จ้านอู๋มิ่งไม่เพียงวางเดิมพันว่าตนชนะเท่านั้น ในขณะเดียวส่งข่าวต่อผ่านหอสมบัติจิติญญา เขาจะรอคอยอยู่บนเกาะหนึ่งวัน ไม่ว่าจะเป็ราชันกระบี่ ราชันวายุหรือราชันโอสถ ขอเพียงสามารถเร่งรุดเดินทางถึงเกาะภายในหนึ่งวัน ก็สามารถต่อสู้กำหนดความเป็ตายได้ ถ้าหากสามราชันมาถึงพร้อมกัน นั่นก็จะยิ่งประเสริฐ เขามิต้องเสียเวลาไปตามหาพวกเขาทีละคนแล้ว
หลายคนเห็นจ้านอู๋มิ่งพักอยู่ในโรงเตี๊ยมชั่วคราวบนเกาะอย่างเปิดเผยสง่างาม ท่าทางมิได้เกรงกลัวเพราะมีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่ง และแล้ว น่านน้ำมหาสมุทรแถบนี้ก็เดือดพล่านขึ้นมาแล้ว แข่งขันกันส่งข่าวศึกการต่อสู้ชี้ชะตาครั้งนี้ออกไป
ศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานทั้งหมดล้วนรีบเร่งเดินทาง มุ่งหน้าสู่เกาะน้อยนิรนามแห่งนี้ ในที่สุดพวกเขาก็ได้ยินข่าวของจ้านอู๋มิ่งแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การต่อสู้ครั้งนี้พวกเขาจะต้องสนับสนุนจ้านอู๋มิ่งจนถึงที่สุด ในใจของพวกเขา จ้านอู๋มิ่งได้เข้ามาแทนที่ตำแหน่งราชันสัตว์ร้ายของเฉวียนหรูเซินไปแล้วอย่างเงียบๆ แม้ว่าในสายตาของพวกเขา จ้านอู๋มิ่งยังเป็ศิษย์น้องเล็ก แต่ก็เป็ศิษย์น้องเล็กที่สร้างชื่อเสียงเชิดหน้าชูตาให้สำนักบริบาลเดรัจฉาน ดังนั้น ศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานล้วนพากันละทิ้งการรอคอยอยู่นอกสถานพำนักของคุนเผิงพร้อมกัน
ที่ตามหลังศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานมาติดๆ มุ่งหน้าสู่เกาะนิรนามแห่งนี้ ยังมีศิษย์ของแต่ละสำนักนิกายใหญ่ คนที่วางเดิมพันจำนวนมากมายเกินไปไม่เพียงแค่ห่วงผลแพ้ชนะของตนเท่านั้น ยัง้ามาร่วมสนุกด้วยเช่นกัน มารอชมความเอิกเกริกของการต่อสู้ระหว่างบุคคลผู้เลิศล้ำผู้นี้กับสิบราชัน
สิบราชันเป็บุคคลตัวอย่างในดวงใจของใครหลายๆ คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาศิษย์ของแต่ละสำนักนิกาย แทบจะเคารพพวกเขาเหมือนดั่งเทพเ้า แต่เื่ของจ้านอู๋มิ่งกลับได้รับความนับถือจากนักบ่มเพาะอิสระเ่าั้ นี่แหละจึงเป็ผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงเลยเชียว แข็งกร้าวเช่นนี้ หยิ่งผยองเช่นนี้ กล้าหาญเช่นนี้…คนผู้หนึ่งที่ไม่มีภูมิหลังใดๆ ชายหนุ่มที่ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาก่อน ใน่เวลาครึ่งปีที่ผ่านมาก่อเกิดคลื่นลมขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน ยามนี้ทะยานครั้งเดียว กลายเป็คนมีชื่อเสียงเทียบเคียงสิบราชัน ยังประมาทเลินเล่อ รับการท้าทายของสิบราชันบนเกาะนิรนามแห่งนี้
