ิอวี่ไม่ได้คาดเดาผิดเลย
เขาก็คือหนึ่งในศิษย์ชั้นยอดของซ่งหยวนหยวน “หลิวฉี่หลิง”
หลิวฉี่หลิงมีความสามารถขอบเขตอมฤตขั้นที่สาม ก่อนหน้านี้ที่ิอวี่กลืนเพลิงสีม่วงกลั่นกระดูกตอนที่ไหว้ครู เขามองิอวี่แบบขัดหูขัดตาตลอด ผ่านมาประมาณหนึ่งถึงสองเดือนแล้ว เขาก็ได้มาเจอิอวี่อีกครั้ง สายตาของเขานั้นก็ยังดูถูกดูแคลนเหมือนเดิม
เมื่อสองวันก่อน เขาได้รับคำสั่งมาจากซ่งหยวนหยวนว่าอีกสองวันมีเื่จะประกาศต่อหน้าศิษย์ทุกคน ให้มารวมตัวกันที่หน้าตำหนักเมฆาเพลิง
เดิมหลิวฉี่หลิงนั้นตื่นเต้นมาก เพราะจะได้เจอศิษย์ชั้นยอดขั้นสูงสามคนที่แทบไม่เคยได้เห็นเลย ดังนั้นเขาเลยมาที่ตำหนักเมฆาเพลิงพร้อมกับศิษย์คนอื่นก่อนเวลาประมาณครึ่งชั่วยาม
แต่ที่คิดไม่ถึงเลยก็คือ ศิษย์ชั้นยอดขั้นสูงสามคนยังมาไม่ถึง พวกเขาก็เลยต้องรอ
ซ่งหยวนหยวนที่อยู่ด้านในตำหนักเห็นิอวี่ยังไม่มาสักที นางคิดว่าควรให้ิอวี่มาถึงก่อนที่ศิษย์ชั้นยอดขั้นสูงสามคนจะมาถึงจะได้ประทับใจ ก็เลยสั่งให้หลิวฉี่หลิงไปตามิอวี่มาก่อน ดังนั้น หลิวฉี่หลิงถึงได้มาหาิอวี่
พูดแล้วหลิงฉี่หลิงก็รู้สึกว่าหมดคำพูดทีเดียว
ถึงแม้ิอวี่จะพอมีฝีมือ อดทนเก่ง ชอบเล่นลูกไม้ เล่นตุกติกเก่งกว่าคนทั่วไปนิดหน่อย แต่เพราะเขาขโมยไข่ัมาได้ ก็เลยอวยเขามากขนาดนี้เลยอย่างนั้นหรือ?
บ้าไปแล้วแน่ๆ ... ชอบทำเื่ลับหลัง ไม่อาศัยความสามารถของตัวเองยังถือเป็ลูกผู้ชายได้อีกหรือ?
จำได้ว่าครั้งที่แล้วิอวี่มาสาย อาจารย์ก็อดทน ครั้งนี้ พวกเขามาถึงก่อน อาจารย์ยังให้เขามาตามิอวี่อีก
เหอะๆ ิอวี่เป็ใครถึงจะต้องให้เขามาตามแบบนี้?
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าอาจารย์เรียกิอวี่มาทำไม แต่หลิวฉี่หลิงยังรู้สึกว่าไม่สบอารมณ์ ทำไมซ่งหยวนหยวนถึงได้ให้ความสำคัญและเอ็นดูิอวี่ั้แ่แรกเริ่ม แต่กลับเ็ากับคนที่มีความสามารถแข็งแกร่งมากกว่าอย่างเขา?
พูดตามตรง บางครั้งหลิวฉี่หลิงนั้นรู้สึกว่า “มีความสามารถแต่ไม่มีโอกาสแสดงฝีมือ” มันเหมาะมากกับตัวเขา
“ได้ เราจะออกเดินทางกันเดี๋ยวนี้แหละ”
ิอวี่ไม่ได้สนใจท่าทีของหลิวฉี่หลิงเท่าไร เพราะกำลังจะไปทำภารกิจแล้ว เขาก็ไม่อยากจะไปสนใจอะไรมากมาย
เขาขึ้นขี่เ้าวิหคัปีกมืดแล้วบินขึ้นท้องฟ้าไปเลยทันที
เิหยูเยียนเองก็ตามไปติดๆ นางยังไม่ได้มอบของขวัญให้กับิอวี่ นางไม่อยากรออีกสองเดือนตอนิอวี่กลับมาแล้วค่อยให้
ไม่นาน ทั้งสามคนก็บินทะลุเมฆไปที่ตำหนักเมฆาเพลิงอย่างรวดเร็ว
บนท้องฟ้า หลิวฉี่หลิงหันหลังกลับมามองิอวี่ เลยถามขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “เ้าทะลวงระดับขอบเขตอมฤตขั้นที่สองแล้วหรือ?”
