จ้าวซื่อมีความซาบซึ้งและตื้นตันอยู่เต็มหัวใจ กล่าวทั้งน้ำตาว่า “ลูกสาว นั่นเป็เงินที่เป็สินติดตัวยามแต่งงานของเ้า อย่างน้อยเ้าก็ควรเก็บไว้ครึ่งหนึ่ง อย่าเอามาใช้กับครอบครัวจนหมดเลย”
“เงินยังหากลับมาได้เ้าค่ะท่านแม่ ท่านอย่าเอ่ยเื่สินติดตัวกับข้าอีก มันฟังดูวุ่นวายนักเ้าคะ” หลี่หรูอี้ได้ยินคำว่า สินติดตัว ก็ปวดหัวเต็มทน เด็กสาวอายุสิบห้าปีที่นี่พอเข้าปักปิ่น[1] แล้วก็ออกเรือน แต่อายุสิบห้าร่างกายยังเติบโตไม่เต็มที่เลย นางยังไม่อยากแต่งงานตอนยังเด็กแค่นั้น อยู่ในเรือนของตนเช่นนี้ก็ดีมากอยู่แล้ว จะต้องรีบร้อนแต่งไปเรือนผู้อื่นอันใดกัน
“ตอนที่แม่อายุเท่ากับเ้า ท่านยายท่านตาเตรียมสินติดตัวให้แม่ไว้นานแล้ว” จ้าวซื่อเอ่ยถึงตรงนี้ก็เริ่มคิดถึงบิดามารดาที่เสียชีวิตไปแล้ว ที่ยามนี้นางมีชีวิตที่ดีได้จะต้องเป็เพราะบิดามารดาคอยคุ้มครองนางจากบน์เป็แน่
หลี่หรูอี้รู้ว่าสิ่งที่จ้าวซื่อพูดนั้นไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใด ดูอย่างหวังเยี่ยนที่ยังไม่ได้แต่งเข้าบ้านนางจาง เฟิงซื่อก็ยังเริ่มหาสินติดตัวให้หวังเยี่ยนั้แ่นางยังเล็ก ไม้ที่จะเอามาทำเครื่องเรือนต่างๆ นานาก็กองอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินของบ้านหวังมาตั้งหลายปีแล้ว
หลี่ซานรอให้แม่ลูกสองคนพูดคุยกันพอแล้ว จึงวางท่าถามอย่างเคร่งขรึมว่า “ลูกสาว จะไม่ซื้อที่ดินจริงๆ หรือ”
“ท่านพ่อของข้ายังคงนึกถึงที่ดินอยู่อีกหรือนี่” หลี่หรูอี้พูดกับจ้าวซื่อประโยคหนึ่ง ก่อนเอ่ยชมไปว่า “แต่จะว่าไป ท่านพ่อก็มีความคิดที่ก้าวหน้าจึงได้ซื้อที่ดินที่ตัวอำเภอฉางผิงเอาไว้ นี่ประไร พวกเราจึงได้ย้ายไปอยู่ที่ตัวอำเภอฉางผิงแล้ว”
คำพูดนี้เตือนสติจ้าวซื่อขึ้นมา นางจึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ใช่แล้ว เดิมทีคิดว่าที่ดินผืนนั้นอยู่ไกลเกินไป แต่ดูไปยามนี้กลับเหมาะสมยิ่งนัก”
หลี่ซานได้รับความเชื่อมั่นจากภรรยาและบุตรสาว จึงเอ่ยด้วยท่าทีได้ใจขึ้นมาเล็กน้อยว่า “นี่ก็คือโชคชะตาอย่างไรเล่า”
หลี่หรูอี้เห็นด้วยจึงกล่าวถามขึ้นว่า “ก่อนปีใหม่ยังมีคนขายที่ดินในอำเภอฉางผิงหรือไม่เ้าคะ”
หลี่ซานได้ฟังก็ยิ่งมีอารมณ์ดี เอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “ต้องมีแน่นอน”
“เช่นนั้นท่านก็หาเวลาไปสอบถามสักหน่อย หากมีที่ดินที่เหมาะสมในอำเภอฉางผิง ก็ซื้อเสียเลยนะเ้าคะ”
จ้าวซื่อกำชับว่า “พี่ซาน ครานี้พวกเราต้องตกลงกันให้เรียบร้อยก่อนนะว่า ท่านจะซื้อที่ดินในรัศมีเพียงห้าลี้ของอำเภอฉางผิงเท่านั้น ห้ามไกลกว่านั้นเล่า”