นี่คือการรับคำท้าของสิบราชัน และมิใช่เพียงแค่ท้าทาย ทำลายความรู้และความเข้าใจของผู้คนมากมายเพียงใดกัน
ในน่านน้ำมหาสมุทรแห่งนี้ จ้านอู๋มิ่งไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน ขอเพียงเป็แหวนจักรวาลที่ถูกเขาหมายตา มิมีผู้ใดสามารถรอดพ้น เล่าขานกันว่า ตัวประหลาดเฒ่าหลายคนของราชวงศ์ในเมืองวันสิ้นโลกก็พังลงในเงื้อมมือของไอ้หนูคนนี้เช่นกัน คนผู้นี้ก็คือราชันอสูรป่วนโลกดีๆ ผู้หนึ่งนี่เอง พบคนก็ปล้นชิงทันที
ที่เลวร้ายที่สุดคือสำนักกระบี่ิญญาและตระกูลหนานกง ล้วนาเ็เสียชีวิตหลายร้อยคนภายใต้เงื้อมมือจ้านอู๋มิ่ง การสูญเสียหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าการต่อสู้อย่างดุเดือดกับสำนักบริบาลเดรัจฉานหลายครั้งก่อนหน้านี้ บางคนบอกว่านี่ก็คือการแก้แค้นที่จ้านอู๋มิ่งกระทำต่อสำนักกระบี่ิญญาและตระกูลหนานกง ส่วนจริงๆ แล้วมันจะใช่สาเหตุนี้หรือไม่ ล้วนมิสำคัญแล้ว ที่สำคัญก็คือจ้านอู๋มิ่งกับสองสำนักเกลียดชังกันขึ้นมาแล้ว พบหน้าก็ต่อสู้กันทันที
ก่อนหน้าที่ราชันวายุ หนานกงเฉิงและราชันกระบี่ เฝิงอู๋เซวี่ยจะเร่งรุดมาถึงบนเกาะ มีศิษย์สำนักกระบี่ิญญาและตระกูลหนานกงขึ้นมาบนเกาะหลายคณะแล้ว ประจวบกับถูกจ้านอู๋มิ่งทราบเข้าโดยบังเอิญ จึงเกิดการโจมตีที่รวดเร็วปานสายฟ้าฟาดขึ้นระลอกหนึ่ง ทั้งหมดถูกทำร้ายาเ็ ทั้งยังโยนทิ้งลงมหาสมุทรไป จ้านอู๋มิ่งพอมิระวังก็แย่งชิงแหวนจักรวาลมาได้อีกจำนวนมิน้อย
ที่เด็ดขาดยิ่งกว่าคือ จ้านอู๋มิ่งนับสิ่งของในแหวนจักรวาลต่อหน้าสาธารณชน ทุ่มทั้งหมดวางเป็เดิมพันในการพนันของหอสมบัติจิติญญา ยังคงวางเงินว่าตนเองเป็ผู้ชนะ ทั้งหยิ่งผยองและไร้ยางอาย
ไม่ว่าแพ้หรือชนะ ศิษย์สำนักกระบี่ิญญาและตระกูลหนานกงก็เอากลับไปไม่ได้แล้ว หอสมบัติจิติญญามิอาจไม่รับการวางเดิมพันนี้ไว้
การกระทำของจ้านอู๋มิ่งสะดุดตาผู้คนยิ่ง ต่างรู้สึกครั่นคร้ามและขุ่นเคือง แต่ก็ยังมีนักบ่มเพาะอิสระจำนวนมากที่เคารพนับถือจ้านอู๋มิ่งราวกับเทพ์ ท่วงท่าไร้เทียมทานของจ้านอู๋มิ่งแทบไร้ผู้ทัดเทียม ยืนนิ่งบนถนนสายใหญ่ คำรามเสียงดังกึกก้อง “ศิษย์สำนักกระบี่ิญญาและตระกูลหนานกงทุกคนจงออกมา…”
ขณะที่คนของสำนักกระบี่ิญญาและตระกูลหนานกงหลายสิบคน ยืนอยู่เบื้องหน้าจ้านอู๋มิ่งด้วยสีหน้าดูแคลน จ้องตากันด้วยความโกรธเคือง จ้านอู๋มิ่งะโเสียงดังขึ้นอีกครั้ง “เข้าแถวให้เรียบร้อยทีละคน แล้วนำแหวนจักรวาลมาส่งมอบให้ข้า ห้ามซุกซ่อนไว้แม้แต่วงเดียว…”