จำได้ว่าเมื่อหลายเดือนก่อน ิอวี่ยังมีขอบเขตอมฤตขั้นที่หนึ่งอยู่เลย
“อือ”
ิอวี่ตอบกลับมาคำเดียว พูดตามตรงเลย เขาไม่ได้อยากจะไปสนใจอะไรศิษย์พี่คนนี้ของเขามากนัก เขารู้สึกได้ว่าอนาคตหลิวฉี่หลิงอาจจะกลายเป็ศิษย์น้องของเขาก็ได้ ถ้าเช่นนั้น เขาเองก็ไม่ได้จำเป็ต้องทำท่าทางเกรงใจอะไร แค่รักษามารยาทก็พอแล้ว
คำตอบรับของิอวี่ ทำให้หลิวฉี่หลิงมองว่ามันดูไม่เคารพเขาเลย
“น้ำเสียงของเ้า ข้าคิดว่าเ้าถือดีมากนะ”
หลิวฉี่หลิงอดส่ายหัวไม่ได้ เขาพูดว่า “เ้าพัฒนาไปได้เร็วมากก็จริง แต่เ้าต้องรู้นะ เส้นทางในการฝึกมันยังอีกยาวไกลและมันก็ลำบากมากด้วย หากทำแค่ฝึกพลังฝีมือก็จะทำให้พื้นฐานของเ้ามันเลื่อนลอย อย่าคิดว่าตอนนี้เ้ามีขอบเขตอมฤตขั้นที่สองนะ คิดอยากจะไปถึงขอบเขตอมฤตขั้นที่สามเหมือนข้า เ้าอาจจะต้องใช้เวลาสักสามหรือห้าปี ไม่อย่างนั้นเ้าทำไม่ได้หรอก”
ิอวี่ยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบอะไรเขา
เขาไม่อยากจะไปเถียงอะไร คำพูดไร้สาระพวกนี้แค่ฟังผ่านหู เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาก็พอ
เห็นิอวี่ไม่ได้ตอบอะไรเขา หลิวฉี่หลิงก็ไม่พอใจอย่างมาก เขาพูดเื่การฝึกตลอดทางไม่หยุด เล่าเื่ปัญหาที่เขาประสบมาจากการฝึกทุกอย่าง ิอวี่ฟังจนหูชาไปหมด
ในที่สุด สายตาของิอวี่ก็เห็นตำหนักสีแดงเพลิงขนาดใหญ่ตรงหน้า
สายตาของเขาเป็ประกาย รู้สึกว่าได้รับการปลดปล่อยแล้ว
เขาสั่งเ้าวิหคัปีกมืดบินลอยลงไปด้านล่างก่อนหลิวฉี่หลิงอย่างสบายๆ หลังจากหาที่ทางให้เ้าวิหคัปีกมืดอยู่เรียบร้อยแล้ว เิหยูเยียนเองก็หาที่ทางให้เ้ากระเรียนขาวเหมือนกัน จากนั้นก็เดินเข้าตำหนักเมฆาเพลิงพร้อมกัน
หลิวฉี่หลิงมองเห็นทุกอย่าง สายตาของเขานั้นกลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
แต่เขาก็เร่งเดินตามไปเข้าไปในตำหนักเมฆาเพลิงติดๆ
พอิอวี่เดินเข้าไปในตำหนักเมฆาเพลิง ก็เห็นซ่งหยวนหยวนนั่งอย่างงามสง่าอยู่บนที่นั่ง ด้านขวามือของนางมีศิษย์ชายและหญิงสองคนยืนอยู่
รวมกับหลิวฉี่หลิงที่เข้ามา ก็จะกลายเป็ชายสามหญิงหนึ่ง พวกเขาแต่ละคนมีความสามารถขอบเขตอมฤตขั้นที่สาม
ิอวี่จำได้ว่า ในงานไหว้ครู ชายสามหญิงหนึ่งก็ยืนอยู่ทางด้านขวามือแบบนี้เหมือนกัน ตอนนั้นพวกเขาใช้ลมปราณข่มเขาเอาไว้ ทำให้เขารู้สึกอึดอัดมาก
ในเวลานี้ ทุกคนรวมไปถึงหลิวฉี่หลิงด้วยก็ปล่อยลมปราณข่มพวกิอวี่เหมือนเดิม แต่ที่แตกต่างกันก็คือ ิอวี่ในเวลานี้รู้สึกสบายมาก
ถึงแม้เขาจะมีแค่ขอบเขตอมฤตขั้นที่สอง แต่ตอนนี้เขาก็ใกล้เคียงกับขอบเขตอมฤตขั้นที่สองระดับสูงสุดแล้ว!
