หลังจากที่ฟังเสี่ยวหยวนเล่าเื่ราวทั้งหมดแล้ว หลี่หงใเสียจนขาอีกข้างหนึ่งแทบจะพิการไปด้วย “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็เสี่ยวโหวเหฺยจัดการหรือไร?”
“เ้าค่ะ เสี่ยวโหวเหฺยเก่งกาจยิ่งนัก” เสี่ยวหยวนพูด “เวลานี้ครอบครัวของคุณชายใหญ่หยวนถูกไล่ออกไปแล้ว บ่าวไม่เคยพบคนที่ร้ายกาจเช่นเสี่ยวโหวเหฺยมาก่อนเลยเ้าค่ะ”
“เช่นนั้นคุณหนูใหญ่เล่า? ดีขึ้นแล้วหรือไม่?” หลี่หงรู้ว่าเสี่ยวหยวนและเสี่ยวฟางเป็พี่น้องกัน ดังนั้นจึงถามเื่นี้กับนาง
“คุณหนูใหญ่อยู่แต่ในห้องมาั้แ่เมื่อวานจนถึงวันนี้ก็ยังไม่ออกมาเ้าค่ะ หรืออาจจะกำลังสวดมนต์อยู่ในห้องพระก็เป็ได้เ้าค่ะ” เสี่ยวหยวนตอบ
“ข้ารู้แล้ว”
หลี่หงรีบไปเรือนของหลี่หลินทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้พักผ่อน
วันนี้หลี่หลินอยู่ในห้องพระทั้งวัน เื่ราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานกลายเป็เงามืดที่ทำร้ายจิตใจนางรุนแรงเกินไป ทันทีที่นางนิ่งเงียบ ภายในจิตใจก็จะสับสนวุ่นวาย มีเพียงการสวดมนต์หน้าป้ายิญญาเท่านั้นที่จะทำให้จิตใจนางสงบลงได้ เมื่อเห็นหลี่หงกลับมาแล้ว ร่างทั้งร่างของนางก็เปรียบเสมือนว่าวที่หลุดออกจากสายป่าน โผเข้าไปในอ้อมกอดของหลี่หง “พี่ใหญ่...” แม้หลี่ลั่วจะปกป้องจนนางปลอดภัย แต่หลี่ลั่วเด็กเกินไป ไม่เหมือนกับหลี่หงที่สามารถกอดนาง ปลอบโยนนางได้ ความรู้สึกปลอดภัยนี้ไม่เหมือนกัน
“ไม่เป็ไรแล้ว ไม่ต้องกังวลใจ ไม่มีอะไรแล้ว เป็พี่้เองที่ไม่ดี ในยามที่เ้า้าพี่ พี่กลับไม่อยู่ในเรือน เป็พี่เองที่ไม่ดี” หลี่หงกอดนางเอาไว้ ลูบหลังนางเบาๆ อย่างปลอบโยนเหมือนกับเมื่อสี่ปีก่อน เวลานั้นที่บิดาเพิ่งจากไปเขาก็กอดน้องสาวเอาไว้เช่นนี้เหมือนกัน เขากอดพลางพูดเบาๆ กับนางว่า ‘ไม่ต้องกังวลอันใด ต่อไปเ้ายังมีพี่ชายอยู่’
และเป็่เวลานั้นเช่นกันที่เขาพบว่าตนเองเป็ผู้ชายเพียงคนเดียวในครอบครัว เขาต้องปกป้องมารดาและน้องสาวของตน แต่เมื่อวานในยามที่น้องสาว้าเขา เขากลับไม่อยู่ ส่วนผู้ที่ปกป้องน้องสาวของเขากลับเป็น้องชายที่มีอายุเพียงห้าขวบ น้องชายยังเล็กนัก ย่อม้าการปกป้องจากเขาเช่นกัน
ในใจของหลี่หง เขาให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบยิ่งนัก น้องชายที่อยู่ในวัยเพียงห้าขวบยังรู้จักที่จะปกป้องพี่สาว เขาซึ่งเป็พี่ชายยิ่งไม่อาจทำให้พวกเขาผิดหวังได้
ปลอบโยนหลี่หลินอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหลี่หงจึงไปเรือนโฉวงจี๋ หลี่ลั่วกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องหนังสือ บนโต๊ะมีของว่างหน้าตาน่ากินอยู่หลายอย่าง หลี่หงตกตะลึง เด็กน้อยที่ตั้งใจอ่านหนังสือนั้นให้ความรู้สึกเงียบสงบและห่างไกลออกไป
“พี่ใหญ่” หลี่ลั่วเงยหน้า “ท่านกลับมาแล้ว มารดาเป็เช่นใดบ้างขอรับ?”
