“ไปวัดชิงเหลียงครานี้ นอกจากท่านยายกับท่านป้าสะใภ้แล้วยังมีใครอีกบ้าง” โม่เสวี่ยถงถามด้วยรอยยิ้ม เคาะนิ้วลงบนโต๊ะไปตามอำเภอใจ
นางในยามนี้ย่อมแตกต่างจากตอนที่ออกมาจากจวนฉิน ไม่ตัวสั่นหวาดกลัวง่ายเหมือนเมื่อก่อน มีความสุขุมเยือกเย็นเยี่ยงคุณหนูตระกูลใหญ่ แววตาสงบนิ่ง แม้จะยิ้มแย้มขณะพูดคุย กลับสามารถสร้างความกดดันให้คนรอบข้างได้ แม้แต่สาวใช้ประจำกายที่ติดตามมาโดยตลอดยังยอมรับนับถือด้วยใจจริง
“ฮูหยินเชิญหลานสาวบุตรของพี่ชายและฮูหยินผู้เป็พี่สะใภ้มาด้วยเ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าให้คุณชายรองไปด้วย กล่าวว่าไปกันเยอะๆ จะได้คึกคัก” สาวใช้ตอบคำถามที่ตนเองรู้ทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง
แล้วก็ไม่ใช่ฮูหยินผู้เฒ่าฉินเป็ผู้ออกหน้าจริงๆ ดังคาด ป้าสะใภ้สกุลอวี้ผู้นี้ไม่มีความทรงจำในด้านดีต่อนางแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น ยังหมายผลักตนเองให้ไปถึงที่ตายอีกด้วย โม่เสวี่ยถงยิ้มเยาะในใจ คนแบบนี้น่ะหรือจะมาชวนนางโดยปราศจากวาระซ่อนเร้น
ยิ่งไปกว่านั้น ในจำนวนนี้ยังมีอวี้ซือหรงที่ถูกท่านพ่อไล่ออกจากจวนไปด้วย พร้อมกับนางเฉินผู้เป็มารดา ฮูหยินผู้นั้นโม่เสวี่ยถงเคยพบเจอมาก่อน ได้ยินว่าเป็เ้านายที่ร้ายกาจไม่เบา ดูจากที่อวี้ซือหรงไม่มีน้องชายน้องสาวที่เกิดจากอนุภรรยาเลยก็รู้ได้
มากันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้ ดูท่าคงหมายลงมือจัดการกับนางเป็แน่ เมื่อชาติก่อนอวี้ซือหรงติดหนี้นางไว้แต่ยังมิได้ชดใช้ หากยังคิดจะทำร้ายตนเองแบบเดียวกับเมื่อชาติที่แล้ว จนต้องอัปลักษณ์กลายเป็คนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง เช่นนั้นก็คงต้องให้นางลองรับผลกรรมแบบที่ทำกับผู้อื่นไว้ดูบ้าง โม่เสวี่ยถงบิดผ้าเช็ดหน้าในมือเบาๆ ช้อนตาขึ้นแล้วกล่าวว่า “ไปบอกท่านยายว่าพรุ่งนี้ข้าว่าง จะไปวัดชิงเหลียงเป็เพื่อนท่านเอง”
หลังจากกำชับกับสาวใช้แล้วก็ยกมือขึ้นโบก โม่อวี้จึงพาคนออกไป
วัดชิงเหลียงไม่ได้ใหญ่โตนัก เป็อารามตั้งอยู่นอกเมือง แต่กลับมีผู้มาสักการะมากมาย ได้ยินมาว่ารสมือการทำอาหารเจของวัดนี้ยอดเยี่ยมนัก ดึงดูดผู้คนจากทั่วสารทิศให้มาเยือน และที่นั่นยังมีป่าเหมย แม้จะไม่ได้ขึ้นชื่อเหมือนป่าเหมยแห่งจวนจิ้นอ๋อง แต่ก็มีชื่อเสียงดีงามเฉพาะตัว
เล่ากันว่าเมื่อนานมาแล้ว มีบัณฑิตผู้หนึ่งเดินทางมาสอบที่เมืองหลวง เพราะไม่มีเงินเช่าโรงเตี๊ยม กอปรกับอากาศหนาวจัดจึงหมดสติอยู่ข้างทาง หลวงจีนรูปหนึ่งช่วยชีวิตเขาไว้ พาเข้ามาหลบลมหนาวในวัด ให้ทั้งอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ต่อมาบัณฑิตผู้นั้นสอบติดมีรายชื่อบนแผ่นป้ายทองคำ จึงนำทรัพย์สินมาถวายวัดสร้างพระพุทธรูปทองคำและยังปลูกป่าเหมยไว้ภายในวัด เพื่อเป็การยกย่องในความบริสุทธิ์สูงส่งของพระภิกษุที่นี่
ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่มาทานอาหารเจและชมดอกเหมยที่วัดชิงเหลียงจึงมีไม่น้อย
หากมีวันว่าง้าพักผ่อน ชาวบ้านทั่วไปก็ชอบไปเที่ยวที่นั่น
อวี้ซื่อกับอวี้ซือหรงคงวางแผนจัดการกับตนเองที่นั่นไว้แล้ว...
