร่งบางเบา งดงามพริ้มเพราสะกดผู้คนไม่ให้ละสายตา
ผ้าโปร่งสีอ่อนสะบัดพลิ้วลม เรือนผมสีดำสนิทกระจายตัวไปในอากาศ ภายใต้เครื่องประทินโฉมที่แต่งแต้มอย่างละเมียดละไมของหญิงสาวเก็บงำความรู้สึกมากมายเอาไว้ ทุกครั้งที่นิ่วหน้า ทุกคราที่แย้มยิ้มล้วนแสดงอารมณ์ไปได้หลากหลาย ยามที่นางเยื้องย่างแต่ละก้าวล้วนแช่มช้อยงดงาม ราวกับดอกบัวที่เบ่งบานเต็มสระ
สตรีเช่นนี้จะไม่ทำให้คนคลุ้มคลั่งเพราะความรักได้อย่างไร สายตาของผู้คนทั้งหมดในสถานที่แห่งนั้นล้วนมารวมอยู่ที่เรือนร่างของหญิงสาว แต่สีหน้าของซ่างกวนเยว่กลับเฉยเมย แววตาฉ่ำพราวราวกับหยดน้ำกลิ้งมองไปที่หนานสวินอย่างเก็บงำความรู้สึก
ควันกำยานฟอนฟุ้งม้วนเกลียวเป็ม่านควันบางๆ นางยอบกายเล็กน้อย ช้อนตามองไปที่หนานสวินซึ่งอยู่ตรงหน้าของตนเองพอดี แล้วก็หลุบตาลงราวกับอยู่ในห้วงรักอย่างลึกซึ้ง ราวกับกำลังเขินอาย ริมฝีปากของนางคลี่ยิ้มอ่อนๆ อย่างสง่าผ่าเผย ต่อหน้าคนที่นางรักนางกำลังแสดงความเขินอาย แต่ต่อหน้าผู้อื่นมีเพียงความสดใสสง่างามเท่านั้น
"ผู้น้อยซ่างกวนเยว่ เป็บุตรีของท่านอัครมหาเสนาบดี วันนี้ขอร่ายรำให้ทุกท่านได้ชมสักบทเพลง หวังว่าทุกท่านอย่าหัวเราะขำขันก็พอ" ริมฝีปากแดงเรื่อของซ่างกวนเยว่เผยอน้อยๆ สายตาที่ทอดมองหนานสวินยิ่งรุ่มร้อน
หนานสวินมองดูด้วยสายตาเ็า ใบหน้าเรียบเฉยเป็ูเาน้ำแข็งไม่มีความรู้สึกใดๆ อยู่เหมือนเดิม แต่จวินหวงซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลนักกลับมองหนานสวินอย่างสนอกสนใจ นางนั่งเอามือเท้าคางไว้ท่าทางดูคล้ายกับคุณชายเ้าสำราญที่ไม่มีพันธนาการใดๆ ฉีเฉินยกแก้วชวนนางดื่มอยู่บ่อยๆ สตรีที่อยู่อีกด้านหนึ่งจ้องจวินหวงตาไม่กะพริบราวกับว่าจวินหวงแย่งชิงคู่หมั้นของนางไปอย่างนั้น
เสียงผีผาบรรเลงขึ้นเป็ท่วงทำนองที่ไพเราะเพราะพริ้ง ซ่างกวนเยว่แตะปลายนิ้วเบาๆ เป็จีบดอกกล้วยไม้[1] ดวงตาเยือกเย็นราวกับเหมันต์ เยื้องกรายร่ายรำไปตามท่วงทำนองดนตรีที่สอดรับอย่างลงตัว บนเวทีการแสดง นางคล่องแคล่วปราดเปรียวประหนึ่งดอกโบตั๋นหยิ่งผยอง
จวินหวงชมการแสดงด้วยสายตาสงบนิ่ง แต่ในสายตาของคนรู้ใจกลับรู้สึกว่าในดวงตาของนางมีความชื่นชม ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นที่ข้างหู จวินหวงหันหน้ามามองฉีเฉินพลางขมวดคิ้วอย่างสงสัย "หวางเหย่หัวเราะอะไรหรือ?"
