กระทั่งตอนนี้ สิ่งที่อันเจิงไม่เข้าใจที่สุดก็คือสร้อยลูกประคำโลหิตของเขานั่นเองสร้อยลูกประคำโลหิตนี้เป็สมบัติวิเศษระดับสีม่วงที่ให้ความรู้สึกอึมครึมและน่าหนักใจเป็อย่างมากตอนที่เขาเพิ่งได้มันมา ความสามารถในลูกประคำนี้ก็ถูกกระตุ้นขึ้นสามเม็ดแล้วโดยเม็ดหนึ่งจะมีสวนสมุนไพรอยู่ เมื่อใดที่อันเจิงได้รับาเ็หรือกำลังจะเลื่อนพลังสวนสมุนไพรก็จะปกป้องและช่วยรักษาเขา เม็ดที่สองใช้ดูดซับไอปราณที่เกินอัตรา
และเม็ดที่สามที่ดูจะไม่ได้มีประโยชน์มากนักเพราะมันเป็เหมือนมิติที่ใช้ในการเก็บของเท่านั้น
จนถึงตอนนี้ ลูกประคำเม็ดที่สี่ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้วเช่นกันทว่าหากไม่เห็นตัวอักษรขนาดเล็กบนนั้นละก็ อันเจิงคงไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเพราะเขาไม่อาจรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงและประโยชน์ของมันได้เลยจริง ๆ
“น่าแปลกจริง ๆ”
ดูเหมือนผู้เฒ่าฮั่วก็ไม่เข้าใจเช่นกัน “อักษรพวกนี้เกิดขึ้นเพราะเกล็ดมัจฉาลอยเข้าไปในนั้นรึ?แต่หากลูกประคำถูกกระตุ้นขึ้นจริง เ้าก็น่าจะรับรู้ได้บ้างสิ”
อันเจิงกล่าวขึ้น “ข้าไม่รับรู้ถึงสิ่งใดเลย”
ผู้เฒ่าฮั่วหัวเราะขึ้นเล็กน้อย “เช่นนั้นเ้าก็ไปอธิบายกับคนของเผ่ากู่เลี่ยเองเถอะเอาสมบัติล้ำค่าของคนอื่นมาเช่นนี้ ดูซิว่าพวกเขาจะฟังเ้าอธิบายหรือไม่”
อันเจิงลุกขึ้นยืน “ต่อให้ไม่ฟังข้าก็ต้องไปอธิบายอยู่ดีข้าไม่ได้สนใจเกล็ดมัจฉานั่นเลยจริง ๆ”
เขาถามผู้เฒ่าฮั่ว “เป่ยหมินมีปลาวิเศษหมายความว่าอะไรหรือ?”
ผู้เฒ่าฮั่วส่ายหน้า “ข้าลองคิดอย่างละเอียดแล้วในหัวของข้า ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับคำคำนี้เลยจริง ๆ”
อันเจิงคงต้องไปอธิบายกับกู่เชียนเยว่ก่อนแล้ว แม้เขาจะรู้ดีว่าการอธิบายครั้งนี้ต้องยุ่งยากมากเป็แน่
“ผ้าสีฟ้านั่น”
ผู้เฒ่าฮั่วะโตามหลังอันเจิง “เลี่ยงใช้มันบ้างก็ดีนะ”
อันเจิงชะงักฝีเท้าลง “มันคืออะไรหรือ?”
ผู้เฒ่าฮั่วตอบ “ข้าหาตำราที่เกี่ยวกับมันมาโดยตลอดและข้าก็หาเจอก่อนที่เ้าจะออกไป...ผ้านี่เป็พลังปีศาจแต่...ไม่รู้เหมือนกันว่ามันอยู่ระดับไหน เพราะมันใช้ได้กับคนตายเท่านั้น ทำไมเสี่ยวช่านถึงเลือกสิ่งนี้มา?หรือเพราะเสี่ยวช่านเองก็...”