เอาเถอะ... อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ตนเองไม่อาจถอยหนีและไม่คิดจะหลบเลี่ยงด้วย
โม่เสวี่ยถงยืนนิ่งอยู่ที่หน้าต่างเป็เวลานาน ก่อนจะหมุนตัวกลับมานั่ง รับน้ำชาที่โม่หลันส่งให้แล้วเอ่ยถาม “โม่หลัน โม่เหอเป็อย่างไรบ้าง”
เื่โม่เหอเกิดขึ้นมาได้พักหนึ่งแล้ว แต่หลังจากนั้นก็มีเื่เกิดขึ้นมากมายจนนางรับมือไม่ทัน จึงมิได้ถามไถ่ถึงโม่เหอ เช้าวันนี้โม่อวี้มารายงานว่าโม่เหอ้ามาพบและพูดคุยกับนางด้วยตนเอง
นางรู้สึกผิดหวังในตัวของโม่เหออย่างแท้จริง มีครั้งแรกก็ย่อมมีครั้งที่สองตามมา แม้ว่าโม่เหออาจจะถูกความรักเข้าตา ทำให้ตนเองต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เช่นนั้นก็ไม่ควรให้สถานการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีกเป็ครั้งที่สอง การกลับมาเกิดใหม่ในครานี้ หัวใจของนางถูกชโลมด้วยโลหิตแห่งความแค้นจนกลายเป็คนจิตใจด้านชาไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น หากโม่เหอสำนึกเสียใจจริงก็ควรพูดกับโม่หลันและโม่อวี้นานแล้ว พวกนางล้วนเติบโตมาด้วยกัน มีเื่อะไรที่คุยกันไม่ได้บ้าง นางกลับเพียรแต่รอให้ตนเองหายป่วย ถึงค่อยนึกขึ้นได้ว่าต้องมาร้องขอให้ละเว้นโทษ หากตนเองไม่ฟื้นขึ้นมา นางก็ไม่จำเป็ต้องมาอ้อนวอนขอความเห็นใจแล้วใช่หรือไม่ และก็ยังสามารถอยู่ในฐานะสาวใช้ต่อไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
การทำผิดไม่ใช่เื่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือโม่เหอไม่เคยรู้สำนึกถึงความผิดของตนเอง แต่กลับใช้วิธีก้มหัวให้กับผู้ที่อยู่เหนือกว่า คนแบบนี้... ไหนเลยนางจะกล้ารับไว้ใช้งานอีก ข้างกายนางมีที่ไว้สำหรับผู้จงรักภักดีเท่านั้น น่าเสียดายความรักความผูกพันที่มีให้กันมาตลอดหลายปี
คิดไม่ถึงว่าเพิ่งกลับมาจวนโม่ได้ไม่นาน ก็เลือกที่จะหันหลังให้ตนเองเสียแล้ว...