“ตกลง!” หลี่ซานหน้าชื่นตาบาน จึงไปทำงานที่โรงเต้าหู้ต่อ
หลี่สือทำงานในโรงเต้าหู้มาพักใหญ่แล้ว เมื่อเห็นว่าหลี่ซานยิ้มหน้าบานซ้ำยังฮัมเพลงพื้นเมืองเข้ามาอีก จึงถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านพี่ เย็นนี้มีของอร่อยกินหรือ”
“ไม่รู้ว่าคืนนี้จะได้กินอะไร” หลี่ซานเอื้อมมือออกไปตบไหล่กว้างของหลี่สือที่อยู่สูงกว่าตัวของเขาเสียอีก พลางเอ่ยอย่างภาคภูมิว่า “วันพรุ่งนี้ข้าจะไปที่ตัวอำเภอฉางผิงสักหน ข้าจะไปซื้อที่ดินให้ครอบครัวเรา เอาที่นาดีๆ”
พ่อลูกบ้านอู่พากันเข้ามาแสดงความยินดี
“ยินดีด้วยขอรับนายท่าน”
“มิน่าเล่าวันนี้นกมงคลจึงเอาแต่ส่งเสียงร้องอย่างไพเราะไม่หยุดหย่อน ที่แท้เพราะนายท่านมีเื่น่ายินดีนี่เอง”
อู่อวี๋เหนียนเอ่ยจากใจจริงว่า “ซื้อที่นานั้นดีนัก มีที่นาถึงยามเก็บเกี่ยวจะได้มีข้าวกินจนอิ่มท้อง ไม่อย่างนั้นก็ให้คนเช่าได้ และยังมอบให้ลูกหลานรุ่นต่อไปได้ด้วย นายท่านช่างปราดเปรื่องจริงๆ”
หลี่ซานหาผู้ร่วมอุดมการณ์พบแล้วจึงยิ้มไม่หุบ แล้วบอกกับพ่อลูกสกุลอู่อีกว่า “วันพรุ่งนี้ข้าไม่อยู่ พวกเ้าต้องเหนื่อยหน่อย ทำงานในโรงเต้าหู้ของเราให้ดีๆ เล่า”
ทุกคนพากันตอบรับอย่างพร้อมเพรียง “ขอรับ”
ในโถงใหญ่ จ้าวซื่อหน้าตาแช่มชื่นจนคิ้วแทบเต้นระบำได้กำลังหารือกับหลี่หรูอี้ เื่ซื้อเรือนใหม่ในอำเภอฉางผิง
หลี่หรูอี้บอกว่า “ดีที่สุดคือซื้อที่ดินเ้าค่ะ แล้วเราก็หาคนมาสร้างเรือน อยากสร้างแบบใดก็สร้างแบบนั้นเ้าค่ะ”
ที่นี่มีกำลังคนมากมาย จะขาดก็แต่เงินทอง ยามนี้นางมีเงินทองในมือแล้ว ไม่ว่าเื่ใดก็จัดการได้ง่ายดายทั้งสิ้น
จ้าวซื่อถามว่า “เรือนของเรายามนี้มีบ่อน้ำ ลานหลังบ้านมีแปลงผัก และยังไม่ไกลถนนหลวง นับว่าดีมาก เ้าอยากจะสร้างเรือนเช่นใดหรือ”
“บ้านเรามีคนมาก ข้าอยากสร้างเรือนใหญ่ที่มีชั้นนอกในห้าชั้น ดังนี้แล้ววันหน้าเมื่อพวกพี่ชายแต่งงานจะได้อยู่กันพอ” หลี่หรูอี้คิดในใจว่า ส่วนพวกน้องชาย เพราะพวกเขายังเล็กเกินไป ไม่แน่ว่าผ่านไปสักสิบกว่าปี ครอบครัวเราอาจได้ย้ายไปที่ตัวเมืองเยี่ยน ถึงยามนั้นค่อยสร้างเรือนที่ใหญ่กว่านี้
จ้าวซื่อยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ยามนี้เรือนของเรามีแค่หนึ่งชั้นก็พออยู่อาศัยกันแล้ว ต่อให้พี่ๆ ของเ้าแต่งงานก็ยังใช้คฤหาสน์หลังใหญ่ที่มีชั้นในนอกห้าชั้นไม่หมดเลย”
