“สวัสดีทุกๆ คน ผมคือโจวเฉิงหัวหน้าครูฝึกของพวกคุณ การฝึกทหารครั้งนี้ คณะผู้ฝึกทั้งหมดโดยมีผมเป็ผู้นำการฝึกจะดำเนินการฝึกทหารให้แก่ทุกคนเป็เวลาสองสัปดาห์...”
“ณ ที่แห่งนี้ พวกเราคณะผู้ฝึกหวังว่านักศึกษาต้องทำได้ดังนี้ : แิการฝึกทหารที่ถูกต้อง เอาชนะความกลัวที่จะลำบากและความกลัวที่จะเหนื่อย พิชิตความหนักไม่เอาเบาไม่สู้ของพวกคุณ พัฒนาปณิธาณของพวกคุณ คิดว่าการฝึกทหารครั้งนี้เป็บททดสอบที่แท้จริง! ทำตามคำสั่ง เชื่อฟังผู้สั่งการ และต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัดให้ได้! เคารพวินัยการฝึกทหาร สร้างแิด้านวินัยให้แข็งแกร่ง!”
สิ่งที่กล่าวก่อนหน้านี้ก็คือถ้อยคำตามธรรมเนียมมากมายก่ายกองเช่นกัน
อาจเป็เพราะความน่าเกรงขามของโจวเฉิงแข็งแกร่งเหลือเกิน แม้เสียงของเขาไม่ได้ดังมากนัก ทว่าไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้ากระซิบกระซาบกันแม้แต่คนเดียว จึงได้ยินเสียงของโจวเฉิงชัดถ้อยชัดคำเหลือเกิน
ต่อมาโจวเฉิงเปล่งเสียงดังขึ้น เปิดการใช้งานรูปแบบคำถามเชิงโวหาร เพื่อให้มีการตอบโต้กับเหล่านักศึกษาใหม่
“พวกคุณทุกคนคือนักศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัยหัวชิง เป็กลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยผู้เป็เลิศที่สุดของประเทศ สามารถปฏิบัติสิ่งเหล่านี้ระหว่างการฝึกฝนได้หรือไม่ ถ่อมตนใฝ่รู้ ไม่อายที่จะอ่อนน้อมขอคำชี้แนะจากผู้ด้อยกว่า ตั้งใจกล่าวทุกคติพจน์ในการฝึก ปฏิบัติทุกท่วงท่าของการฝึกอย่างจริงจัง แสดงความสง่างามของนักศึกษาออกมาอย่างเต็มที่ แสดงคุณลักษณะอันพึงประสงค์โดยรวมของนักศึกษามหาวิทยาลัยหัวชิงได้หรือไม่? บอกผม พวกคุณทำได้ไหม?!”
ต่อให้ทำไม่ได้ ก็ไม่มีใครยอมรับอยู่ดี
วิธีกระตุ้นเช่นนี้ของโจวเฉิงได้ปลุกเร้าจิติญญาแห่งการต่อสู้ของหลายๆ คนขึ้นมา
นักศึกษาหัวชิงไม่เคยขลาดกลัว หากไม่มีอุดมการณ์ ‘สู้ตาย’ ทุกคนจะฝ่าวงล้อมกองทหารนับพันนับหมื่นในการสอบเกาเข่าแบบตัวต่อตัวออกมาได้อย่างไร?
แน่นอน เพราะพวกเขาอาศัยสมอง ไม่ได้ใช้กำลังกาย
พอทอดสายตามองออกไป นักศึกษาชายที่ผ่ายผอมราวก้านปอคือกลุ่มคนส่วนใหญ่
แม้รู้ระดับกำลังกายของตนอยู่แก่ใจ ทว่าปากก็จะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างแน่นอน ความกระตือรือร้นแสนเร่าร้อนถูกปลุกขึ้นมาโดยโจวเฉิง—โจวเฉิงดูอายุไม่มากนัก ในคณะครูฝึกที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาหลายคนยังคงมีกลิ่นอายของหนุ่มวัยรุ่นปะปนอยู่
สิ่งที่โจวเฉิงและเหล่าครูฝึกทำได้ ในเมื่อเป็คนรุ่นราวคราวเดียวกัน พวกเขานักศึกษาใหม่ย่อมทำได้เหมือนกัน!