เมื่อก่อนตนเองคิดว่านิสัยมุทะลุของโม่เหอเป็ธรรมชาติั้แ่กำเนิด บัดนี้จึงเพิ่งรู้ว่านั่นเป็เพียงการปั้นแต่งของนางทั้งสิ้น
“คุณหนู โม่เหอร้องแต่จะพบคุณหนูให้ได้ บอกว่าต่อไปจะไม่ทำเื่เช่นนั้นอีกแล้ว จะไม่มีเื่แบบนี้เกิดขึ้นอีก” โม่หลันตอบ
“โม่หลัน เ้าช่วยนางเก็บเสื้อผ้า แล้วมอบเงินให้โม่เหอไปจำนวนหนึ่ง กำไลของข้าพวกนี้ก็เลือกสองสามชิ้นมอบให้นาง ถือว่าเป็น้ำใจระหว่างนายบ่าว ส่วนสัญญาขายตัวก็คืนให้นางไปด้วย ดูเหมือนว่าบิดามารดาของนางจะตายหมดแล้ว ในจวนนี้ก็ไม่มีญาติพี่น้องคนไหนอีก” โม่เสวี่ยถงกล่าวพลางคลึงหัวคิ้วเบาๆ
ปล่อยให้จากไปก่อนที่จะทำความผิดใหญ่โตจนแก้ไขอะไรมิได้ นับว่าเป็การตอบแทนที่ตนเองมีให้ในฐานะนายบ่าว พวกนางสิ้นสุดทุกอย่างกันแต่เพียงเท่านี้
โม่หลันเข้าใจความหมายของผู้เป็นาย แต่ก็ยังอดท้วงไม่ได้ “คุณหนูจะให้นางไปจริงๆ หรือเ้าคะ นาง...”
พวกนางสามคนเติบโตมาพร้อมกับโม่เสวี่ยถง ความผูกพันย่อมแตกต่างจากผู้อื่น
“จริงสิ เ้ารู้สึกว่าเื่ของโม่เหอไม่นับว่าเป็เื่ใหญ่อันใดใช่หรือไม่” สีหน้าของโม่เสวี่ยถงเผยยิ้มเย็นะเื “หากวันนั้นโม่เหอทะเลาะกับสาวใช้ของไป๋อี้เฮ่าที่หน้าจวน คนที่เสื่อมเสียชื่อเสียงก็คือข้า แล้วข้าจะยังมีที่ยืนอยู่อีกหรือ เดิมทีคนในจวนนี้ล้วนเห็นข้าเป็คนนอก หากเกิดเื่ที่มีผลต่อชื่อเสียง ข้าก็คงถูกผลักให้ไปสู่ที่ตายเท่านั้น”
ฟางอี๋เหนียงกับโม่เสวี่ยิ่รอโอกาสนี้อยู่ นางไม่อาจก้าวพลาดแม้แต่ก้าวเดียว จำเป็ต้องมีจุดยืนที่มั่นคง
“เ้าคืนสิ่งนี้ให้นางไปเถิด มันเป็ของที่นางรับมาจากฟางอี๋เหนียง ซึ่งค้นเจอที่ห้องของนาง” โม่เสวี่ยถงเปิดลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบกล่องออกมาใบหนึ่งแล้วเปิดออก ก่อนจะส่งปิ่นหยกชิ้นหนึ่งในนั้นให้โม่หลัน ดูจากสีสันและความแวววาวของเนื้อหยก ความประณีตงดงามเยี่ยงนี้เห็นได้ชัดว่ามิใช่ของที่สาวใช้คนหนึ่งจะมีได้
โม่หลันรู้สึกหัวใจบีบรัด มองปิ่นหยกในมือด้วยสีหน้าซีดเผือด
นางเป็คนฉลาด เท่าที่ฟังคำบอกเล่ากระท่อนกระแท่นจากปากของโม่เหอใน่สองสามวันที่ผ่านมา ผนวกกับรายละเอียดที่โม่เสวี่ยถงเล่าให้ฟังโดยไม่ปิดบังยามนี้นางย่อมรู้ได้ว่าโม่เหอมีใจคิดร้ายต่อคุณหนูจริงๆ จึงไม่กล้าพูดอะไรอีก นางเลือกกำไลสองสามชิ้นของโม่เสวี่ยถง เก็บเสื้อผ้าสองสามชุด แล้วนำของทั้งหมดไปมอบให้โม่เหอถึงห้องที่ขังนางอยู่