ผู้เฒ่าฮั่วชะงักลงไปเล็กน้อย ราวกับกำลังลังเลเื่บางอย่างอยู่
อันเจิงพยักหน้า “ข้ารู้ดีว่าเสี่ยวช่านเป็เยาโซ่วประเภทหนึ่ง”
ผู้เฒ่าฮั่วขานรับก่อนจะกล่าวต่อไป “กงล้อเก้าภพของเสี่ยวช่านเป็ของที่ใช้ตามหาสมบัติวิเศษโดยเฉพาะไม่ว่าก่อนหน้านี้ดวงตากงล้อเก้าภพจะเป็ของใครคนผู้นั้นก็ต้องเคยเข้าออกสุสานหรือขุมสมบัติมาอย่างโชกโชนแล้วแน่ ๆซึ่งโดยปกติแล้ว ที่แบบนั้นมักจะมีคนตายที่ถูกควบคุมด้วยวิชาบางอย่างเฝ้าดูแลอยู่ผ้าสีฟ้านั่นมีชื่อเรียกว่าผ้าฟู่หมัวและมีอีกชื่อคือผ้าคลุมผีดิบมันถูกสร้างขึ้นเพื่อรับมือกับคนตายที่เฝ้าดูแลสถานที่เช่นนั้นโดยเฉพาะ ที่เสี่ยวช่านชอบผ้านี่ขนาดนี้ไม่แน่ว่า เ้านายคนก่อนของดวงตากงล้อเก้าภพอาจเคยต่อสู้ร่วมกับผ้าฟู่หมัวก็ได้”
อันเจิงพยักหน้าเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ว่ากันว่าดวงตากงล้อเก้าภพจะไม่มีวันสลายหรือดับสูญ เสี่ยวช่านอาจมีดวงตากงล้อเก้าภพติดตัวมาั้แ่เกิดหรืออาจไม่ใช่ก็ได้แต่ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ ดวงตากงล้อเก้าภพก็ต้องมีความทรงจำของชาติภพก่อนติดมาอยู่ด้วยแน่นอน
ตอนเดินผ่านห้องเรียน อันเจิงพบว่าชวีหลิวซีกำลังป้อนขนมที่ทำมาจากสมุนไพรให้เสี่ยวช่านอยู่เสี่ยวช่านมีร่างกายที่อ่อนแอเกินไป ต้องบำรุงร่างกายให้แข็งแรงขึ้นก่อนดวงตากงล้อเก้าภพจึงจะเปิดได้มากขึ้นและมีเพียงให้ดวงตากงล้อเก้าภพเปิดเท่านั้น ร่างกายของเสี่ยวช่านจึงจะแข็งแรงขึ้นได้นี่ถือเป็ปมที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้เลย ดังนั้น หากอยากให้เสี่ยวช่านปกป้องตัวเองได้ก็จำเป็ต้องใช้ยาสมุนไพรจำนวนมาก หรือไม่ก็ใช้ผลึกหมัวโซ่วเข้ามาช่วยบำรุงเท่านั้น
เมื่อเห็นอันเจิง ชวีหลิวซีก็หน้าแดงขึ้นมาทันทีนางหันหน้าหนีไปไม่ยอมมองอันเจิงอีกเลย
อันเจิงเดินไปหยุดอยู่ข้างสนามซ้อมจากนั้นก็นั่งลงที่ฝั่งตรงกันข้ามกับกู่เชียนเยว่ ทันทีที่เห็นอันเจิงชายร่างกำยำแห่งเผ่ากู่เลี่ยก็เอาแต่ยิ้มท่าเดียวไม่รู้เหมือนกันว่ากู่เชียนเยว่ไปพูดอะไรกับพวกเขาไว้บ้าง และเมื่ออันเจิงนั่นลงชายร่างใหญ่ทั้งหลายก็พากันเดินออกไปที่อื่นทันที
“ตัดสินใจได้แล้วรึ?” กู่เชียนเยว่ถาม
อันเจิงถามกลับ “ตัดสินใจอะไร?”