“ทำได้!”
“ครูฝึก พวกเราทำได้!”
เสียงตอบรับดังประปราย โจวเฉิงทำหน้าขึงขัง “ก่อนมาฝึกไม่ได้กินข้าวหรือไร? เสียงดังหน่อย!”
“ทำได้!”
ในคราวนี้ หลายคนแผดเสียงะโออกมา รวมถึงนักศึกษาหญิงมากมายที่ปกติพูดจานุ่มนวลอ่อนหวาน
“ดี ตอนนี้ฟังคำสั่งของผม นักศึกษาชายทั้งหมดหันขวา นักศึกษาหญิงทั้งหมดหันซ้าย เดินหน้า!”
เป็คำสั่งที่ง่ายเสียขนาดไหน?
ทำไมมีคนแยกไม่ออกกระทั่งซ้ายขวา เซี่ยเสี่ยวหลานและนักศึกษาชายร่วมชั้นคนหนึ่งหันไปในทิศทางเดียวกัน
ต่างคนต่างมองหน้ากัน เซี่ยเสี่ยวหลานเตือนด้วยความหวังดี “สหายอู๋ ดูเหมือนเธอจะหันผิดทางแล้วนะ”
“จริงหรือ?”
เสียงของนักศึกษาอู๋กำลังสั่นเครือ
บ้าเอ๊ย เขาไม่ได้กำมือขวาที่ใช้เขียนหนังสือแน่นเพื่อแยกซ้ายขวาหรอกหรือ ทำไมยังหันผิดทางได้อีก! ตอนจัดแถว เขายืนข้างเซี่ยเสี่ยวหลาน ก็ประหม่ามากพอแล้ว เส้นผมของเซี่ยเสี่ยวหลานยังมีกลิ่นหอมอีก เขายิ่งรู้สึกประหม่า ยิ่งผิดพลาดได้ง่ายกว่าเดิมน่ะสิ!
เซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้า สหาย เธอแยกซ้ายขวาไม่ออกจริงๆ อย่ากระเสือกกระสนอีกเลย
เคราะห์ดี คนที่แยกซ้ายขวาไม่ถูกไม่ได้มีเพียงนักศึกษาอู๋แค่คนเดียว มีทั้งนักศึกษาชายและหญิง ไม่ว่าใครก็อย่าได้หัวเราะเยาะใคร เดิมทีตอนรวมกลุ่มกันยังไม่รู้สึกตัว พอเดินหน้าแยกซ้ายขวา ก็ดูออกได้ทันทีว่าจำนวนรวมนักศึกษาหญิงหัวชิงน้อยกว่านักศึกษาชายยิ่งนัก
ไม่ใช่แค่อัตราส่วน 10 : 1 ระหว่างชายหญิงของสาขาสถาปัตยกรรมที่น่าใ ในสาขาวิชาอื่น สถานการณ์ก็ไม่แตกต่างกันสักเท่าไร
จี้เจียงหยวนยืนอยู่ในกลุ่มนักศึกษาชาย เขาอดที่จะออกความคิดเห็นที่โต้แย้งไม่ได้ “สอบเข้าหัวชิงยาก หาแฟนสาวสักคนในหัวชิงยากยิ่งกว่า สหายทั้งหลาย ดูอัตราส่วนชายหญิงที่น่าในี้สิ ถ้าพวกนายไม่รีบลงมือ ยังจะหาแฟนได้อีกรึ?”
เพื่อนร่วมหอนอนของเขาเป็พวกปากร้ายพอสมควร “ส่วนนายน่ะเริ่มลงมือเร็ว แต่นักศึกษาเซี่ยเธอมีแฟนแล้วสินะ!”
จี้เจียงหยวนสงบปากขึ้นมาในบัดดล
เขาคิดว่าเหมือนตัวเองจะสร้างความวุ่นวายให้สหายเซี่ยเสียแล้ว ภายในมหาวิทยาลัยเกิดข่าวลือบางอย่างที่ไม่ดีต่อสหายเซี่ยมากมายเหลือเกิน
“นักศึกษาชายหญิงทุกคนตั้งใจฟัง แบ่งเป็หมู่เล็กจำนวน 10 คน ทุกหมู่แยกเป็แถวเดี่ยว ให้เวลาพวกคุณ 1 นาที ต้องปฏิบัติภารกิจนี้ให้เสร็จสิ้น!”
การซุบซิบปรึกษาหารือกันเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา โจวเฉิงสั่งให้พวกเขาแบ่งหมู่เอง!
จะแบ่งอย่างไร?
คนสนิทกันย่อมรวมกลุ่มกันเป็ธรรมดา
และคนที่สนิทที่สุดก็คือเพื่อนร่วมหอนอน เพื่อนร่วมชั้นเรียน และเพื่อนร่วมสาขา
แน่นอนว่าเซี่ยเสี่ยวหลานรวมกลุ่มกับพวกซูจิ้ง
เนื่องจากหนิงเสวี่ยก็อยู่ใน ‘ชั้นเรียน’ เดียวกับพวกเธอ ทั้งที่เต็ม 10 คนแล้ว ยังมีคนอื่นอยากเข้ามาร่วมกลุ่มด้วยอีก
ใช่ ห้อง 307 ที่ตัดหยางหย่งหงออกคือ 7 คน เพิ่มหนิงเสวี่ยเข้ามาก็เป็ 8 คน สุดท้ายคนจากห้องพัก 305 ซึ่งอยู่ห้อง 3 เข้ามาร่วม และนักศึกษาหญิงสาขาสถาปัตยกรรมห้อง 2 และ 3 ก็รวมตัวกันเป็หมู่เล็กสำหรับการฝึกทหาร
นักศึกษาหญิงคนหนึ่งจากห้อง 305 มองค้อนเซี่ยเสี่ยวหลานเสียด้วย
ซูจิ้งไม่ยอมทันที “นี่ เธอหมายความว่าอะไรน่ะ อยู่ห้อง 1 ยังอยากจะแทรกเข้ามาอีก?”
หนิงเสวี่ยมีนิสัยไม่เป็มิตรก็จริง ทว่ามันหยุดความนิยมของเธอไม่ได้แม้แต่น้อย การปฏิบัติเช่นนี้เซี่ยเสี่ยวหลานก็เคยได้รับ น่าเสียดายที่มันเป็เื่เก่าในอดีตไปแล้ว
อยากอยู่ใกล้หนิงเสวี่ยไม่ใช่เื่ผิด ทว่าอยากจะกีดกันเซี่ยเสี่ยวหลานออกไป?
ประธานเซี่ยอยากบอกเหลือเกินว่า ไสหัวไป!
โจทย์ที่โจวเฉิงสั่งให้แบ่งหมู่ด้วยตนเองนี้ มันผิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง แทบไม่มีหมู่ไหนทำสำเร็จภายในหนึ่งนาที เซี่ยเสี่ยวหลานยังนึกชื่นชมวิธีการของโจวเฉิงอยู่เลย พอแบ่งเช่นนี้ จำนวนนักศึกษาหญิงหัวชิงมีอยู่น้อยนิด เขาจะมองเห็นเธอได้ทันทีแน่นอน... สายตาของโจวเฉิงกวาดมาทางนี้จริงๆ จากนั้นก็ผละไปอย่างรวดเร็ว
สถานการณ์นี้มันอะไรกัน?
เซี่ยเสี่ยวหลานสงสัยว่าเธอกำลังคบกับแฟนหนุ่มตัวปลอม
เพราะโจวเฉิงไม่เห็นใจคนรักสาวที่อยู่ในกลุ่มนักศึกษาใหม่ฝึกทหารแม้แต่น้อย เนื่องจากการแบ่งหมู่ด้วยตนเองของเหล่านักศึกษาเกินเวลา โจวเฉิงจึงแปลงร่างเป็จอมมารในชั่วพริบตา สั่งทำโทษนักศึกษาชายวิ่งรอบสนาม 10 รอบ นักศึกษาหญิง 8 รอบ!
มีนักศึกษาหญิงงี่เง่าสุดขั้วคนหนึ่งตะลึงมาก “ครูฝึกคะ นี่คุณกำลังเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงอยู่นะคะ คุณไม่เคารพความเท่าเทียมทางเพศสินะ! สิ่งที่ผู้ชายทำได้ พวกเราผู้หญิงก็ทำได้เหมือนกัน! ถูกหรือเปล่า สหายหญิงทุกคน?”