โม่หลันส่งสัญญาณกับมามาที่เฝ้าอยู่ให้เปิดประตูออก แล้วเดินเข้าไปด้านใน เห็นโม่เหอนั่งอยู่บนตั่ง ไม่ได้เจอกันไม่กี่วัน โม่เหอทั้งผ่ายผอมและซีดเซียวลงมาก ใบหน้าสะสวยดูเศร้าซึมและเลื่อนลอยชวนให้รู้สึกเห็นใจ แต่ยามนี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็รู้สึกเห็นใจไม่ลง
“โม่หลัน เมื่อไรคุณหนูถึงจะยอมให้ข้าพบ” เมื่อได้ยินเสียงประตู โม่เหอก็ลุกขึ้นปรี่เข้ามาถามอย่างร้อนใจ
เห็นแววตาเฝ้ารออย่างมีความหวังของโม่เหอ โม่หลันก็นึกลังเลอยู่ชั่วครู่แล้วถอนหายใจออกมา ก่อนจะนำสิ่งของแต่ละชิ้นออกมาวางไว้ให้ “โม่เหอ เกิดเื่แบบนี้ขึ้นคุณหนูจึงไม่อยากเห็นหน้าเ้าอีกแล้ว แต่เห็นแก่ความสัมพันธ์นายบ่าวที่มีให้กันมานาน คุณหนูจึงให้ข้านำของพวกนี้มามอบให้เ้า ยังมีหนังสือสัญญาขายตัวเข้ามาในจวนนี้อีกด้วย ข้าเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว เ้าก็มารับไปเถอะ”
โม่เหอตื่นตะลึง ก่อนจับมือของโม่หลันไว้แล้วร้องถาม “ทำไมล่ะ เพราะเหตุใดคุณหนูจึงไม่้าข้าแล้ว”
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับสิ่งที่นางคาดไว้ต่างกันโดยสิ้นเชิง แล้วจะไม่ให้นางหวาดกลัวจนลนลานเยี่ยงนี้ได้อย่างไร นางคิดว่าอย่างมากโม่เสวี่ยถงก็ขังนางไว้สักสี่ห้าวัน อาจจะลงโทษนางอีกหน่อย อย่างไรก็ไม่มีทางตัดขาดกันเช่นนี้เด็ดขาด
“โม่เหอ... เ้าก็น่าจะรู้ตัวดีไม่ใช่หรือ” โม่หลันดึงมือนางออกจากแขนเสื้อของตนเองอย่างเ็า ไม่มองหน้านางอีก หลังจากวางข้าวของให้แล้วก็หมุนตัวผลักประตูห้องเดินจากไป เสียงโม่เหอล้มตัวลงที่พื้นด้านหลัง ทำให้โม่หลันชะงักอยู่ที่หน้าประตูครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยืดหลังตรงเดินออกไปเช่นเดิมไม่เหลียวกลับไปอีก
เื่บางเื่ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจ ไม่ต้องกล่าวสิ่งใดให้ชัดเจนมากมาย แต่ละคนล้วนมิใช่คนโง่ อย่าคิดว่าผู้อื่นจะโง่งมเยี่ยงนั้น เมื่อก่อนโม่หลันไม่รู้เื่ราวชัดเจน จึงคิดจะขอร้องแทนโม่เหอ บัดนี้จึงคิดได้ว่าที่แท้ตนเองก็ถูกโม่เหอหลอกเช่นกัน ไม่รู้ว่าจิตใจที่เคยซื่อตรงของโม่เหอเปลี่ยนแปลงไปเป็แบบนี้ั้แ่เมื่อไร
ฟางอี๋เหนียงให้อะไรกับโม่เหอหรือ นางถึงกับหันหลังให้พี่น้องที่มีน้ำใจให้กันมาตลอดหลายปี และทรยศหักหลังคุณหนูผู้เป็เ้านายที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา
แต่แบบนี้ก็ไม่เลว อย่างน้อยคุณหนูก็ยังเหลือทางให้นางจากไปด้วยดี แต่โม่หลันพลันกระจ่างใจว่าในขณะเดียวกันคุณหนูก็เหลือเส้นทางนี้ไว้ให้ตนเองกับโม่อวี้ด้วย
วันรุ่งขึ้นสกุลฉินก็ส่งคนมารับ หลังจากโม่เสวี่ยถงแจ้งให้โม่ฮว่าเหวินทราบแล้วก็ขึ้นรถม้าไปยังจวนฉิน เนื่องจากต้องไปคารวะเหล่าไท่ไท่ก่อน ดังนั้นจึงไปสายเล็กน้อย ฮูหยินผู้เฒ่าฉินเห็นนางมาแล้วก็มิได้ว่ากล่าวอันใด ชวนคุยสองสามประโยค แล้วพาโม่เสวี่ยถงออกไปนอกจวน
อวี้ซื่อรออยู่หน้าจวนนานแล้ว เมื่อเห็นโม่เสวี่ยถงประคองฮูหยินผู้เฒ่าเดินออกมา แววตาพลันเปล่งประกาย รีบเดินเข้ามาต้อนรับอย่างอบอุ่น หลังจากทักทายกันแล้วก็หันมาพูดกับแม่สามี “ท่านแม่ วันนี้อากาศไม่เลว เหมาะกับการเดินทางจริงๆ ได้ยินมาว่าอาหารเจของวัดชิงเหลียงรสชาติดีมาก มื้อกลางวันพวกเราไปกินอาหารเจที่นั่นกันก็ได้ เข้าพักที่อารามอย่างน้อยสองวัน จะได้เที่ยวให้ทั่วถึง”
ฟังจากความหมายของอีกฝ่ายที่วางแผนจะอยู่ค้างสองสามวัน นี่ไม่ได้อยู่ในการคาดคะเนของนาง สีหน้าของโม่เสวี่ยถงซ่อนความตื่นตระหนกไม่อยู่ หลังจากนั้นก็แสร้งแหงนหน้ามองฮูหยินผู้เฒ่าฉินอย่างฉอเลาะ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงลำบากใจ “ท่านยายเ้าขา พวกเราจะไปอยู่ที่นั่นกันกี่วันหรือ จะทำอย่างไรดี ถงเอ๋อร์เตรียมเสื้อผ้ามาไม่พอเ้าค่ะ”
เห็นดวงหน้าเล็กจ้อยมุ่นมุ่ยดูลำบากใจ ฮูหยินผู้เฒ่าฉินก็ตบหลังมือนางเบาๆ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก็ไม่ต้องอยู่หลายวันนักหรอก สองสามวันนี้วัดชิงเหลียงมีคนมาเที่ยวเยอะ ยังไม่แน่ว่าจะมีที่ให้พักหรือไม่ ไปดูกันก่อน หากอยากค้างคืนจริงๆ ค่อยให้สาวใช้ของเรากลับมาเอาเสื้อผ้าให้ก็ได้”
“อ๋อ... ที่แท้ก็เป็เช่นนี้ นึกว่าท่านป้าสะใภ้ลืมแจ้งให้ถงเอ๋อร์ทราบเสียอีก” โม่เสวี่ยถงแสดงสีหน้าเข้าใจในบัดดล แลบลิ้นเล็กๆ ออกมาแล้วหัวเราะคิกคัก ฮูหยินผู้เฒ่าฉินตบมือนางเบาๆ อย่างรักใคร่เอ็นดู เมื่อใบหน้าเล็กพริ้มเพราเข้ามาอยู่ในสายตา หัวใจก็เกิดความคิดหนึ่ง เมื่อก่อนนางไม่ค่อยชอบโม่เสวี่ยถงนัก แต่ยามนี้กลับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ตำแหน่งขุนนางของโม่ฮว่าเหวินเลื่อนสูงขึ้น โม่เสวี่ยถงก็ฉลาดน่ารัก ทั้งช่างฉอเลาะเอาใจ
หากเซวียนเอ๋อร์แต่งนางเข้ามาสกุลฉินได้ก็นับว่าไม่เลว ดีกว่าอวี้ซือหรงที่คอยตามตื๊อเซวียนเอ๋อร์อย่างไร้ยางอายผู้นั้นมากนัก ดังนั้นเมื่อลูกสะใภ้เสนอขึ้นมา นางจึงตอบตกลงที่จะพาโม่เสวี่ยถงไปด้วยทันที