หลี่หงมาถึงห้องหนังสือของหลี่ลั่วก็นั่งลงข้างๆ โต๊ะตัวเตี้ย “สำนักแม่ชีผู่ลั่วเป็สำนักชีที่มีชื่อเสียง มารดาอยู่ที่นั่นนอกจากอาหารการกินจะจืดชืดไปสักหน่อยก็ไม่มีเื่อันใดอีก” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง หลี่หงพูดขึ้นอีกว่า “น้องหก เมื่อวานแม้ว่าเ้าจะขวัญกล้านัก แต่ในบางครั้งพี่ใหญ่ก็อยากให้เ้ารู้จักปกป้องดูแลตนเองให้ดี เื่ทุกอย่างรอให้พี่ชายกลับมาก่อนก็ได้”
รอเขากลับมาก็คงต้องไปจุดธูปที่สุสานของหลี่หลินแล้วกระมัง แต่หลี่ลั่วรู้ดีว่าหลี่หงนั้นเอาใจใส่ตนยิ่งนัก ดังนั้นจึงพยักหน้า “พี่ใหญ่โปรดวางใจ ข้ารู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาขอรับ”
หลี่หงเองก็รู้ว่าเมื่อวานหลี่ลั่วทำได้ดีมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลี่ลั่วยังเป็เพียงเด็กน้อยอายุห้าขวบ เื่ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้อย่าได้พูดถึงเด็กน้อยอายุห้าขวบคนหนึ่งเลย ต่อให้เป็เขาก็คงยังไม่สามารถที่จะจัดการได้อย่างเห็นระบบระเบียบเช่นนี้ และด้วยเหตุนี้หลี่หงจึงได้รับการกระตุ้นมากยิ่งกว่าเดิม น้องชายมีอนาคตกว่าเขา เขา...
“พี่ใหญ่ สภาพจิตใจของพี่หญิงใหญ่เกรงว่าจะไม่ดีขึ้นชั่วคราว ข้าอายุยังน้อย แล้วก็ไม่เข้าใจนางด้วย ดังนั้นยังคงต้องเป็พี่ใหญ่ที่ต้องอยู่เป็เพื่อนนางให้มากสักหน่อยนะขอรับ” หลี่ลั่วกล่าว
หลี่หงรีบกล่าว “เ้าวางใจเถิด ข้าจะต้องดูแลนางเป็อย่างดีแน่นอน หยวนข่ายเ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนั้น...สัตว์เดรัจฉานตัวนั้น...” หลี่หงกำหมัดแน่น เขาจะไม่ยอมปล่อยมันไปแน่
“ไม่มีความจำเป็ที่มนุษย์จะไปโมโหสัตว์เดรัจฉานหรอกขอรับ” หลี่ลั่วพูดขึ้นเรียบๆ
“เป็ข้าที่ร้อนรนเกินไป” หลี่หงตกตะลึง
“จริงด้วยขอรับพี่ใหญ่ จวนโหวไม่มีเ้าบ้านฝ่ายหญิง สุขภาพของเหล่าไท่ไท่ไม่มีอะไรหนักหนาสาหัส มิสู้ไปเชิญมารดากลับมากันเถอะขอรับ” หลี่ลั่วเสนอความเห็น
หลี่หงส่ายหน้า “ไม่เหมาะสม”
“เพราะเหตุใดเล่า?”
