บทที่ 80 ใครเป็ครอบครัวเดียวกับเธอ
ในหมู่บ้านแห่งนี้ ั้แ่มีข่าวลือออกมาว่าอันฉินจะแต่งงานกับโจวเป่าฉิง ก็ยังมีข่าวลืออีกอย่างหนึ่งแพร่กระจายไปด้วย นั่นคือโจวเป่าฉิงกับอันฉินมีความสัมพันธ์กันแล้ว ดังนั้นอันฉินจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแต่งงานกับโจวเป่าฉิง
“นายว่าอะไรนะ?” อันฉินมองไปที่เมิ่งไห่หยาง
แน่นอนว่าเธอรู้ดีว่าเมิ่งไห่หยางชอบเธออยู่ แต่แล้วมันยังไงล่ะ? เขาไปช่วยเธอเปลี่ยนงานให้ไม่ต้องไปทำความสะอาดคอกหมูได้เหรอ? หรือช่วยเธอขนมูลหมูได้ไหม? หรือช่วยให้เธอได้เข้าไปเป็ครูในโรงเรียนประถม?
ทั้งหมดนี้เขาไม่สามารถทำได้เลย
ตัวเขาเองยังดูแลตัวเองไม่ได้ แม้กระทั่งเื่ปากท้องยังกินไม่อิ่ม แล้วยังมีหน้ามาถามเธอว่ามีอะไรลำบากใจหรือเปล่า?
“อันฉิน” เมื่อเห็นเธอมองมา เมิ่งไห่หยางหน้าแดงพูดว่า “ความในใจของฉันเธอน่าจะรู้อยู่แล้ว ถ้าเธอมีอะไรลำบากใจ ฉันจะไปคุยกับหัวหน้ากองงานให้ ต้องมีวิธีแก้ไขแน่นอน”
“ไม่มีอะไร” อันฉินได้ยินน้ำเสียงเ็าของตัวเอง “ถึงแม้เขาคนนั้นในวันปกติจะดูไม่ค่อยน่าไว้ใจ แต่เขาดีกับฉันมาก แถมยัง...”
พูดถึงตรงนี้อันฉินก็หยุดชะงัก มองเมิ่งไห่หยางที่หน้าซีดเซียวแล้วพูดต่อว่า “ครอบครัวเขาทำให้ฉันไม่ต้องลำบาก แถมยังจัดหางานให้ฉันได้ด้วย”
“นายให้ฉันกินซาลาเปาแป้งขาวได้ไหม? นายทำให้ฉันทำงานอย่างมีหน้ามีตาในหมู่บ้านนี้ได้ไหม? หรือว่านายหาโควต้ากลับเมืองหลวงให้ฉันได้?”
“ฉัน...” เมิ่งไห่หยางขยับปาก
เขาอยากจะบอกว่าต่อไปเขาจะช่วยเธอทำงานหนักมากขึ้น แม้กระทั่งเอาอาหารของตัวเองยกให้เธอก็ได้ แต่สุดท้ายเขากลับพูดอะไรไม่ออก
อันฉินมองท่าทางของเขาแล้วพูดว่า “อย่าโทษฉันเลย ฉันก็ไม่ได้ให้สัญญาอะไรกับนาย ตอนนี้ฉันสบายดี และต่อไปก็ขอให้นายอย่ามารบกวนฉันอีก ถ้าบ้านสามีฉันรู้เข้าจะเกิดความเข้าใจผิดเอาได้” พูดจบเธอเดินจากไปโดยไม่เหลือเยื่อใยแม้แต่น้อย
เมิ่งไห่หยางก้าวตามไปสองก้าว อยากจะคว้าเธอไว้ แต่สุดท้ายมือที่ยื่นออกไปกลับตกลงมาอย่างหมดแรง
เธอไม่ได้ให้สัญญาอะไรกับเขาจริงๆ แต่เื่แบบนี้มันต้องพูดออกมาตรงๆ หรือไง?
ทั้งศูนย์ยุวปัญญาชน แม้กระทั่งสมัยอยู่โรงเรียน ใครๆ ก็รู้ว่าสองคนนี้สนิทกันไม่ธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นั้แ่มาที่นี่ เขาช่วยเธอทำอะไรมากมายตั้งเท่าไหร่?
ทำไม? ทำไมเธอถึงทำกับเขาแบบนี้?