ฉีเฉินที่นั่งเท้าคางอยู่เอียงศีรษะหันมามองจวินหวง แล้วก็ยิ่งหัวเราะหนักขึ้นไปอีก "ไม่คิดว่าน้องเฟิงจะมีสายตาที่เปี่ยมไปด้วยรสนิยมเช่นนี้ แค่มองก็ไปถูกใจซ่างกวนเยว่สาวงามอันดับหนึ่งของเป่ยฉีเราเข้าแล้ว แต่น่าเสียดาย..."
"น่าเสียดาย?" จวินหวงขมวดคิ้วเล็กน้อย อย่างไม่เข้าใจเหตุผล
ฉีเฉินบุ้ยปากชี้ไปทางหนานสวิน แล้วกล่าวว่า "ใครๆ ก็รู้ว่าซ่างกวนเยว่แอบมีใจให้หนานสวิน ในงานเลี้ยงร้อยสกุลของทุกปีนางก็คาดหวังให้หนานสวินมาเข้าร่วม แต่คนอย่างหนานสวินจะไปรู้จักรักหยกถนอมบุปผาเสียที่ไหน มีแต่จะทำให้สาวเ้าผิดหวังช้ำใจกลับไปทุกปี" แล้วเขาก็หันมา ลดน้ำเสียงลงกระซิบบอก "เดิมทีซ่างกวนเยว่ตั้งใจให้บิดาของนางไปทูลขอเสด็จพ่อให้ออกราชโองการพระราชทานสมรสให้ ท่านอัครมหาเสนาบดีย่อมยินดีอยู่แล้ว แต่ไม่ทันที่เสด็จพ่อของข้าจะเอ่ยถึงเื่นี้ เ้าเด็กหนานสวินนั่นกลับปฏิเสธอย่างไม่รู้ดีชั่ว"
จวินหวงได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะในใจ เื่ที่ฮ่องเต้เป่ยฉีหวั่นเกรงในตัวหนานสวินใช่ว่านางจะไม่รู้ หากซ่างกวนเยว่กับหนานสวินแต่งงานกัน เช่นนั้นอำนาจของหนานสวินก็จะยิ่งไม่อาจดูเบาได้ คนที่มีนิสัยช่างระแวงเช่นฮ่องเต้ จะยอมให้หนานสวินกลายมาเป็คู่ต่อสู้ของพระองค์ได้หรือ?
การที่หนานสวินปฏิเสธ หากไม่ใช่เพราะฮ่องเต้คอยบงการทุกอย่างอยู่เื้ั เช่นนั้นก็คงเป็เพราะ 'บุปผามีรักแต่วารีไร้ใจ' แล้ว
นางนึกถึงคำพูดหยอกล้อที่หนานสวินเพิ่งพูดกับนางเมื่อครู่ ก็พลันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย จวินหวงยกจอกสุราบนโต๊ะดื่มเข้าไปคำหนึ่ง พยายามยับยั้งความว้าวุ่นในหัวใจเอาไว้
ในเวลานี้ การร่ายรำของซ่างกวนเยว่ใกล้จะเสร็จสิ้น พวงแก้มของนางแดงเรื่อ ค่อยๆ เดินไปอยู่ตรงหน้าหนานสวิน ระหว่างคนสองคนมีเพียงโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งกั้นขวางไว้ นางก้มลงมองหนานสวินที่นั่งเป็สง่าอยู่ที่นั่น ริมฝีปากคลี่ยิ้ม "ไม่ทราบว่าหวางเหย่จะให้เกียรติผู้น้อยร่วมร่ายรำปิดการแสดงนี้ได้หรือไม่?”