“นางเลือกใช้วิธีนี้มาคิดบัญชีท่านแม่ ต่อให้ท่านแม่ทำเพื่อรักษาชื่อเสียงก็ต้องอาศัยอยู่ที่สำนักแม่ชีผู่ลั่วให้ครบเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวันจึงจะกลับมา มีแต่ทำเช่นนี้จึงจะไม่ตกเป็ขี้ปากชาวบ้าน แล้วยังได้ชื่อว่ากตัญญู” หลี่หงกล่าว
หลี่ลั่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ถูกต้อง “เช่นนั้นเื่ภายในจวนคงต้องรบกวนพี่ใหญ่แล้ว”
“อืม มีพี่ใหญ่อยู่”
ภรรยาหลี่ฮุยวันนี้รู้สึกสับสนเล็กน้อย เื่เมื่อวานนางได้บอกกับหลี่ฮุยแล้ว อย่าว่าแต่นางที่ถูกวิธีการของลั่วเกอเอ๋อร์ทำให้ใจนสะดุ้งเลย แม้แต่หลี่ฮุยที่ฟังนางเล่าจนจบก็ยังตกตะลึงยิ่งนัก หลี่ฮุยเตือนนางว่าต่อไปให้นางดีต่อหลี่หยางซื่อให้มาก ภรรยาหลี่ฮุยไตร่ตรองดูแล้วจึงตระเตรียมของว่างอร่อยๆ ไว้หลายอย่าง นางไปยังเรือนหลินหลีเพื่อเยี่ยมหลี่หลิน แล้วยังพาหลี่หม่านไปด้วย
“ท่านแม่ เหตุใดข้าจึงต้องไปด้วยเล่าเ้าคะ?” หลี่หม่านไม่ยินดี
“พี่หญิงใหญ่ของเ้าเกิดเื่เช่นนี้ เ้าในฐานะน้องสาวไม่สมควรที่จะเอาใจใส่หรอกหรือไร?” ภรรยาหลี่ฮุยกล่าว “แม่จะสอนเ้า ศัตรูของเ้ามิใช่พี่หญิงใหญ่ของเ้า ยามนี้พวกเราอาศัยอยู่ในจวนโหว ไม่ว่าจะทำเื่อะไรต่อหน้าผู้อื่นอย่างน้อยก็อย่าได้ให้ผู้อื่นเอาไปนินทาเอาได้”
“เช่นนั้นแล้วมันเกี่ยวอันใดกับข้าด้วยเล่า? ข้าไม่ไปหานางก็พอแล้วไม่ใช่หรือ ก็ไม่ต้องตกเป็ขี้ปากผู้ใดแล้ว” หลี่หม่านพูด ในใจของนางนั้นหลี่หลินที่สิ้นบิดาถือดียังไงจึงมีชื่อว่าเป็คุณหนูใหญ่ของจวนโหวได้
“เ้าหุบปากประเดี๋ยวนี้” ภรรยาหลี่ฮุยพูดอย่างเข้มงวด “ยามนี้ในจวนโหวมิใช่ท่านปู่และท่านย่าเป็คนตัดสินใจอีกแล้ว อย่าได้มองว่าน้องหกของเ้าอายุยังน้อย เื่ที่เกิดขึ้นเมื่อวานเ้าก็เห็นแล้ว ท่านย่าของเ้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เ้าก็อย่าไปล่วงเกินเขาก็แล้วกัน”
“ข้าไปล่วงเกินเขายังไงเล่า? เขาเป็เด็กคนหนึ่ง ต่อให้เก่งกาจกว่านี้ ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้าอยู่ดี” หลี่หม่านพูด
“เ้ายังคิดจะเป็คุณหนูของจวนโหวอีกหรือไม่? ยังคิดอยากจะอาศัยอยู่ในจวนโหวอีกหรือไม่? ถ้าหากว่ายังคิดอยู่ก็ไปกับข้าเสีย ไปปลอบใจพี่หญิงใหญ่ของเ้า ยามไปถึงก็พูดจาให้มันน่าฟังสักหน่อย” คำพูดในตอนนี้ของภรรยาหลี่ฮุยนั้นจริงจังมากกว่าครั้งใดๆ ที่เคยพูดกับนางเสียอีก
หลี่หม่านทำปากคว่ำ “ไปก็ไปสิเ้าคะ”
ณ เรือนหลินหลี
การกลับมาของหลี่หงทำให้จิตใจของหลี่หงดีขึ้น นางไม่ได้สวดมนต์อยู่ในห้องพระอีกแล้ว แต่กลับไปยังห้องของตนเอง นางกำลังคิดว่าจะหาสิ่งใดมาทำดี เมื่อคิดได้ว่าจะปักสิ่งของให้หลี่ลั่ว เสี่ยวฟางก็เข้ามา “คุณหนูใหญ่ ฮูหยินใหญ่และคุณหนูรองมาเ้าค่ะ”