“ตัดสินใจได้หรือยัง ว่าจะกลับไปกับข้าหรือไม่”
อันเจิงพยักหน้า “ตัดสินใจได้แล้ว ข้าจะไม่มีทางกลับไปกับเ้าแน่นอนแม้ว่า...แม้ข้าจะทำเกล็ดมัจฉาของเ้าหายไปก็เถอะ บางทีมันอาจไปซ่อนอยู่ที่แห่งใดแห่งหนึ่งก็ได้แต่ข้าหามันไม่เจอจริง ๆ ข้าจะชดใช้เ้าด้วยสิ่งอื่นจนกว่าเ้าจะพอใจ”
กู่เชียนเยว่ยื่นปากออกมาเล็กน้อย “เ้าไงชดใช้ด้วยตัวเ้า หากเป็เช่นนั้น ข้าจะไม่เอาความเื่เกล็ดมัจฉา”
อันเจิงส่ายหน้า “มาพูดเื่ที่เป็จริงเป็จังกันเลยดีกว่าข้าชำนาญเื่การตรวจสอบมูลค่าและค้นหาสมบัติวิเศษ หากเ้ายินดี ั้แ่นี้ไปข้าจะค้นหาสมบัติวิเศษให้พวกเ้าเองหากข้าเจอของที่เป็ประโยชน์กับพวกเ้า ข้าจะส่งไปให้ทันที”
ทว่ากู่เชียนเยว่กลับไม่สนใจในสิ่งที่อันเจิงพูดเลยสักนิด นางเพียงใช้มือเท้าคางแล้วจ้องไปที่อันเจิงตาไม่กะพริบ“ข้าไม่สนเื่พวกนั้นหรอกนะ ข้าสนแค่เ้าเท่านั้น”
จู่ ๆ ชวีหลิวซีก็วิ่งเข้ามาดึงมือของอันเจิงแล้วลากให้เขากลับไปด้วยกัน“อย่าไปสนใจนางเลย!”
อันเจิงหัวเราะอย่างขมขื่น “แต่ข้ายังเป็หนี้นางอยู่...”
ตู้โซ่วโซ่วก็วิ่งเข้ามาหาเช่นกัน “แต่ถึงจะเป็หนี้ก็ไม่เห็นต้องใช้คืนด้วยร่างกายเลย”
“หุบปากเถอะ...” อันเจิงปรามเขา
กู่เชียนเยว่ะโตามหลังด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้รีบร้อนอะไรข้าจะรอคำตอบจากเ้าเสมอ ั้แ่วันนี้เป็ต้นไปข้าจะอยู่ที่นี่แหละหากพวกเ้าทำอะไรข้าก็จะทำด้วย พวกเ้าไปที่ไหนข้าก็จะตามไปด้วยเช่นกันน้องชวีหลิวซี...คืนนี้ข้าจะนอนห้องเดียวกับเ้าก็แล้วกัน”
ชวีหลิวซียกมือขึ้นมาปิดหูตัวเอง “ไม่ได้ๆ ๆ”
แม้ทั้งสองจะยังอายุน้อยเหมือนกันแต่เห็นได้ชัดว่าชวีหลิวซีเ้าเล่ห์สู้กู่เชียนเยว่ไม่ได้เลยสักนิด คนหนึ่งขี้อายอีกคนก็ใจกล้าจนคาดเดาไม่ได้เมื่อเป็เช่นนี้ คนที่ขี้อายมักจะเป็ฝ่ายเสียเปรียบอยู่เสมอ
ไม่มีใครคาดคิดเลยว่ากู่เชียนเยว่จะไม่ได้พูดเล่นนางให้กู่หมานและหญิงรับใช้ที่มีอายุไล่เลี่ยกันอยู่ด้วยจากนั้นก็ให้คนที่เหลือกลับเผ่ากู่เลี่ยไปทั้งหมด ก่อนไป ชายร่างกำยำเ่าั้ยังทำความเคารพต่ออันเจิงอย่างนอบน้อมขณะจากไปยังพูดซุบซิบเป็ภาษาของเผ่ากู่เลี่ยอีกซึ่งอันเจิงฟังไม่รู้เื่เลยแม้แต่คำเดียว ตู้โซ่วโซ่วที่นั่งยอง ๆ อยู่ด้านข้างจึงแกล้งแปลแบบมั่วๆ ด้วยท่าทางจริงจัง “นายท่าน พวกเราจะกลับกันแล้ว ดูแลหัวหน้าเผ่าให้ดีด้วยล่ะหากท่านไม่ดีกับนาง พวกเราจะกลับมาเฉือนท่านให้กลายเป็ขันทีไปเลย”