เสียงฮือฮาจากผู้คนรอบด้านดังขึ้น ทุกคนล้วนเฝ้ารอท่านอ๋องูเาน้ำแข็งลุกขึ้นยืนเพื่อหนึ่งรอยยิ้มของยอดพธู แต่หนานสวินเป็เพียงขุนพลผู้หนึ่ง ไม่เข้าใจความรักไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผา คนแบบนี้ก็คงจะเ็าไร้หัวใจแบบนี้ไปตลอดชีวิต มีหรือที่เขาจะยอมอ่อนโยนเพื่อคนคนหนึ่ง หรือยอมทำทุกสิ่งเพียงเพื่อรอยยิ้มของนาง
"ขออภัย เชิญแม่นางไปที่อื่นเถิด" หนานสวินกล่าวอย่างไม่แยแส ไม่สนใจเลยสักนิดว่าที่นั่นจะมีคนมองอยู่มากมายเพียงไหน และไม่สนใจเลยสักนิดว่าหัวใจหญิงสาวเช่นซ่างกวนเยว่จะรู้สึกเช่นไร
ใน่เวลานั้น ซ่างกวนเยว่ตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ยืนอึ้งงันอยู่กับที่ทำอะไรไม่ถูก นางเป็บุตรีที่บิดามารดารักใคร่เอาอกเอาใจ ไม่เคยถูกใครปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้าแบบนี้มาก่อน
ทุกคนล้วนชอบละครสนุกกันทั้งนั้น พวกเขาต่างจ้องมองไปที่ซ่างกวนเยว่และหนานสวิน หนานสวินกลับไปนั่งดื่มสุราคนเดียวเงียบๆ เขาไม่เคยเห็นซ่างกวนเยว่อยู่ในสายตามาั้แ่ต้น อัครมหาเสนาบดีที่นั่งอยู่กับฮ่องเต้ที่ชั้นสองโกรธจนหน้าคล้ำเขียว เนื่องจากฮ่องเต้ประทับอยู่ด้วยจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามออกมา มิเช่นนั้นเขาคงลงมาเอาความกับหนานสวินั้แ่ก่อนหน้านี้แล้ว
ในขณะที่สายตาของทุกคนล้วนมองไปทางหนานสวิน ก็ไม่รู้ว่าจวินหวงเกิดความคิดอะไรในใจขึ้นมา นางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ใบหน้าแย้มยิ้มในมือโบกพัดไปมา หันไปทางซ่างกวนเยว่ จากนั้นก็คำนับให้นางอย่างสุภาพบุรุษ ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะวางพัดลง และผายมือเชื้อเชิญ "ไม่ทราบว่าแม่นางจะให้เกียรติผู้น้อยร่วมร่ายรำด้วยได้หรือไม่?"
ซ่างกวนเยว่ปรายตามองมาที่จวินหวง ดวงตาเต็มไปความรังเกียจ วาจาและรอยยิ้มล้วนเ็า "คุณชายผู้นี้ช่างน่าขัน เ้าคิดว่าข้าซ่างกวนเยว่เป็คนระดับไหน? หรือว่าลูกผู้ดีมีเงินอย่างพวกเ้าหวังจะปีนขึ้นที่สูง? ช่างไม่รู้จักเจียมตนว่าเป็คนชั้นใด จะไปเปรียบเทียบกับคุณชายหนานสวินได้อย่างไร หากยังพอมีความฉลาดอยู่บ้าง ก็จงทำตัวให้หายไปจากสายตาของข้าโดยเร็ว มิเช่นนั้นก็อย่าตำหนิว่าข้าไร้มารยาท"
จวินหวงหัวเราะ แววตาสงบนิ่งไม่แยแส "คำพูดของแม่นางทำให้ข้าน้อยทำตัวลำบากนัก"
และในเวลานี้เอง ก็มีสตรีผู้หนึ่งสวมอาภรณ์ผ้าโปร่งสีเหลืองอ่อนเดินเข้ามา นางถลึงตาใส่ซ่างกวนเยว่ทีหนึ่ง จากนั้นก็เข้ามาเกาะแขนของจวินหวงเอาไว้ แล้วชี้ไปที่ซ่างกวนเยว่พลางกล่าวว่า "เ้านึกว่าตนเองวิเศษวิโสมาจากไหน พี่หนานสวินก็ไม่สนใจเ้าอยู่ดีไม่ใช่หรือ?"
แค่ได้ยินคำกล่าวนี้ก็รู้ได้ทันทีว่านางคือพระธิดาองค์เล็กของฮ่องเต้ องค์หญิงจอมเกเรผู้เลื่องชื่อ จวินหวงทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ องค์หญิงยึดเกาะแขนของนางอยู่ นางจะสลัดองค์หญิงออกต่อหน้าผู้คนก็ไม่ได้ ได้แต่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากหนานสวิน ใครจะรู้หนานสวินไม่มองนางเลย
ในที่สุดฉีเฉินก็เดินออกมา เขายิ้มเล็กน้อยยืนกันท่าปกป้องจวินหวงเอาไว้ด้านหลัง แล้วมองไปที่ซ่างกวนเยว่ "คุณหนูซ่างกวน การดูิ่ผู้คนแบบนี้หาใช่เื่ดีอะไร อย่าว่าแต่การที่เ้ามองข้ามสหายของข้าผู้นี้เลย ต่อให้เ้ามองเห็นคุณค่าในตัวเขา ก็เกรงว่าเ้าไม่คู่ควร!"