“ท่านป้าใหญ่กับหม่านเจี่ยเอ๋อร์หรือ” ไม่ว่าจะยามที่อาศัยอยู่ในจวนสกุลหลี่หรือจวนโหว การไปมาหาสู่ของพวกเขานั้นมีไม่มากนัก “เชิญเข้ามาเถิด”
เมื่อภรรยาหลี่ฮุยเข้ามานั้น นางได้สังเกตสีหน้าท่าทางของหลี่หลินอย่างละเอียด ดูแล้วสภาพจิตใจไม่เลวเลย ไม่ได้อ่อนแอหรือเปราะบางอย่างที่คิด คิดแล้วก็ใช่ เมื่อวานวิธีการของลั่วเกอเอ๋อร์ที่รวดเร็วปานสายฟ้าฟาดได้แยกหลี่หลินออกมาจากเหตุการณ์ในทันที ไม่มีผู้ใดนำเื่ที่เกิดขึ้นในภายหลังมาเกี่ยวข้องกับเรือนหลินหลี เื่ที่หยวนข่ายไปคุกเข่าอยู่หน้าจวนก็ถูกหลี่ลั่วตอกกลับไป มีน้องชายที่เก่งกาจเช่นนี้ เมื่อวานนางจึงแคล้วคลาดปลอดภัย
หากเมื่อวานลั่วเกอเอ๋อร์ไม่อยู่ เื่น่าเศร้าของหลินเจี่ยเอ๋อร์คงต้องจบลงด้วยการหมั้นหมายกับหยวนข่าย รอจนหยวนข่ายไว้ทุกข์ครบหนึ่งปีจึงแต่งงาน และด้วยนิสัยของหยวนข่าย หนึ่งปีที่ว่านั้นก็เกรงว่าคงไม่ยอมรออันใดเป็แน่
ในยามนี้ทั้งจวนโหวล้วนมีสายตาของลั่วเกอเอ๋อร์จับตาดูอยู่ ดังนั้นคงพูดได้ว่าสิ่งที่เรียกว่าชะตาชีวิตนี้เป็เื่สำคัญยิ่ง นิสัยของหลินเจี่ยเอ๋อร์เช่นนี้ เกิดมาในจวนโหว หากไม่มีขุนเขาให้พึ่งพา วันข้างหน้าในอนาคตก็ยังไม่แน่นอนว่าจะเป็เช่นใด
แต่นางมีชะตาชีวิตที่ดี มีน้องชายที่ดีคนหนึ่ง ต่อให้ไม่ใช่น้องชายร่วมมารดาแล้วเช่นใดเล่า? ด้วยความเฉลียวฉลาดของลั่วเกอเอ๋อร์ หลี่หยางซื่อนั้นย่อมนั่งอยู่ในตำแหน่งมั่นคงแน่แล้ว ภรรยาหลี่ฮุยเป็คนที่กระจ่างแจ้งดี เมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่เหล่าไท่ไท่นั้นก็อย่างหนึ่ง ลับหลังก็อีกอย่างหนึ่ง เพราะไม่ว่าหลี่เหล่าไท่ไท่จะคิดจัดการกับเรือนที่สองอย่างไร ผลประโยชน์ที่ได้มาก็ล้วนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรือนใหญ่ของนางแม้แต่น้อยอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงไม่มีทางล่วงเกินเรือนที่สองเพราะเหล่าไท่ไท่
แต่เรือนสามนั้นแตกต่างออกไป หากวันนี้เรือนสามมาเยี่ยมหลินเจี่ยเอ๋อร์ ก็เท่ากับเป็การตบหน้าหลี่เหล่าไท่ไท่ แม้ว่าที่ตนเองทำอยู่นี้ก็เป็ตบหน้านางเช่นกัน แต่ภรรยาหลี่ฮุยยังคงเลือกที่จะมาอยู่ดี
“หลินเจี่ยเอ๋อร์ ป้าใหญ่คิดว่าท่านแม่ของเ้าไม่อยู่ อาหารที่ห้องครัวทำอาจจะไม่ถูกปากของเ้า จึงลงครัวเล็กของตัวเองทำของว่างที่เ้าชอบกิน” ภรรยาหลี่ฮุยกล่าว “เด็กเอ๋ย เ้าอย่าได้คิดมากเกินไป ครอบครัวสกุลหยวนย้ายออกไปแล้ว ต่อไปก็จะไม่มีใครมารังแกเ้าอีกแล้ว”
ดวงตาทั้งคู่ของหลี่หลินแดงก่ำ “ขอบคุณท่านป้าใหญ่เ้าค่ะ ข้าสบายดี”
“พี่ใหญ่ ของว่างเหล่านี้ท่านแม่ข้าลงครัวทำด้วยตนเอง ท่านลองทานดูสิเ้าคะ” หลี่หม่านที่อยู่ภายใต้การชักนำของภรรยาหลี่ฮุยก็เดินยิ้มเข้ามา เมื่อเห็นว่าบนโต๊ะของหลี่หลินวางตะกร้าเข็มกับด้ายจึงพูดขึ้นอีกว่า “พี่ใหญ่ ท่านกำลังปักผ้าอยู่หรือ?”