หลี่หรูอี้คิดอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวขึ้นว่า “เอาเช่นนี้ดีหรือไม่เ้าคะ ข้าจะวาดแบบให้ท่านแม่และท่านพ่อดูก่อน หากพวกท่านเห็นด้วย ข้ากับพวกพี่ๆ จะให้ลุงหวังสร้างให้เ้าค่ะ”
“จะไม่ซื้อบ้านสร้างเสร็จและตัดสินใจว่า พวกเราจะสร้างเรือนเองจริงๆ หรือ”
จ้าวซื่อหลักแหลมกว่าหลี่ซานมากนัก จึงสามารถสนับสนุนความคิดมากมายของหลี่หรูอี้ได้
หลี่หรูอี้เอ่ยอย่างเปิดใจว่า “อืม... ครั้งที่ข้าไปที่จวนเจียงก็ไปดูมาแล้ว รอบๆ นั้นล้วนเป็ป่า ห่างออกไปหนึ่งลี้จึงมีหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ในหมู่บ้านนั้นไม่มีบ้านเรือนขนาดใหญ่ ล้วนเป็เรือนเตี้ยๆ ที่มีลานหน้าเรือนหนึ่งชั้น ไม่มีเรือนสร้างเสร็จที่เข้าทีเ้าค่ะ”
จ้าวซื่อเข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นมาทันใด กล่าวว่า “ที่แท้เ้าก็วางแผนไว้แต่แรกแล้ว”
“เ้าค่ะ การค้าของครอบครัวเราดีเพียงนี้ ข้าจึงเริ่มคิดเื่นี้มาั้แ่เดือนก่อนแล้วเ้าค่ะ” เดิมทีหลี่หรูอี้อยากใช้เงินที่ได้จากการค้าย้ายครอบครัวเข้าไปอยู่ในตัวอำเภอฉางผิง แต่นึกไม่ถึงว่าเมื่อนางใช้วิชาแพทย์ที่มีไปรักษาท่านชายแห่งจวนเยี่ยนอ๋องจนหาย จะได้รับเงินทองจำนวนมหาศาลและทำให้เื่นี้เป็จริงได้เสียที
“ลูกสาว นึกไม่ถึงว่าในวันที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ แม่จะได้ย้ายไปอยู่ที่ตัวอำเภอด้วยความสามารถของเ้า”
“ท่านแม่ ท่านต้องระวังสุขภาพให้มาก ไว้พี่ๆ สอบได้ ได้เป็ขุนนาง จากนั้นก็ไปซื้อเรือนในตัวเมืองเยี่ยน ท่านก็จะได้ย้ายไปอยู่ในตัวเมืองเยี่ยนด้วยนะเ้าคะ”
น้ำเสียงของจ้าวซื่อเปี่ยมด้วยความห่วงใย เอ่ยเสียงละมุนว่า “เ้าอายุยังน้อยนัก แต่ความคิดอ่านเป็ผู้ใหญ่เกินตัว แม่มีเ้าเป็ลูกสาวที่แสนดีจริงๆ”
“เ้าค่ะ” หลี่หรูอี้คิดในใจว่า หลังจากย้ายไปอยู่ที่ตัวอำเภอฉางผิง จะตั้งใจทำการค้าหาเงินไปจนพวกพี่ๆ สอบได้บัณฑิตชั้นจวี่เหรินทีเดียว
จ้าวซื่อบอกว่า “ก่อนปีใหม่มีงานยุ่งยิ่งนัก แม่ว่าไว้หลังปีใหม่ค่อยว่ากันอีกที”
“ท่านแม่ ข้าก็คิดเช่นนั้นเ้าค่ะ” ตอนที่หลี่หรูอี้ยิ้มหางตาของนางชี้ขึ้นไปเหมือนจิ้งจอกน้อยที่กำลังได้อกได้ใจ
จ้าวซื่อได้ยินเสียงทารกร้องไห้ คิ้วงามของนางขมวดเข้าหากันทันที ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปยังห้องนอนที่อยู่ติดกัน “แย่แล้ว แม่ดีใจจนลืมให้น้องชายเ้ากินนม”
หลี่หรูอี้หยิบตำราแพทย์ออกไปจากโถงกลางและกลับเข้าไปในห้องนอนของตน เมื่อครู่นางยังไม่ได้ดูของกำนัลที่จวนเยี่ยนอ๋องให้มาอย่างละเอียดเลย