อีกทั้งมีนักศึกษาหญิงที่ขานรับเห็นด้วยกับเธอจริงๆ
โจวเฉิงพยักหน้า “ได้ ถ้าอย่างนั้นนักศึกษาหญิงก็วิ่ง 10 รอบแล้วกัน ในการฝึกฝนร่างกายระหว่างการฝึกทหารของผม ผมจะไม่กระทำความผิดเื่ความเหลื่อมล้ำชายหญิงอีก นักศึกษาหญิงหัวชิงทำให้ผมต้องมองใหม่แล้วจริงๆ !”
ทุกคนแข่งขันกันจนเคยชินแล้ว
ไม่ยอมแพ้ด้านผลการเรียน ด้านการวิ่งก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน
เซี่ยเสี่ยวหลานจะพูดอะไรได้ เธอสงสัยด้วยซ้ำว่าแฟนหนุ่มตัวปลอมของเธอกำลังถือโอกาสกลั่นแกล้ง
สายตาของโจวเฉิงไม่ได้แลเธอเลยั้แ่ต้นจนจบ เซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่คิดทำให้ตนกระอักกระอ่วนเหมือนกัน
โจวเฉิงอารมณ์ไม่ดี?
โจวเฉิงอ่านจดหมายแล้วโกรธ?
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกสับสนงงงวย ในจดหมายเธอก็ไม่ได้เอ่ยถึงการเลิกรานี่นา
ครูฝึกโจวผู้นี้กำลังสำแดงเดช จัดการนักศึกษาใหม่เสียจนยอมศิโรราบ แม้ไม่จำนนก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงท้าทายครูฝึกแล้ว ยกเว้นพวกสมรรถภาพทางกายดีเยี่ยม อย่างเช่นจี้เจียงหยวนที่อยู่ท่ามกลางนักศึกษาชาย และเซี่ยเสี่ยวหลานรวมถึงนักศึกษาใหม่ส่วนน้อยที่มีนิสัยออกกำลังกายในหมู่นักศึกษาหญิง สนามฝึกทหารเป็สนามมาตรฐาน 400 เมตรต่อหนึ่งรอบ 10 รอบก็คือ 4 กิโลเมตร... พวกที่เดิมทีไม่มีนิสัยออกกำลังกาย เมื่อวิ่งไกลขนาดนี้อย่างกะทันหัน ส่วนใหญ่สองรอบสุดท้ายต้องหอบหายใจวิ่งสลับหยุดจนกว่าจะจบสิ้น
ไม่วิ่งไม่ได้นี่นา เหล่าครูฝึกะโอยู่ข้างนักศึกษา ถามพวกเขาว่านักศึกษาหัวชิงมีความสามารถแค่นี้เองหรือ? เพื่อเกียรติของหัวชิง พวกเธอจะยอมแพ้ไมได้!
เซี่ยเสี่ยวหลานปาดเหงื่อ เธอไม่ได้เหนื่อยเพราะวิ่ง เธอเหนื่อยเพราะต้องลากลฺหวี่เยี่ยนวิ่ง น้องสาวรายนี้ร่างกายบอบบางยิ่งนัก ปกติขาดการออกกำลัง พอวิ่งขึ้นมาก็แทบขาดใจน่ะสิ!
มีหลายคนที่ก้มหน้าหอบหนัก คนที่ทรุดร่วงลงกับพื้นไม่ขยับเขยื้อนก็มีไม่ใช่น้อย
“นั่งไม่ได้นะ มิเช่นนั้นพรุ่งนี้ขาจะปวดมากเชียวล่ะ!”
ไม่ไกลจากตรงนี้ โจวเฉิงมีรอยยิ้มบางๆ ไม่แบ่งชายหญิงออกจากกัน เขาก็เห็นเซี่ยเสี่ยวหลานั้แ่แรกกวาดสายตาได้ พอแบ่งแล้วยิ่งชัดเจนมากขึ้น ทว่าก็ไม่ชัดเท่าตอนนี้ เพราะคนอื่นวิ่งจนเหนื่อยล้มพับกันหมดแล้ว ในบรรดาคนที่ยังยืนอยู่กระจัดกระจาย มีเซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ด้วยนั่นเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้