อันเจิงมองเขม่นเขาแวบหนึ่งก่อนตู้โซ่วโซ่วจะพูดด้วยท่าทางกวนๆ “ข้าอาจจะได้รับชะตาลิขิตจากฟ้าเหมือนกันก็ได้ เพราะจู่ ๆข้าก็ฟังพวกเขารู้เื่ขึ้นมาเสียอย่างนั้น”
เมื่อมีกู่เชียนเยว่อยู่ที่นี่ด้วยการฝึกพลังของคนในนิกายเบิก์จึงไม่ได้สะดวกสบายเหมือนก่อน เดิมทีพวกเขาจะเข้าไปฝึกฝนในตราประทับท้าทาย์ทุกคืน แต่พอมีกู่เชียนเยว่เข้ามา อันเจิงจึงไม่กล้าเปิดเผยเื่ความวิเศษของตราประทับท้าทาย์ออกไป
จะว่าไปแล้วเื่นี้ก็แปลกอยู่เหมือนกันเพราะกู่เชียนเยว่ไม่สนใจเลยสักนิดว่าอันเจิงกับคนอื่น ๆ กำลังทำอะไรกันอยู่ในตอนที่อันเจิง ตู้โซ่วโซ่ว ชวีหลิวซี และเสี่ยวชีเต้ากำลังฝึกพลัง นางก็เพียงนั่งอยู่ในจุดที่ห่างออกไปเขย่าขาเรียวสวยอย่างสบายใจเท่านั้น มองพวกเขาฝึกวิชาไปพลางหัวเราะขึ้นเป็ระยะไปด้วย
“การฝึกพลังที่ว่าหากจะอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ แล้ว นั่นก็คือการขยายนั่นเอง”
อันเจิงยืนอยู่กลางสนามซ้อมทางด้านของตู้โซ่วโซ่วกับคนอื่น ๆ ก็ยกเก้าอี้มานั่งเรียงกัน จากนั้นก็ฟังในสิ่งที่อันเจิงพูดอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย
อันเจิงกล่าวต่อไป “ขยายทะเลปราณของตัวเองเพื่อให้รับพลังได้มากยิ่งขึ้น การเลื่อนขั้นพลังทุกครั้งล้วนเป็การขยายทะเลปราณด้วยกันทั้งสิ้นความก้าวหน้าจะขึ้นอยู่กับการกระทำของแต่ละคน การเลื่อนขั้นพลังคือผลของการฝึกพลังและการฝึกพลังก็คือการสะสมพลังนั่นเอง เราต้องสะสมพลังเอาไว้ในทะเลปราณเรื่อย ๆจากนั้นก็กระตุ้นพลังเรื่อย ๆ เช่นกัน ทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา เมื่อประสบความสำเร็จเราก็จะมีพลังอยู่ในขั้นต่างๆ นั่นเอง ในขอบเขตจุติ์ไม่จำเป็ต้องมีทะเลปราณใหญ่ขนาดนั้นก็ได้และพวกเ้าก็ล้วนมีพร์ที่ยอดเยี่ยมด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้น คงเลื่อนขั้นพลังได้ไม่ยากนักหรอก”
“เพียงแต่...อย่ารีบร้อนกันเกินไปเท่านั้น”
“อย่าคิดว่าการเลื่อนขั้นพลังรวดเร็วจะเป็เื่ดีเพราะหากเร็วเกินไป ก็จะมีพื้นฐานที่อ่อนแอ ดังนั้น ในบางครั้งแม้จะรับรู้ได้ว่าตนกำลังจะเลื่อนขั้นพลังแต่ผู้ฝึกพลังวัตรก็จะยับยั้งการเลื่อนขั้นเอาไว้ก่อน เพื่อที่จะสะสมพลังให้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง”
เสี่ยวชีเต้าส่ายหน้าเล็กน้อย “แต่ข้ายับยั้งมันไม่ได้นี่นา”
อันเจิงพูดระคนหัวเราะ “เ้าน่ะปล่อยให้มันเป็ไปตามธรรมชาติเถอะ”
ตู้โซ่วโซ่วพูดขึ้นอย่างไม่สู้พอใจนัก “ทำไมเล่าพร์เราต่างกันขนาดนั้นเลยหรือ?”
อันเจิงขานรับออกไปเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายเื่นี้อย่างไร ก่อนแม่นางเยว่จะกลับไปนางบอกกับอันเจิงว่าที่เสี่ยวชีเต้าไม่ได้ถือกำเนิดในเส้นทางหกวิถี นั่นก็เป็เพราะลิขิต์...
ก่อนหน้านี้อันเจิงก็เคยรู้จักคนในลิขิต์มาเหมือนกัน จนถึงตอนนี้ คนคนนั้นก็ยังเป็เหมือนหนามที่ทิ่มแทงอยู่กลางใจของเขาไม่เปลี่ยน
อันเจิงสั่งให้เสี่ยวชีเต้ากับคนอื่น ๆตั้งใจฝึกพลัง จากนั้นก็มานั่งขัดสมาธิอยู่กลางสนามซ้อมเพื่อปรับลมปราณภายในร่างกายอยู่คนเดียว สำหรับเขาแล้วการฝึกพลังวัตรถือเป็เื่ที่ยากเย็นเหลือเกินดังนั้นเขาจึงเห็นค่าของการฝึกพลังมาก ั้แ่ประตูในร่างกายถูกเปิดออกอันเจิงก็รู้สึกได้ว่าการฝึกพลังของตนราบรื่นขึ้นมาก แต่ไม่รู้เพราะอะไรเขาถึงไม่รู้สึกถึงพลังที่ถูกเติมเต็มเลย หากจะว่ากันด้วยความสมเหตุสมผล หลังร่างกายสามารถฝึกพลังได้เพียงเขาตั้งใจฝึกฝนเพื่อสะสมพลังต่อไปเรื่อย ๆ แค่นี้ก็สามารถเลื่อนขั้นได้แล้ว
แต่ั้แ่มีพลังเพิ่มมากขึ้นถึงสามขั้นหลังประลองกับคนของหอสมุดมายาจนถึงตอนนี้ พลังของเขายังไม่กระเตื้องขึ้นเลยเขารู้สึกว่าตนดูดพลังจากพื้นพิภพและท้องนภาเข้าไปในทะเลปราณแล้วแท้ ๆ แต่กลับยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยสักนิดราวกับว่าตอนนี้ทะเลปราณของเขายังคงว่างเปล่าอยู่เช่นนั้น เขาไม่อาจรับรู้ถึงการสะสมของพลังนั้นได้เลย
ตกดึกอันเจิงบอกให้ทุกคนกลับไปนอนกันก่อน รอให้กู่เชียนเยว่หลับ แล้วค่อยเข้าไปฝึกพลังในตราประทับท้าทาย์ต่อ
เพราะรู้สึกเบื่อ อันเจิงจึงไปนั่งคุยกับผู้เฒ่าฮั่วที่บันไดหน้าประตู
“ข้ามีความรู้สึกเหมือนเ้าไม่ใช่คนที่ได้รับลิขิต์อย่างนั้นแหละ”
ผู้เฒ่าฮั่วเหล่มองอันเจิงแวบหนึ่ง “เ้ามีอดีตที่น่าอัศจรรย์มาก่อนหรือไม่?”