เมิ่งไห่หยางคิดไม่ตก เมื่อหันกลับไปก็เห็นฟางย่วนย่วนและเกาจิงจิงยืนอยู่ตรงนั้น
“พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังพวกนายคุยกันนะ” เกาจิงจิงพูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงแ่เบา คิดก็จับชายเสื้อด้วยความตื่นเต้นแล้วพูดว่า “นายดีมากๆ หล่อนไม่คู่ควรให้นายต้องมาเสียใจแบบนี้”
เมิ่งไห่หยางไม่พูดอะไร
“เขาตาบอดไปเอง” ฟางย่วนย่วนกลับพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “หล่อนเห็นแก่เงินมาตั้งนานแล้ว เขาก็ไม่ได้รู้วันนี้วันแรก ที่หล่อนทิ้งเขาเป็เื่ที่ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้ว ไม่ต้องมาทำตัวเหมือนสูญเสียพ่อแม่เพื่อผู้หญิงคนเดียวแบบนี้ แบบนั้นจะทำให้คนอื่นดูถูกนายมากขึ้น”
“แล้วฉันจะทำยังไงได้ล่ะ?” เมิ่งไห่หยางตาแดงก่ำ
“มีอะไรให้ทำตั้งเยอะ” ฟางย่วนย่วนพูด “นายเรียนเก่งไม่ใช่เหรอ? เครื่องปั๊มน้ำในหมู่บ้านเสีย นายมัวแต่มาคร่ำครวญเพื่อผู้หญิงที่เห็นแก่เงินอยู่ตรงนี้ทำไม ไม่คิดจะทำอะไรดีๆ ให้ชาวบ้านบ้างเหรอ?”
เสียดายความรู้ที่ร่ำเรียนมาจริงๆ
เมิ่งไห่หยาง “...” ถูกพูดจู่โจมแบบนี้ สีหน้ายิ่งไม่น่าดู
“สวะ” ฟางย่วนย่วนแค่นเสียงเย็น “ไม่แปลกใจเลยที่คนอื่นจะไม่เห็นคุณค่าของนาย”
“พี่ย่วน” เกาจิงจิงดึงเสื้ออีกฝ่ายเบาๆ
“ไปกันเถอะ” ฟางย่วนย่วนพูดอย่างหงุดหงิด “เสียเวลากับคนแบบนี้”
เมิ่งไห่หยาง “...”
เขามองแผ่นหลังของทั้งสองคน เขารู้สึกทันทีว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้เสียใจมากขนาดนั้น
ฝั่งอันฉินหลังจากออกจากศูนย์ยุวปัญญาชน เธอไม่รู้จะไปไหน เลยเดินเรื่อยเปื่อยในหมู่บ้านแบบไม่มีจุดหมาย ใครจะรู้ว่าเธอจะบังเอิญเจอสวี่จือจือกับลู่ซืออวี่แบกตะกร้าไผ่กลับมาจากข้างนอก ดูท่าแล้วน่าจะขึ้นเขาไป
“สวี่จือจือ” เธอยิ้มแล้วพูด “พวกเรากำลังจะเป็ครอบครัวเดียวกันแล้ว เื่เก่าๆ ที่ผ่านมาพวกเราลืมมันไปดีไหม?”
“เธอเป็ใคร?” สวี่จือจือยิ้มเย็น “ใครเป็ครอบครัวเดียวกับเธอ?”
“เธอต้องเป็แบบนี้จริงๆ เหรอ?” อันฉินโกรธจนแทบตายแล้ว แต่กลับถลึงตามองอีกฝ่ายแล้วพูดยิ้มๆ ทันที “ฉันอยากจะเข้ากับเธอให้ดีจริงๆ นะ เพราะต่อไปพวกเราจะเป็พี่สะใภ้น้องสะใภ้กัน เงยหน้าก็เห็น ถ้าสนิทกันไม่ดีทุกคนก็ลำบาก”
“เื่นี้น่ะเหรอ” สวี่จือจือยิ้ม “ขอโทษด้วย พวกเธอไม่ได้มาอยู่บ้านตระกูลลู่ของพวกเรานี่ เพื่อนบ้านกันธรรมดาฉันก็ไม่มีอะไรต้องลำบาก”
อะไรที่ว่าไม่ได้มาอยู่บ้านตระกูลลู่? อันฉินงุนงง
แต่สวี่จือจือไม่มีอารมณ์จะอธิบายให้อีกฝ่ายฟัง เธอพาลู่ซืออวี่กลับบ้านไป
วันนี้โชคดีมาก พวกเธอเจอกระต่ายโง่ตัวหนึ่งบนูเา ตกลงไปในหลุมแล้วออกมาไม่ได้ เลยถูกพวกเธอจับมา
ตอนแรกคิดว่าคืนนี้จะเอามาทำอาหารดีๆ กินกัน แต่พอดูกระต่ายที่จับมาท้องมันดูใหญ่โต น่าจะกำลังตั้งท้องลูกกระต่าย
“จือจือ” เหอเสวี่ยฉินเห็นกระต่ายอ้วนๆ ที่ถูกมัดไว้ในลานบ้าน ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสพูดกับสวี่จือจือ “ขอปรึกษาอะไรกับเธอหน่อยได้ไหม?”