พื้นฐานร่างกายของิอวี่นั้นดีมาก แล้วยังได้ดูดลมปราณตัวอ่อนกับจิติญญาั รวมถึงยังเรียนรู้กระบวนท่าสังหารที่บ้าคลั่งของโลหิตัคชสารมาด้วย
มีความสามารถแบบนี้ แล้วจะเทียบกับเมื่อก่อนได้อย่างไรกัน?
“เ้ามาแล้วหรือ”
เมื่อเห็นิอวี่ปรากฏตัว ซ่งหยวนหยวนก็ยิ้มแล้วพยักหน้า เมื่อคืนหลังจากที่นางไปประชุมกับผู้บริหารระดับสูงแล้วก็กลับมาฝึกวิชาที่ตำหนักเมฆาเพลิงตลอดจนกระทั่งเช้าวันนี้
ถึงแม้จะยังไม่ถึงเวลานัดหมาย แต่เมื่อเห็นิอวี่ปรากฏตัวแล้ว ซ่งหยวนหยวนก็รู้สึกดีใจไม่น้อย
สิ่งที่ทำให้ซ่งหยวนหยวนประหลาดใจมากที่สุดก็คือ แค่สามวัน พลังฝีมือของิอวี่เหมือนจะก้าวหน้าไปอีก ถึงแม้สีหน้าของเขาจะเรียบเฉย แต่ดวงตาของมันแฝงไปด้วยประกายและความเฉียบคม
ซึ่งคนปกติยากที่จะแยกออก แต่มันก็หนีสายตาของซ่งหยวนหยวนไปไม่พ้น
“อือ อาจารย์ ศิษย์ชั้นยอดขั้นสูงอีกสามคนของท่านล่ะขอรับ?” ิอวี่ไม่ได้อยากจะพูดอะไรมากมาย ตอนนี้เขาอยากจะรีบไปทำภารกิจเท่านั้น
เมืองสุขาวดี หญิงสาวของเผ่าิญญา ...
หลังจากนี้เขาจำเป็จะต้องทำภารกิจให้สำเร็จ!
“อีกไม่นานพวกเขาก็จะมาถึงกันแล้ว หลายวันที่ผ่านมา เ้าเตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง?” ซ่งหยวนหยวนถาม
ิอวี่ยกมือคำนับ แล้วตอบกลับไปอย่างหนักแน่นว่า “เตรียมพร้อมมาอย่างดีขอรับ ภารกิจในครั้งนี้ ข้าจะไม่ทำให้อาจารย์ต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”
“ดีมาก”
ซ่งหยวนหยวนยิ้มอย่างพอใจ คำตอบของิอวี่นั้นไม่ได้มีความลังเลใจเลย เด็ดขาดอย่างมาก ซ่งหยวนหยวนเชื่อว่า ิอวี่จะสามารถช่วยเหลือศิษย์ชั้นยอดอีกสามคนในการทำภารกิจในครั้งนี้อย่างแน่นอน และสามารถทำภารกิจลุล่วงไปจนเป็ผลสำเร็จ
“เดี๋ยวก่อนนะ ... ”
ในเวลานี้เองก็มีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้น ที่มาของเสียงนั้นเป็ของหลิวฉี่หลิงนั่นเอง
หลิวฉี่หลิงขมวดคิ้วแล้วมองมาที่ิอวี่ จากนั้นก็ชี้ไปที่เขาแล้วพูดกับซ่งหยวนหยวนด้วยความสงสัยว่า “เขา? ภารกิจอะไรกัน? อาจารย์ ข้าไม่เข้าใจความหมายของท่านเลยขอรับ”
คนที่ไม่เข้าใจยังมีศิษย์ชั้นยอดอีกสามคนด้วย
ตอนที่พวกเขาได้รับการแจ้งก็เดินทางมาด้วยความตื่นเต้น รู้สึกว่าอาจารย์อาจจะมอบหมายภารกิจอะไรให้กับพวกเขา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าในภารกิจนี้จะมีิอวี่มาเข้าร่วมด้วย?