อันเจิงหัวเราะออกมาเล็กน้อย “ให้สินบนข้าสิให้สินบนข้า แล้วข้าจะบอกท่าน”
ขณะกำลังสนทนากันอยู่ จู่ ๆก็มีเสียงโหวกเหวกมาจากหอสมุดมายา ก่อนหอไม้สามชั้นในนั้นจะพังถล่มลงมา
อันเจิงลุกขึ้นยืนมองก่อนจะพบว่าคนหลายคนกำลังพยุงร่างเชียวจ่างเฉินหนีออกมาจากหอสมุดมายา เื้ัพวกเขาคนในชุดคลุมแดงกว่าสิบคนกำลังไล่ตามมาติด ๆ ทหารของกลุ่มอัศวินเพลิงเหล็กที่อารักขาอยู่ข้างกายเชียวจ่างเฉินบัดนี้เหลือเพียงสี่ห้าคนเท่านั้น ภายใต้แสงจันทร์ร่างในชุดสีแดงเพลิงของคนเ่าั้แลดูโดดเด่นเหลือเกิน บนชุดคลุมบริเวณลำตัวด้านหน้าของคนเ่าั้มีรูปพระอาทิตย์ขนาดใหญ่ปักอยู่ด้วย
เพียงชายชุดแดงที่นำอยู่ด้านหน้าสุดโบกมือขึ้น ลำแสงคมเฉียบนับร้อยก็พุ่งลงมาจากท้องนภาประดุจสายฝน
“พลังดาบ!”
ทหารของกลุ่มอัศวินเพลิงเหล็กประมาณสี่ห้าคนล้อมร่างเชียวจ่างเฉินเอาไว้พลางเหวี่ยงดาบยาวออกไปด้วยความเร็วประดุจสายฟ้า พวกเขาป้องกันลำแสงแห่งพลังที่พุ่งเข้ามาโจมตีได้ไม่น้อยแต่เพราะทั้งสองฝ่ายมีพลังที่แตกต่างกันเกินไป สุดท้ายจึงถูกลำแสงเ่าั้ตอกติดอยู่บนพื้นดินจนได้ลำแสงพวกนั้นเป็ดาบที่พุ่งเข้ามานั่นเอง ซึ่งนอกจากจะคมแล้วมันยังบางมากราวกับปีกจักจั่นเลยทีเดียว เพียงไม่นานศพของพวกเขาก็ถูกดาบคมกรีดจนแหลกกระจายแล้ว
“พี่น้องข้า!”
เชียวจ่างเฉินยันหอกลงบนพื้นดินเขามองไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาของตน จากนั้นก็ะโขึ้นด้วยน้ำตาคลอเบ้า
อันเจิงลุกพรวดก่อนจะโบกมือขึ้นไปในอากาศเพียงเท่านั้นกระดิ่งแก้วก็มาอยู่ในมือแล้ว ทว่าในขณะที่เขากำลังจะลงมือนั้นเชียวจ่างเฉินกลับส่ายหน้ามาให้เสียก่อน จากนั้นเขาก็ะเิเสียงหัวเราะขึ้นอย่างกะทันหัน“ลูกผู้ชายแคว้นเยี่ยนขอสู้จนตัวตาย แต่จะไม่มีวันถอยหนีเป็อันขาด อัศวินเพลิงเหล็กฆ่ามัน!”
เขาได้รับาเ็สาหัสมากแล้วแต่ถึงกระนั้น...ก็ยังเลือกที่จะพุ่งเข้าไปหาศัตรูอยู่ดี
และในตอนนั้นเอง จู่ ๆเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัวอันเจิง “อันเจิงหวังว่าเ้าจะลองพิจารณาในสิ่งที่ข้ากำลังจะพูด หากในอนาคตเ้ายินดีละก็เชิญเข้าร่วมทัพทหารต้าเยี่ยนกับพวกข้าเถิด แต่ในวันนี้เ้าจะลงมือไม่ได้เด็ดขาดคนพวกนี้เป็คนของแคว้นโยว เ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา หากลงมือตอนนี้ก็รังแต่จะนำหายนะมาสู่ตัวเองเปล่าๆ ต่อไปเ้าต้องระวังตัวให้มาก เจินจวงปี้เป็คนนำคนพวกนี้มาที่นี่...ั้แ่บัดนี้เป็ต้นไปหอสมุดมายาอาจระรานเ้าชนิดที่ไม่ตายก็ไม่เลิกรา ข้าไม่อยู่แล้วเ้าต้องระวังตัวให้มาก”
เมื่อได้ยินดังนั้นอันเจิงก็ชะงักไปชั่วครู่แต่เพียงชั่วครู่เท่านั้น เชียวจ่างเฉินก็ถูกสังหารเสียแล้ว
หอกที่เปล่งประกายไปด้วยแสงคมเฉียบถูกพุ่งออกไปพร้อมกับพลังอำนาจมหาศาลมันแทงเข้าไปในร่างของชายชุดแดงที่นำอยู่ด้านหน้าสุดจนอีกฝ่ายถึงแก่ความตายทันที
“ข้าเชียวจ่างเฉินแห่งกลุ่มอัศวินเพลิงเหล็กเคยสังหารศัตรูในสนามรบมานับไม่ถ้วน เมื่อตกลงว่าจะอยู่ในหอสมุดมายาแล้วข้าก็ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ข้าเคยนอนกับผู้หญิงมามากจนนับไม่ถ้วนในวาระสุดท้ายของชีวิตยังได้สังหารพวกโจรชั้นต่ำลงอีก ถือว่าคุ้มแล้ว!”