“ไม่ได้ค่ะ” สวี่จือจือเคี้ยวลูกพลับไปด้วย สั่งลู่จิ่งเหนียนไปด้วย “เกล็ดปลาขูดให้สะอาด ครั้งก่อนนายยังทำไม่สะอาดเลย”
ลู่จิ่งเหนียนเหงื่อตก
“สวี่จือจือ ฉันคุยกับเธออยู่นะ ทำไมเธอถึงไร้มารยาทแบบนี้!” เหอเสวี่ยฉินะโด้วยสีหน้าถมึงทึง
“หนูรู้ว่าน้าอยากพูดอะไร” สวี่จือจือโยนก้านลูกพลับที่กินหมดลงในกะละมังที่ลู่จิ่งเหนียนทิ้งเครื่องในปลา แล้วกดน้ำจากบ่อมาล้างมือ สะบัดน้ำสองสามครั้งแล้วพูดว่า “กระต่ายตัวนั้นมันกำลังจะคลอดลูกกระต่าย ไม่งั้นคืนนี้พวกเราคงกินมันไปแล้วค่ะ”
กระต่ายอ้วนในกรงตัวสั่นระริก
“ก็แค่สัตว์ตัวหนึ่ง” เหอเสวี่ยฉินยิ้มแล้วพูด “เธอขายกระต่ายตัวนี้ให้ฉันเถอะ เธอตั้งราคามาเลย”
งานหมั้นวันมะรืนจะได้มีเนื้อเพิ่มอีกจาน
“น้าเหอ” สวี่จือจือปัดเสื้อแล้วหรี่ตามองอีกฝ่าย “ทำไมน้าถึงไม่มีความเห็นอกเห็นใจสักนิดเลยคะ? คิดว่าหนูจะขาดแคลนเงินแค่ไม่กี่บาทของคุณน้าเหรอ?”
“ฉัน...”
“ใช่ค่ะ มันเป็สัตว์ แต่ตอนนี้มันท้องอยู่ น้าจะโหดร้ายแบบนี้ได้ยังไง?” สวี่จือจือมองเหอเสวี่ยฉินอย่างใ
เพื่อให้งานหมั้นของโจวเป่าฉิงดูดี แม้แต่คุณธรรมพื้นฐานยังไม่มี น่ากลัวเกินไปแล้ว!
เหอเสวี่ยฉินไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอคิดว่าเป็เื่เล็กๆ กลับทำให้สวี่จือจือมองเห็นนิสัยของเธอชัดเจนยิ่งขึ้น
นี่คือคนที่ไม่มีเส้นแบ่งคุณธรรม
“โหดร้ายอะไร?” เหอเสวี่ยฉินชี้กระต่ายด้วยความโมโห “นี่มันแค่สัตว์ ่ปีที่ลำบากกินข้าวไม่ได้ แม้แต่หนูในที่นาก็ยังจับมากินกันได้ แค่กระต่ายตัวเดียว จะกินไม่ได้ยังไง?”
“กระต่ายที่น้าหามาเอง จะกินยังไงก็กินไป” สวี่จือจือพูด “แต่นี่กระต่ายของหนู หนูจะเลี้ยงมัน”
“ฉันเป็ญาติผู้ใหญ่ของเธอ” เหอเสวี่ยฉินะโ “แล้วยังเป็แม่สามีเธอด้วย เธอ...เธอจะมาเถียงฉันแบบนี้ได้ยังไง!”
“แม่สามี?” สวี่จือจือยิ้ม “แม่สามีหนูยังฝังอยู่ในสุสานหมู่บ้านเราอยู่เลย น้าเหอกำลังพูดเพ้อเจ้ออะไรคะ?”
“กระต่ายตัวนี้ เธอไม่คิดจะให้ฉันใช่ไหม?” เหอเสวี่ยฉินถาม
“หนูจะเลี้ยงมันค่ะ”
.............................