ซ่งหยวนหยวนส่ายหน้า นางมองไปที่ทุกคนแล้วอธิบายอย่างใจเย็นว่า “ที่เรียกพวกเ้ามากันในวันนี้ ที่จริงข้ามีเื่จะบอกกับพวกเ้าทุกคน”
“เพราะิอวี่เป็ตัวแทนของสายเลี่ยนเหยียนไปขโมยไข่ัมาจากสนามรบร้างโบราณมาได้ สร้างชื่อเสียงให้กับพวกเราอย่างมาก ดังนั้นข้าถึงได้ตัดสินใจ ให้ิอวี่ติดตามศิษย์ชั้นยอดขั้นสูงทั้งสามคนไปทำภารกิจในครั้งนี้ เื่นี้ข้าจะต้องพูดต่อหน้าพวกเ้าทุกคน หวังว่าพวกเ้าจะเข้าใจความคิดของข้า”
ซ่งหยวนหยวนทำแบบนี้ ก็หวังว่าจะไม่มีใครเอาเื่นี้ไปพูดกันลับหลัง หาทางให้ิอวี่ได้ไปทำภารกิจนี้ได้อย่างเปิดเผย ไม่อย่างนั้นคนอื่นอาจจะคิดว่าิอวี่แอบไปทำภารกิจนี้ลับหลังคนอื่น ซึ่งมันไม่ยุติธรรม
“เขา ... เขาน่ะหรือ? เดี๋ยวนะ ... อาจารย์ท่านคิดดีแล้วเหรอถึงได้พูดแบบนี้ออกมา มันหมายความว่าอย่างไรกัน?”
หลิวฉี่หลิงรู้สึกหัวร้อนขึ้นมา น้ำเสียงที่เขาพูดรู้สึกกระโชกโฮกฮากมาก ก่อนหน้านี้เขายังรู้สึกสงสัยอยู่เลยว่าทำไมซ่งหยวนหยวนถึงให้เขาไปตามิอวี่มา เหอะๆ ที่แท้ซ่งหยวนหยวนก็คิดเอาไว้แล้วว่าจะให้ิอวี่ไปร่วมภารกิจในครั้งนี้!
“คำพูดของข้า จำเป็ต้องพูดซ้ำด้วยอย่างนั้นหรือ”
เมื่อโดนเถียงกลับ การพูดจาดีๆ กับศิษย์ของนางอย่างอ่อนโยนก็กลายเป็มีอารมณ์โกรธเล็กน้อย
น้ำเสียงของหลิวฉี่หลิงเลยอ่อนลงไปมาก เขารู้ตัวว่าไม่สามารถทำอะไรได้เมื่ออยู่ต่อหน้าอาจารย์ เลยพูดอย่างใจเย็นลงว่า “นั่นก็หมายความว่า เราจะต้องไปทำภารกิจกับเ้านี่หรือ?”
หลิวฉี่หลิงรู้สึกแย่มาก บางครั้ง เขารู้สึกเหมือนซ่งหยวนหยวนวางลำดับความสำคัญสลับกัน
ิอวี่ไม่คู่ควรกับการทำภารกิจร่วมกับพวกเขาเลย
“เ้าพูดไม่ถูก”
ซ่งหยวนหยวนพูดต่อ แต่มันกลับทำให้พวกของหลิวฉี่หลิงแทบประสาทกิน “เพราะภารกิจในครั้งนี้มันลับมาก ไม่เหมาะที่จะทำกันหลายคนเกินไป ดังนั้นข้าถึงเลือกแค่ิอวี่คนเดียว”
“อะไรนะ?”
หลิวฉี่หลิงตะลึงสุดๆ ศิษย์ชั้นยอดด้านหลังอีกสามคนเองก็ตะลึงเหมือนกัน จากนั้นทั้งหมดก็มองไปที่ิอวี่!
พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลย ซ่งหยวนหยวนตัดสินใจอะไรได้น่าเกลียดขนาดนี้
“ข้าไม่ยอม”
หลิวฉี่หลิงกำหมัดแน่น เขาอดทนมาหลายครั้ง แต่ิอวี่กลับบีบจนเขาจนมุม ถ้าเช่นนั้น เขาก็ไม่จำเป็ต้องอดทนอีกต่อไป!
หลิวฉี่หลิงโกรธมาก!