ฉีเฉินไม่ชอบซ่างกวนเยว่มาแต่ไหนแต่ไร เขาคิดว่าสตรีควรจะเรียบร้อยสุภาพอ่อนโยน ควรมีจริตจะก้านน่ารักมีเสน่ห์ แต่ซ่างกวนเยว่ถือว่าเกิดในตระกูลที่มีชื่อเสียงและอำนาจยิ่งใหญ่ ถือตนว่ามีรูปโฉมงดงามจึงเย่อหยิ่งจองหอง ไม่เคยเห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา แม้ว่าจะเป็ดอกโบตั๋น แต่ทว่าก็เป็โบตั๋นที่ยะโสโอหังอย่างที่สุด ชวนให้คนรู้สึกระอา
ซ่างกวนเยว่พูดไม่ออก นางมองฉีเฉินแล้วขบริมฝีปากอย่างแรง แล้วก็หันไปมองหนานสวิน พบว่าเขานั่งดื่มสุราอย่างไม่แยแสผู้ใด ทำราวกับว่าเขาเป็คนนอก และละครตลกร้ายฉากนี้ไม่ได้มีสาเหตุมาจากตัวเขา
ฉีเฉินไม่คิดจะปล่อยซ่างกวนเยว่ไปง่ายๆ เขาหันกลับมาพูดกับจวินหวง
"น้องเฟิง เมื่อครู่ข้าบอกเ้าแล้วเ้าก็ไม่เชื่อ ทีนี้คงได้เปิดหูเปิดตาแล้วล่ะสิ ที่นี่คนมากมายขนาดนี้ ใครๆ ก็อยากเห็นคุณหนูซ่างกวนในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกันทั้งนั้น เ้าดันเอาตัวเองเข้ามาเกี่ยวเสียนี่ ข้าเลยไม่รู้ว่าควรจะพูดกับเ้าอย่างไรดี"
"หวางเหย่สอนสั่งได้ถูกต้องแล้ว ผู้น้อยเพียงแค่เห็นว่าคุณหนูซ่างกวนรูปโฉมงดงาม ไม่คิดว่าคุณหนูผู้สูงศักดิ์จะเย่อหยิ่งถึงเพียงนี้ สายตาผู้น้อยคงมืดบอดไปจริงๆ ขอบพระทัยหวางเหย่ที่ทรงออกโรงกู้หน้าให้กับผู้น้อย"
จวินหวงหัวเราะเบาๆ ร้องรับเอออวยไปกับฉีเฉินอย่างไหลลื่น หนานสวินได้ยินเช่นนั้นก็ปิดปากหัวเราะไม่ให้มีเสียงหลุดลอดออกมา
ซ่างกวนเยว่มองจวินหวงกับฉีเฉินอย่างเจ็บใจ สุดท้ายก็เพียงกระทืบเท้าวิ่งหนีไป สาวใช้ของนางล้วนตามไปไม่ทัน เกรงว่าครานี้จะโจมตีนางหนักเกินไปจริงๆ
"น้องเฟิง นี่คือหว่านเอ๋อร์ น้องสาวของข้าเอง" ฉีเฉินเพิ่งสังเกตเห็นว่าองค์หญิงยังอยู่ จึงชี้ไปที่องค์หญิงและแนะนำให้รู้จัก จวินหวงเพียงแค่พยักหน้าและค้อมกายคารวะคิดว่าแค่นี้เดี๋ยวก็ผ่านไปไม่มีอะไร แต่ใครจะรู้ว่าองค์หญิงกลับคิดพัวพันไม่เลิก
เดิมทีจวินหวงคิดจะกลับไปที่นั่งพร้อมกับฉีเฉิน แต่ถูกองค์หญิงฉุดรั้งไว้ องค์หญิงมองจวินหวงแล้วถามว่า "คุณชายท่านมางานเลี้ยงร้อยสกุลนี้เพื่อมาหาคู่ที่เหมาะสมใช่หรือไม่?"