หญิงสาวนับไม่ถ้วนกรีดร้องเสียงแหลมขึ้น นี่คือแบบอย่างบุรุษที่ใฝ่ฝันเลยเชียว
การต่อสู้ครั้งนี้ สุดท้ายทำให้ทุกคนได้ประจักษ์แก่สายตาตนเองว่าอันใดที่เรียกว่าสัตว์อสูรในร่างมนุษย์ มิถูกต้อง สมควรเป็อาวุธจิติญญาในร่างมนุษย์ กายเนื้อของจ้านอู๋มิ่งแข็งแกร่งราวกับอาวุธจิติญญาก็มิปาน ที่เรียกกันว่ายอดฝีมือของสำนักนิกายไม่สามารถแม้แต่จะเจาะทำลายเกราะการป้องกันของเขา ทำได้แค่สับเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ขาดรุ่งริ่งเป็ชิ้นๆ สุดท้ายภายใต้นั้นก็เปิดเผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งคล้ายทองแดงทั้งตัว ยังมีกางเกงชั้นในตัวเล็กๆ สภาพสมบูรณ์อีกตัวหนึ่งที่เขาดูแลรักษาเอาไว้อย่างดี
ถึงแม้จะเป็เช่นนี้ จ้านอู๋มิ่งก็จัดการถอดแหวนจักรวาลบนนิ้วมือศิษย์สำนักกระบี่ิญญาและตระกูลหนานกงออกมา ร้อยด้วยแถบผ้าชิ้นหนึ่งแล้วแขวนไว้รอบคอ การเคลื่อนไหวหล่อเหลายิ่งนัก
จ้านอู๋มิ่งมิได้ฆ่าคน แต่กลับไล่เตะคนกลุ่มนั้นตกลงไปในมหาสมุทรจนหมดสิ้น นอกจากไม่กี่คนที่ดวงซวยสำลักน้ำเสียชีวิตแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือทั้งหมดปีนป่ายกลับขึ้นฝั่ง รั้งรอมิกล้าขึ้นไปบนเกาะอีกแล้ว
ศิษย์สำนักกระบี่ิญญาและตระกูลหนานกงที่มาภายหลังล้วนไม่ได้ขึ้นเกาะไป ก่อนที่ราชันกระบี่และราชันวายุจะขึ้นไปบนเกาะ พวกเขาไม่มีขวัญและกำลังใจเหยียบขึ้นเกาะอีกแล้ว
หลังจากที่รับศิษย์ร่วมสำนักที่โชคร้ายกลุ่มก่อนหน้านี้ขึ้นบนเรือเหาะแล้ว คนของสำนักกระบี่ิญญาและตระกูลหนานกงแล่นเรือวนเวียนอยู่ในมหาสมุทรบริเวณรอบเกาะตลอดเวลา รอคอยการเร่งรุดมาของสองราชัน ก่อนหน้าที่พวกเขาจะมาถึง ไม่มีผู้ใดกล้าเผชิญหน้ากับจ้านอู๋มิ่งอีก แม้แต่คนที่ถูกปล้นชิงแหวนจักรวาลไปก่อนหน้านี้ คนผู้นี้ดุร้ายมากเกินไปแล้ว คนเดียวต่อสู้กับศิษย์สำนักกระบี่ิญญาและตระกูลหนานกงหลายสิบคน ทุบตีจนล้มระเนระนาดหมดสิ้นโดยที่ตาก็ไม่กะพริบ
สำหรับกลุ่มอำนาจอย่างสำนักกระบี่ิญญาและตระกูลหนานกงแล้ว กล่าวได้ว่าเป็ความอัปยศและน่าอับอายครั้งใหญ่ เป็การตบหน้าอย่างเปิดเผย แต่สำนักและตระกูลทั้งสองนี้ก็เคอะเขินเกินกว่าจะพูดสิ่งใด ตัวประหลาดเฒ่าก็รู้สึกกระดากใจที่จะออกหน้า พวกเขาเองเป็ฝ่ายก่อปัญหาขึ้นก่อน คนของสำนักนิกายตนเองที่พูดจาโหดร้าย ก่อนหน้านี้ยังร่วมมือกันรังแกสำนักบริบาลเดรัจฉานของผู้อื่นด้วยกันก่อน ยามนี้บรรพบุรุษน้อยของสำนักบริบาลเดรัจฉานออกโรงแล้ว คนเดียวท้าสู้กับพวกเ้าสองสำนัก พ่ายแพ้แล้ว ยังมีหน้าไปพูดจาเื่เหตุผลกับเขาอีกหรือ?
หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ คนจำนวนมากต่างพาสงสัยกันว่าราชันทั้งสองจะเป็คู่ต่อสู้ของจ้านอู๋มิ่งได้หรือไม่แล้ว ไอ้หนูคนนี้ฝีมือร้ายกาจเกินไป คนเดียวต่อสู้กับราชันาขั้นต้นหลายสิบคน ร้ายกาจราวกับสัตว์ป่าดุร้ายสมัยากลับชาติมาเกิด
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังผ่านไปหนึ่งคืน ผู้คนทยอยเข้ามาชุมนุมกันมากขึ้น บนเกาะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจนหนาแน่นเนิ่นนานแล้ว นอกเหนือจากสนามต่อสู้ที่เหลือไว้ต่อสู้ระหว่างจ้านอู๋มิ่งและราชันทั้งสองแล้ว สถานที่อื่นๆ เป็ที่ชุมนุมของคนจากแต่ละสำนักนิกาย เนื่องจากเวลาเพียงวันเดียวไม่เพียงพอที่จะกระจายข่าวให้กว้างไกล ดังนั้นยังมีคนอีกจำนวนมากที่ไม่สามารถรุดมาได้ทัน
เพราะก่อนหน้านี้มีกรณีข้อพิพาทกับสำนักกระบี่ิญญาและตระกูลหนานกง ศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานทั้งหมดจึงรวมตัวอยู่ด้วยกัน พอได้ฟังข่าวก็รีบเร่งเดินทางสู่เกาะทันที ยามมาถึงเกาะก็เป็เวลาเที่ยงแล้ว พวกเขาเห็นจ้านอู๋มิ่ง ทั้งหมดล้วนปีติยินดีปานคลุ้มคลั่ง เ้าหมอนี่สร้างชื่อเสียงเลื่องลือให้สำนักบริบาลเดรัจฉานอย่างยิ่ง เวลานี้ คนที่ทระนงที่สุดก็คือคนของสำนักบริบาลเดรัจฉานแล้ว คนของสำนักกระบี่ิญญาและตระกูลหนานกงไม่กล้าขึ้นมาบนเกาะแม้แต่คนเดียว
คนที่เร่งรุดมาถึงก่อนสุดคือราชันวายุ หนานกงเฉิง เมื่อเขาได้ยินข่าวของจ้านอู๋มิ่งแล้ว ก็รีบเร่งเดินทางมาทันทีอย่างตื่นเต้น สำหรับจ้านอู๋มิ่ง เขาตั้งใจจะปลิดชีวิตเนิ่นนานแล้ว
เมื่อราชันวายุ หนานกงเฉิงปรากฏตัว คนของตระกูลหนานกงก็เริ่มหยิ่งยโสแล้ว ห้อมล้อมหนานกงเฉิงดุจดาวจับเดือนก็ปาน มุ่งหน้าไปทางใจกลางเกาะด้วยท่าทีหยิ่งผยองและถูไม้ถูมือมิหยุดตลอดทาง ลืมไปแล้วว่าในตอนเช้า จ้านอู๋มิ่งเตะพวกเขาตกลงไปในมหาสมุทรอย่างไร
จ้านอู๋มิ่งนั่งอยู่บนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง กำลังหลับตาพักผ่อน ศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉานเข้าแถวหน้ากระดาน นั่งอยู่ทางด้านหลังจ้านอู๋มิ่งและหลับตาพักผ่อนร่วมกับเขา ช่วยเพิ่มพูนสภาวะพลังให้กับจ้านอู๋มิ่งอยู่บ้างหลายส่วน
“จ้านอู๋มิ่ง วันนี้คือวันตายของเ้า!” เป็เสียงหนานกงชิง
จ้านอู๋มิ่งคุ้นเคยกับเสียงนี้มาก นั่นคืออัจฉริยะคนนั้นของตระกูลหนานกงที่หยิ่งผยองมากในเมืองวันสิ้นโลก ทั้งยังเป็พี่ชายแท้ๆ ของหนานกงฉู่ เป็ศิษย์ทายาทสายตรงของตระกูลหนานกง ก่อนหน้านี้ จ้านอู๋มิ่งไม่เคยพบกับทายาทสายตรงของตระกูลหนานกงแม้แต่คนเดียว กล่าวกันว่าศิษย์และทายาทสายตรงของตระกูลหนานกงล้วนติดตามอยู่ข้างกายราชันวายุ หนานกงเฉิง ประการแรกหนานกงเฉิงสามารถปกป้องคุ้มครองได้ง่าย ประการที่สองคือสามารถรวมกลุ่มคนมีฝีมือสูงส่งของตระกูลหนานกงไว้ด้วยกัน เพื่อจะได้รับผลประโยชน์มากขึ้นในสถานพำนักของคุนเผิง