ิอวี่มองไปที่หลิวฉี่หลิง แล้วค่อยๆ ขมวดคิ้ว
ซ่งหยวนหยวนที่นั่งอยู่บนแท่นเก้าอี้สูงกลับยิ้ม นางคิดไว้แล้วว่าจะต้องเป็แบบนี้ นางมองไปที่พวกที่อยู่ด้านหลังของหลิวฉี่หลิงแล้วพูดว่า “พวกเ้าเองก็ไม่ยอมรับเหมือนกันใช่ไหม?”
ศิษย์ชั้นยอดอีกสามคนมองหน้ากันครู่หนึ่งจากนั้นก็ส่ายหน้า ล้อเล่นน่า พวกเขาจะไปยอมรับกันได้อย่างไร ิอวี่ก็เป็แค่ผู้กล้าขอบเขตอมฤตขั้นที่สอง จะมาเทียบกับผู้กล้าขอบเขตอมฤตขั้นที่สามอย่างพวกเขาได้อย่างไร
“ในเมื่อพวกเ้ายึดถือความสามารถเป็หลัก อาจารย์ก็จะเป็พยานให้กับพวกเ้าที่นี่”
ซ่งหยวนหยวนยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเ้าส่งตัวแทนที่มีความสามารถแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มมาหนึ่งคน แล้วประลองกับิอวี่สามกระบวนท่า หากิอวี่ไม่สามารถต้านการโจมตีของพวกเ้าได้ ถ้าอย่างนั้น โอกาสในครั้งนี้ข้าก็จะเลือกให้กับคนใดคนหนึ่งในกลุ่มของพวกเ้า ดีไหม?”
ที่จริงซ่งหยวนหยวนนั้นรู้อยู่แล้วว่าศิษย์ชั้นยอดของนางไม่พอใจในตัวของิอวี่ นางสั่งให้พวกเขามารวมตัวกันที่นี่ ก็เพื่อให้โอกาสิอวี่ได้พิสูจน์ความสามารถของตัวเอง
ในขณะเดียวกันก็เป็การทดสอบิอวี่ไปในตัวด้วย
เพราะสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ซ่งหยวนหยวน้าเห็นความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของิอวี่ด้วยตาตัวเองเท่านั้น ถึงจะวางใจให้เขาไปทำภารกิจ
“ตกลง!”
ซ่งหยวนหยวนพูดจบ หลิวฉี่หลิงก็พูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น เขาเดินก้าวมาข้างหน้าในทันที แล้วหันไปถามสามคนด้านหลังว่า “พวกเ้าคิดว่ามีใครสู้ข้าได้ไหม?”
ทั้งสามคนส่ายหน้า
แน่นอน หลิวฉี่หลิงคือคนที่มีความสามารถแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มพวกเขา มีความสามารถขอบเขตอมฤตขั้นที่สาม มีลมปราณที่แข็งแกร่งอย่างมาก อีกไม่ถึงครึ่งปี เขาก็น่าจะสามารถไปถึงขอบเขตอมฤตขั้นที่สามระดับสูงสุดได้แล้ว
ความสามารถแบบนี้ อีกสามคนที่เหลืออย่างไรก็ต้องหลีกทางให้ ไม่มีใครกล้ามีปัญหา
“เหอะๆ ถ้าอย่างนั้นก็ออมมือให้แล้วล่ะนะ”
หลิวฉี่หลิงยิ้มอย่างมั่นใจ จากนั้นก็หันมามองิอวี่ แล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เ็าว่า “น้องชาย เ้ากล้าที่จะรับคำท้าของข้าหรือเปล่า?”
ระหว่างที่พูด ปลายตาของหลิวฉี่หลิงก็เหลือบมองไปที่เิหยูเยียนที่อยู่ข้างิอวี่ เขาพบว่านางเหมือนจะใจึงเอามือปิดปากเอาไว้ ดูท่า คงกังวลแทนเ้าบ้าิอวี่อยู่เป็แน่? ถ้าอย่างนั้นวันนี้ข้าก็จะให้เ้าเสียหน้าต่อหน้านาง ให้เ้ารู้ว่าอะไรคืออำนาจที่แท้จริง
พอคิดได้แบบนี้ เขาก็ยิ้มที่มุมปาก
แต่เขากลับไม่รู้เลยว่า ที่เิหยูเยียนเอามือปิดปากนั้น ไม่ได้ใเป็กังวลอะไรเลย แต่นางขำกับท่าทางของหลิวฉี่หลิงมากกว่า ...