เขาใช้หอกยกศพของศัตรูขึ้นสูงจากนั้นก็โยนมันลงบนพื้นดินแรง ๆ เหล่าคนชุดแดงพุ่งเข้ามาโจมตีกันอย่างพร้อมเพรียงลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงเข้ามา ก่อนจะทะลุร่างของเชียวจ่างเฉินไปราวกับลูกธนู เป็เหตุให้เืมากมายสาดกระจายขึ้นที่เื้ัเขา
เชียวจ่างเฉินแหงนหน้าขึ้นสูง “ฆ่า!”
เขาขว้างหอกยาวออกไปอย่างแรงและหอกนั้นก็แทงทะลุร่างของคนชุดแดงไปถึงสองคน ทำให้ร่างของพวกเขาแหลกเละจนแทบจะดูไม่ได้เลยทีเดียว
ร่างของเชียวจ่างเฉินยืนอยู่กับที่มันโอนเอนไปมาแต่กลับไม่ยอมล้มลงเสียที
“ในฐานะลูกผู้ชายแคว้นเยี่ยน...ชาตินี้ข้าไม่มีอะไรต้องเสียดายแล้ว”
เขาตายทั้งที่ยังยืนอยู่เช่นนั้นไม่แม้แต่จะปิดตาลงด้วยซ้ำดวงตาที่เย็นะเืยังคงมองไปยังคนชุดแดงที่ล้อมเข้ามาเรื่อย ๆ
อันเจิงกำหมัดแน่นเขารู้สึกเจ็บข้างในหัวใจ เจ็บอย่างที่ไม่อาจอธิบายออกมาเป็คำพูดได้...
เขาและเชียวจ่างเฉินไม่ได้รู้จักกันเป็การส่วนตัวและไม่ถือว่าสนิทสนมกันด้วย แต่เขารู้ดีว่า หากไม่ใช่เพราะมีเชียวจ่างเฉินอยู่เจินจวงปี้คงจะเล่นงานนิกายเบิก์ไปตั้งนานแล้วแคว้นเยี่ยนกับแคว้นโยวเหมือนน้ำกับไฟที่ไม่ถูกกันมาโดยตลอดเจินจวงปี้เป็คนสั่งให้คนไปตามยอดฝีมือจากแคว้นโยวพวกนี้มาเอง สังหารทหารของกลุ่มอัศวินเพลิงเหล็กเหตุผลนี้เพียงพอให้คนจากแคว้นโยวเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาแล้ว อันเจิงรู้สึกราวถูกกรีดที่หัวใจแต่เขาก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะที่เื้ัเขา ยังมีผู้เฒ่าฮั่ว มีตู้โซ่วโซ่วมีชวีหลิวซีกับชวีเฟิงจื่ออยู่ แล้วไหนจะมีเสี่ยวชีเต้าอีก
“เอาหัวมันกลับไป”
ชายชุดแดงที่เป็หัวหน้ากลุ่มสั่งออกไปทันใดนั้นก็มีคนเดินเข้ามาตัดหัวของเชียวจ่างเฉินจนขาดในดาบเดียว
“แคว้นโยวจะจดจำความดีความชอบของเ้าเอาไว้”
ผู้เป็หัวหน้าบอกแบบนั้นกับเจินจวงปี้จากนั้นก็หายวับไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้