จ้านอู๋มิ่งประทับใจในอานุภาพของมหาวาตะฟ้าของตระกูลหนานกงอย่างลึกซึ้ง ทักษะการต่อสู้ชนิดนี้มีเพียงศิษย์ที่เป็ทายาทสายตรงของตระกูลหนานกงเท่านั้นที่สามารถฝึกฝนได้ การที่ไม่ได้ปล้นศิษย์และทายาทสายตรงสักหลายคนในน่านน้ำมหาสมุทรสถานพำนักของคุนเผิงนับเป็เื่ที่น่าเสียใจของจ้านอู๋มิ่งตลอดมา
“หนานกงชิง เป็เ้าที่ท้าสู้อู๋มิ่ง ศิษย์น้องเล็กของพวกเรา หรือว่าเป็ตระกูลหนานกงพวกเ้าที่ท้าสู้อู๋มิ่ง ศิษย์น้องเล็กของข้าคนเดียว?” ตู้เยว่ิตอบแทนจ้านอู๋มิ่ง
คำพูดของตู้เยว่ิทำให้ตระกูลหนานกงได้รับการต้อนรับด้วยเสียงโห่คราหนึ่ง คำพูดนี้โหดร้ายเพียงพอที่ตบหน้าตระกูลหนานกงโดยตรง
มีคนลอบยกนิ้วโป้งให้ตู้เยว่ิ สำนักบริบาลเดรัจฉานไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวแต่อย่างใด ยามปกติมีมิตรสหายเพื่อนฝูงมากมาย กล่าวถึงที่สุดแล้ว ยามที่เหล่าบรรดาตระกูลและสำนักนิกาย้าซื้อสัตว์อสูรจิติญญา สำนักบริบาลเดรัจฉานเป็ตัวเลือกสำคัญอันดับต้นๆ
หนานกงชิงโกรธจัด กำลังคิดจะเอ่ยปากพูด แต่กลับถูกหนานกงเฉิงโบกมือห้ามไว้ ภายในสายตาของหนานกงเฉิงเปี่ยมเจตนาฆ่าอันเข้มข้น ไม่ใช่แค่จ้านอู๋มิ่งเท่านั้น บรรดาศิษย์ของสำนักบริบาลสัตว์เดรัจฉานก็รู้สึกได้เช่นกัน
“จ้านอู๋มิ่ง นับว่าเ้าขวัญกล้ากว่าที่ข้าคิดไว้” หนานกงเฉิงยิ้มอย่างขุ่นเคือง
“วาจาผายลมมากมายจริงเชียว เ้ามิใช่ประกาศว่า้าท้าสู้กับข้าหรอกหรือ? เวลานี้พี่ชายให้โอกาสเ้า แน่นอน หากเ้าตัวคนเดียวแล้วรู้สึกเกรงกลัวละก็ เ้ายังสามารถรอให้ราชันกระบี่ เฝิงอู๋เซวี่ยมาถึงก่อนแล้วพวกเ้าสองคนค่อยบุกเข้ามาพร้อมกันก็ได้ สำหรับข้าแล้วไม่เป็ไร คนหนึ่งฆ่า สองคนก็ฆ่าเช่นเดียวกัน หลังจากที่จัดการเรียบร้อยในครั้งเดียวแล้วก็สามารถกลับไปอาบน้ำได้เร็วหน่อย…” จ้านอู๋มิ่งลืมตาขึ้น ตอบอย่างทระนงตน
พลันปรากฏเสียงโห่ขึ้นมารอบด้าน ไม่ทราบเช่นกันว่าโห่ร้องใส่การคุยโม้โอ้อวดของจ้านอู๋มิ่งหรือโห่ราชันวายุ หนานกงเฉิงกันแน่ อย่างไรก็ทำให้คนฟังรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง
ศิษย์ของสำนักบริบาลเดรัจฉานลอบชูนิ้วโป้งให้จ้านอู๋มิ่ง คำพูดนี้พูดได้ดี ระบายความโกรธเกลียดได้อย่างมาก ศิษย์น้องไม่ใช่ตะเกียงที่ขาดน้ำมันจริงๆ เกิดมาก็เพื่อเชิดหน้าชูตาให้สำนักบริบาลเดรัจฉาน เ้าฟังคำพูดของเขาสิ พูดได้สง่างามขนาดไหน อหังการอย่างยิ่ง หยิ่งผยองเพียงใด ให้ราชันวายุและราชันกระบี่บุกเข้ามาพร้อมกัน หลังจากการต่อสู้แล้วยังเตรียมจะไปอาบน้ำอีกด้วย