เมื่อใจมีแผนการเช่นนั้นแล้ว ก็ยิ่งแสดงความเมตตารักใคร่ต่อโม่เสวี่ยถงมากขึ้นเรื่อยๆ
เห็นพวกนางคุยกันอย่างมีความสุข อวี้ซื่อซึ่งยืนอยู่ด้านข้างก็พลอยแย้มยิ้ม กล่าวหัวเราะอย่างเบิกบานใจ “ป้าสะใภ้จะลืมถงเอ๋อร์ได้อย่างไร แต่ถึงจะลืมก็ไม่ทำให้ถงเอ๋อร์ต้องลำบากเป็แน่ วางใจเถิด อีกประเดี๋ยวพอจัดการทุกอย่างลงตัวแล้ว ป้าสะใภ้จะให้บ่าวกลับมาเอาเสื้อผ้าสวยๆ ไว้แต่งตัวให้ถงเอ๋อร์ของเราจนงดงามไม่มีผู้ใดเทียบได้เลยทีเดียว”
“ขอบคุณป้าสะใภ้เ้าค่ะ” โม่เสวี่ยถงทำท่าอายม้วนราวกับถูกคนจับได้ว่าคิดสิ่งใดอยู่ ใบหน้าสุกปลั่งเป็สีแดงระเรื่อ
รถม้าทั้งสามคันเตรียมรออยู่นานแล้ว คันแรกจัดไว้ให้ฮูหยินผู้เฒ่าฉิน คันที่สองเป็ของอวี้ซื่อ โม่เสวี่ยถงพาโม่หลันกับโม่เยี่ยขึ้นรถคันที่สาม ส่วนฉินอวี้เซวียนควบอาชาออกเดินทาง ความจริงเขาคิดจะเข้ามาหาั้แ่เมื่อครู่ แต่ถูกมารดาใช้ให้ไปดูความพร้อมของรถม้า ยามนี้จึงได้เพียงแค่ทักทายโม่เสวี่ยถง
โม่เสวี่ยถงเพิ่งขึ้นมานั่งบนรถม้าได้ชั่วครู่ก็มีเสียงเคาะเบาๆ ที่หน้าต่าง นางจึงเปิดหน้าต่างด้านซ้ายมือออก พอเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่อบอุ่นอ่อนโยนของฉินอวี้เซวียนปรากฏที่ริมหน้าต่าง ความรู้สึกยินดีอย่างปิดไม่มิดเผยออกมาให้เห็นบนใบหน้าอ่อนเยาว์
“น้องหญิงถง สิ่งนี้มอบให้เ้า การเดินทางต้องใช้เวลานาน ได้สูดกลิ่นหอมเย็นแบบนี้จะได้รู้สึกสดชื่น” ฉินอวี้เซวียนส่งกล่องหุ้มแพรขนาดไม่ใหญ่มากให้นางใบหนึ่ง เมื่อเปิดออกก็มีกลิ่นหอมสดชื่นแผ่กำจายออกมา กลิ่นหอมอ่อนๆ ของกล้วยไม้ทำให้รู้สึกจิตใจสุขสงบยิ่งนัก เป็สิ่งที่จำเป็สำหรับการเดินทางอันยาวนานที่แสนจะน่าเบื่ออย่างแท้จริง
พี่ชายเซวียนมักจะดูแลเอาใจใส่นางอย่างพิถีพิถันเสมอมา น่าประทับใจยิ่ง นางปิดกล่องลง ยู่ปากทำท่าน่ารักแล้วกล่าวหยอกเย้าอย่างนึกสนุก
“ขอบคุณพี่ชายเซวียนเ้าค่ะ ระหว่างทางต้องรบกวนพี่ชายแล้ว หากเจอของอร่อย หรือเจออะไรน่าสนุกก็อย่าลืมเรียกข้าด้วยนะเ้าคะ”
เมื่อเห็นนางยังคงทำตัวสนิทสนมกับตนเองเช่นเดียวกับในอดีต ฉินอวี้เซวียนก็ดีใจ หน้าแดงขึ้นเล็กน้อย แต่กลับแกล้งทำท่านิ่งคิดชั่วครู่ก่อนยิ้มให้คำตอบ
“ได้ หากพี่ชายเจอของกินอร่อยๆ หรือของเล่นสนุกๆ จะต้องเรียกน้องหญิงถงออกมาแน่นอน ดีหรือไม่?”
“คำไหนคำนั้น สัญญาแล้วนะ”
“อื้อ... ตกลงตามนี้”