“ข้าคิดจะตัดเสื้อให้น้องหกสักชุด ระยะนี้ข้าได้เรียนรู้การปักผ้าวิธีใหม่ๆ มา” หลี่หลินกล่าว
“วิธีการปักใหม่ๆ หรือ ให้ป้าใหญ่ดูหน่อยซิ” ภรรยาหลี่ฮุยหาหัวข้อสนทนา
หลี่หลินหยิบงานปักที่ตนเพิ่งทำไปเพียงเล็กน้อยออกมา “เชิญท่านป้าใหญ่ดูเ้าค่ะ”
ภรรยาหลี่ฮุยในฐานะที่เป็คุณหนูแห่งจวนชิ่งป๋อย่อมคุ้นเคยกับงานฝีมือ เมื่อเห็นงานฝีมือของหลี่หลินแล้วถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด “วิธีการปักนี้มีลักษณะพิเศษยิ่งนัก ปักออกมาแล้วงดงามเหลือเกิน นี่เ้าเรียนมาจากที่ไหนกันหลินเจี่ยเอ๋อร์?”
“เป็พี่ิที่สอนข้าเ้าค่ะ” หลี่หลินตอบ
“พี่ิคือใครกัน?” ภรรยาหลี่ฮุยคิดไม่ออก
หลี่หลินทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย “ก็คือแม่นางหลี่ว์ หลานสาวฝั่งน้าของท่านย่าใหญ่ และเป็พี่สะใภ้ในอนาคตของข้าเ้าค่ะ”
“อ้อ...ข้าคิดออกแล้ว ดูสมองของข้าสิ...” ภรรยาหลี่ฮุยหัวเราะ “แม่นางน้อยผู้นั้นหน้าตางดงาม คิดไม่ถึงว่าฝีมือในงานเย็บปักถักร้อยจะร้ายกาจเช่นนี้ หม่านเจี่ยเอ๋อร์ วิธีการปักผ้าเช่นนี้พิเศษยิ่งนัก มิสู้เ้าเรียนกับพี่หญิงใหญ่ของเ้าเล่า?”
“ข้ามีเวลาว่าง หากว่าหม่านเจี่ยเอ๋อร์ยินดีที่จะเรียน แต่ว่าข้ารู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นนะเ้าคะ” หลี่หลินพูดอย่างขัดเขิน
“ไม่เป็ไรๆ เ้ากับหม่านเจี่ยเอ๋อร์ปรึกษาหารือกันได้ ข้าจะไปหยิบถุงเย็บปักของหม่านเจี่ยเอ๋อร์มาให้” ภรรยาหลี่ฮุยกลัวนางปฏิเสธ
“ข้าไปหยิบเองเ้าค่ะ” หลี่หม่านรีบพูด “ท่านแม่ ท่านไม่รู้ว่าถุงเย็บปักของข้าวางไว้ที่ใด ข้าไปหยิบเองเ้าค่ะ”
เมื่อหลี่หม่านตามหลังภรรยาหลี่ฮุยออกจากเรือนหลินหลีมาได้นางจึงชักสีหน้าทันที “ท่านแม่ ไฉนท่านต้องให้ข้าเรียนเย็บปักกับนางด้วย? ที่ข้าต้องปั้นยิ้มจอมปลอมพูดคุยกับนางก็ลำบากมากแล้ว นางช่างน่าเบื่อหน่าย เรียนเย็บปักกับนาง ข้าคงต้องเบื่อตายแน่”
“เ้าเด็กคนนี้ไฉนจึงพูดจาเช่นนี้?” ภรรยาหลี่ฮุยจิ้มที่สมองของนาง “หากว่าเ้าไม่ชอบพรุ่งนี้เ้าก็ไม่ต้องไปแล้ว วันนี้รับปากไปแล้วก็ต้องไปอยู่เป็เพื่อนหลินเจี่ยเอ๋อร์”
“ฮึ”
หลี่หม่านหยิบถุงเย็บปักจากเรือนของตนเดินไปยังเรือนหลินหลี ทว่าระหว่างทางกลับพบกับหลี่อวิ๋น
หลี่อวิ๋นนั้นทึกทักเอาเองว่าตนนั้นถือกำเนิดมาจากบุตรของภรรยาเอกและเป็บุตรีคนโตของภรรยาเอก จึงปฏิบัติต่อหลี่หม่านที่เกิดมาจากบุตรอนุอย่างไม่เห็นนางอยู่ในสายตา ทว่าบิดาของตนกลับไม่มีอนาคตเช่นบิดาของนาง ก็ให้รู้สึกด้อยว่าผู้อื่นอยู่ขั้นหนึ่ง ดังนั้นทุกครั้งที่เห็นหลี่หม่านนางจึงรู้สึกขัดหูขัดตายิ่งนัก