คนของตระกูลหนานกงถูกยั่วโทสะจนแทบจะอาเจียนเป็เื คนผู้นี้ไฉนจึงพูดจาได้หน้าด้านหน้าทนขนาดนั้น สายตาและท่าทางเช่นนั้น น้ำเสียงเช่นนั้น ทำให้ศิษย์ตระกูลหนานกงล้วนรู้สึกว่าตนเองเหมือนเช่นผายลมก็ปาน จ้านอู๋มิ่งไม่เคยมองมาทางพวกเขาตรงๆ ด้วยซ้ำไป
หนานกงเฉิงโมโหสุดขีดจนหัวเราะออกมา คนที่ไม่ทราบฟ้าสูงแผ่นดินต่ำมักมีอยู่เสมอ นี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้เห็นคนหน้าด้านไร้ยางอายเพียงนี้อย่างจ้านอู๋มิ่ง เขาแค้นที่ไม่สามารถฉีกกระชากจ้านอู๋มิ่งให้เป็ชิ้นๆ ในทันที
“ข้าหนานกงเฉิงรังเกียจการร่วมมือกับผู้อื่น ยังมิต้องพูดถึงมดปลวกอย่างเ้า” หนานกงเฉิงย่างเท้าก้าวขึ้นสู่ก้อนหินใหญ่ หยุดยืนห่างกับจ้านอู๋มิ่งห้าวา
จ้านอู๋มิ่งโบกมือให้ศิษย์ของสำนักบริบาลเดรัจฉาน คนทั้งหมดล้วนถอยออกจากก้อนหินใหญ่ แล้วจึงก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ยิ้มอย่างเฉยชาพูดว่า “เ้าเอาแหวนจักรวาลของเ้ามอบให้ผู้อื่นเก็บไว้ก่อนเถอะ ข้าจะไปรับมันทีหลัง หากมิทันระวังทำมันแตกขึ้นมา นับเป็การสูญเสียของข้าไม่น้อยเลยนะ”
คำพูดของจ้านอู๋มิ่งทำให้ยอดฝีมือจากเส้นทางต่างๆ ฟังจนโง่งมไปแล้ว ใต้หล้านี้ไม่มีคนที่หยิ่งผยองที่สุด มีเพียงคนที่หยิ่งผยองยิ่งกว่าเท่านั้น!
คำพูดของจ้านอู๋มิ่งเปี่ยมด้วยความดูแคลน แต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความตื่นตัวระมัดระวัง สามารถเป็ถึงสิบราชัน ไม่มีสักคนที่ชื่อเสียงจอมปลอม ไม่ว่าจะเป็เฉวียนหรูเซินหรือว่าเหยียนชิงชิง สาเหตุที่ตนสามารถประสบชัยชนะ ล้วนแล้วแต่มีโชคดีอยู่ในนั้น ต่อสู้กับเฉวียนหรูเซิน ถ้าไม่หยิบยืมประโยชน์จากเขตแดนน้ำ แม้แต่วิฬาร์นรกานต์ตัวนั้นตนเองก็ไม่มีปัญญารับมือแล้ว หากเฉวียนหรูเซินมิใช่เชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป ให้เวลาตนพูดพล่ามมากมายขนาดนั้น แต่พอลงมือก็ให้พยัคฆ์ดำนรกานต์และวิฬาร์นรกานต์โจมตีพร้อมกัน ทั้งคนทั้งสัตว์อสูรสามพลังผสมผสานรวมเป็หนึ่ง แม้ว่าตนจะเรียกสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวออกมาช่วยต่อสู้ ก็ไม่มีโอกาสที่จะชนะแม้แต่น้อยนิด ที่โชคดีก็คือเฉวียนหรูเซินประเมินเขาต่ำไป
สำหรับเหยียนชิงชิง เมื่อจ้านอู๋มิ่งนึกขึ้นมาในตอนนี้ก็ยังคงมีความรู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้างเล็กน้อย ถ้าไม่ใช่เพราะกายเนื้อตนเองแข็งแกร่งอย่างยิ่ง บวกกับพลังปราณเที่ยงแท้อนัตตาที่ประสิทธิภาพเลิศล้ำ พิษมีชีวิตถูกสะกดข่มยับยั้งลงได้ เกรงว่าตนเองคงกลายเป็อุจจาระของราชันหนอนกู่ตัวหนึ่งไปแล้ว
สำหรับหนานกงเฉิง ในใจจ้านอู๋มิ่งระมัดระวังมากเป็พิเศษ