หยกประดับชั้นเลิศหนึ่งคู่ เป็หยกเหอเถียน[2] ชั้นยอด มีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือเด็ก มีเชือกถักลายเมฆร้อยอยู่บนตัวหยก ทั้งสูงส่งและล้ำค่ายิ่งนัก
หยกประดับชั้นเลิศหนึ่งคู่นี้สามารถใช้เป็เครื่องหมายแทนคำสัญญาได้ ชิ้นหนึ่งให้อีกฝ่าย ส่วนอีกชิ้นเก็บเอาไว้เอง
เครื่องประดับไข่มุกหนึ่งกล่อง กล่องที่ใส่มานั้นเป็กล่องไม้เคลือบสีมันวาว สลักเป็รูปสัตว์ตัวเล็กๆ สูงสามชุ่น ยาวครึ่งฉื่อ เพียงแค่กล่องไม้เคลือบนี้ก็มีราคาสิบกว่าตำลึงเงินแล้ว
เครื่องประดับไข่มุกในกล่องเคลือบมัน มีเครื่องประดับอยู่ราวสิบชิ้น ได้แก่ สร้อยคอ สร้อยข้อมือ ปิ่นขาคู่ ปิ่นขาเดียว ปิ่นอุบะ อย่างละสองชิ้น ซึ่งทำจากไข่มุกเป็หลัก ประดับด้วยทองคำ อัญมณี ไข่มุกกว่าสิบส่วนเป็ไข่มุกทะเล มีสีขาวเงินวาว มีลักษณะทรงกลมเสมอกัน เป็ของชั้นเลิศ สร้อยข้อมือที่เล็กที่สุดก็ยังมีราคาหลายสิบตำลึงเงิน
ผ้าต่วนเนื้อลื่นสิบพับ เป็ผ้าต่วนชั้นเลิศที่ผลิตในเจียงหนาน มีสีแดง ฟ้า น้ำเงิน เขียว และดำ อย่างละสองพับ
ผ้าต่วนเนื้อดีเช่นนี้แม้แต่ในตัวอำเภอฉางผิง ก็ยังหาซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำ มีแค่ร้านผ้าต่วนที่ใหญ่ที่สุดในตัวเมืองเยี่ยนเท่านั้นจึงจะมีขาย หนึ่งพับอย่างน้อยก็มีราคาถึงยี่สิบตำลึงเงิน
นอกจากเงินหนึ่งพันตำลึงเงินแล้ว ครั้งนี้จวนเยี่ยนอ๋องยังมอบหยกประดับ เครื่องประดับมุก ผ้าต่วนที่มีราคารวมกันถึงสองพันสองร้อยตำลึงเงิน จึงเห็นได้ว่า เยี่ยนอ๋องสามีภรรยารักใคร่โจวโม่เสวียนอย่างยิ่ง
“ของกำนัลล้ำค่าเหลือเกิน แต่ด้วยสถานการณ์ของบ้านเรายามนี้ ไม่ควรทำตัวโดดเด่นเกินไป” หลี่หรูอี้เก็บของกำนัลเอาไว้อย่างดี เครื่องประดับมุกก็รอไว้ถึงปีใหม่หรือยามเทศกาลสำคัญค่อยนำออกมาใส่เถิด ส่วนผ้าต่วนชั้นเลิศก็รอไว้วันหลังจึงค่อยตัดเป็เสื้อผ้าแล้วค่อยนำมาสวมใส่ก็แล้วกัน หยกประดับยิ่งต้องรอไว้อีกสองสามปี เพราะคนผู้นั้นของนางยังไม่รู้ว่าอยู่หนใดเลย
วันรุ่งขึ้นฟ้าเพิ่งสว่างรำไร บุรุษร่างสูงใหญ่คนหนึ่งก็ออกไปจากประตูรั้วเรือนบ้านหลี่ เขาเดินไปตามถนนของหมู่บ้านหลี่ ซึ่งเชื่อมถึงถนนหลวงที่มุ่งหน้าไปยังเมืองเยี่ยน
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ปักปิ่น คือ พิธีที่จัดขึ้นเมื่อเด็กสาวอายุครบ 15 ปี บ่งบอกว่าเด็กหญิงกลายเป็สาวแล้ว
[2] หยกเหอเถียน คือ หยกขาวเนื้อดีที่ผลิตในซินเจียง เป็หนึ่งในสี่สุดยอดหยก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้