จู่ๆ ก็ถูกหญิงสาวจู่โจมด้วยคำถามแบบนี้ จวินหวงก็แก้มร้อนผ่าว ถึงกับอึกอักไม่สามารถเอ่ยวาจาใดๆ ได้ไปชั่วขณะ โชคดีที่ฉีเฉินเป็คนรู้จักสังเกตสีหน้าผู้คนเป็ที่สุด จึงเอ่ยปากขึ้นอย่างรวดเร็ว "เ้าเป็สตรีมาถามคำถามแบบนี้ช่างไร้ยางอายเกินไปแล้ว ยังไม่รีบกลับขึ้นไปชั้นสองอีก มาอยู่ที่นี่ทำอะไร?" กล่าวจบก็ไล่องค์หญิงออกไป
องค์หญิงค่อนข้างจะกลัวฉีเฉินพระเชษฐาผู้นี้อยู่ไม่น้อย แม้ว่าจะดื้อดึงแต่ก็ยอมถอยกลับไป นางเบ้ปากเดินก้าวหนึ่งหันมาสามหนแล้วขึ้นชั้นสองไป ทางจวินหวงถึงค่อยโล่งใจขึ้นมาได้
"ต้องขอบพระทัยท่านอ๋องที่ช่วยผู้น้อยให้รอดมาได้"
"จะเป็ไรไป พวกเราก็คนกันเอง ข้าดูออกว่าเ้าไม่ได้สนใจน้องสาวของข้าคนนี้ ข้าก็รู้ว่านางเป็คนไม่ใช่คนเงียบๆ น้องเฟิงย่อมไม่ชอบอยู่แล้ว" ฉีเฉินพูดได้เป็เหตุเป็ผล จวินหวงเพียงแค่หัวเราะคล้อยตาม แต่ในใจนางรู้ดีว่าฉีเฉินไม่อยากให้พระขนิษฐาคนนี้เข้ามาพัวพันด้วย ดูเหมือนว่าเขาก็ไม่ได้ไร้ความปรานีไปเสียทีเดียว
ขณะที่กลับไปที่นั่งก่อนหน้านี้ จวินหวงก็เห็นเงาร่างที่คุ้นตาผ่านหน้าโต๊ะเตี้ยของพวกเขาไป ดูเหมือนว่าจะกำลังรีบร้อนซ่อนอะไรบางอย่าง แต่นึกอยู่นานก็นึกไม่ออกว่าเคยพบที่ไหน จนกระทั่งฉีเฉินได้ทักขึ้นนางถึงคิดออก
ฉีเฉินเห็นจวินหวงหยุดเดิน เลยมองตามสายตาของนางไปจึงเห็นสตรีผู้นั้น เขากล่าวยิ้มๆ "น้องเฟิงเ้าคงมิใช่คนไร้หัวใจใช่หรือไม่ เมื่อครู่เ้ายอมเสียหน้าต่อหน้าธารกำนัลเพื่อคุณหนูซ่างกวน มาตอนนี้เกิดพึงใจเด็กสาวข้างกายฮองเฮาเข้าอีก เ้ารู้หรือไม่เด็กสาวผู้นั้นเป็คนสนิทของฮองเฮาเชียวนะ เ้าอย่าได้คิดสิ่งใดเกินเลยเป็อันขาด"
จวินหวงนึกถึงเื่วาสนาที่ได้พบหน้าในวัดขึ้นมาโดยฉับพลัน นางเกาศีรษะแก้เก้อ แล้วกล่าวว่า "ผู้น้อยทำเื่ขายหน้าให้หวางเหย่หัวเราะอีกแล้ว เมื่อครู่ผู้น้อยเพียงรู้สึกคุ้นหน้าแม่นางผู้นั้นอย่างมาก ดังนั้นจึงใช้สองตามองนางนานไปหน่อยเท่านั้นเอง"
"งั้นน้องเฟิงต้องจำคนผิดแล้วแน่ๆ เด็กสาวผู้นั้นอยู่แต่ในวังมาหลายปี เ้าจะเคยพบนางได้อย่างไร"
จวินหวงพยักหน้ารับว่าใช่ ทั้งสองค่อยๆ เดินไป จวินหวงโยนเื่ราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทิ้งออกไปจากสมอง แล้วเริ่มชมการแสดงของคุณหนูจากสกุลขุนนางต่อ
..................................................................................................................
[1] จีบดอกกล้วยไม้ คือการจีบมือโดยใช้ปลายนิ้วโป้งและนิ้วกลางแตะกัน นิ้วอื่นๆ กรายออก ดูคล้ายดอกกล้วยไม้