เมื่อเสร็จสิ้นการร่างเงื่อนไขประเทศเอกราชแล้ว โหยวเสี่ยวโม่ก็ได้ตำราเล่มนั้นมาอยู่ในมือ
โอบอุ้มความหวังที่ถูกห่อหุ้ม เมื่อโหยวเสี่ยวโม่พลิกดูเนื้อหาหน้าแรกเข้าไป ใบหน้ายินดีก็แตกออกเป็เสี่ยงๆ
เพียงแค่หน้าแรกที่มีตัวหนังสือหลายสิบตัวราวกับหนอนดิ้น ลายมือเทพเช่นนี้ทำเอาเขานึกอยากพุ่งตัวเข้าไปหาหลิงเซียวแล้วคำรามเสียงกรอด นี่มัน…อะไรกันเนี่ย? โหยวเสี่ยวโม่ได้แต่คำรามอย่างโกรธเคืองไว้ในใจ
เขาผิดเอง อย่างที่เขากล่าว ทั่วดินแดนหลงเสียงคงมีแค่เขาคนเดียวที่คัดตำราเช่นนี้ออกมาได้
หลิงเซียวกำลังอารมณ์เบิกบานเมื่อเห็นท่าทีแข็งเป็ศพของโหยวเสี่ยวโม่ ก็ถามด้วยความหวังดีว่า “ศิษย์น้อง เกิดอะไรขึ้นรึ?”
หลิงเซียวมองตาหยีสลับกับบทคัดแปลบนมือเขาไปมา ท้ายสุดหยุดมองที่ใบหน้าเขา ทันใดก็เอื้อมมือมากระชากบทคัดแปลกลับไป ฮึ่ม! พร้อมกับเอ่ย “ข้าไม่ได้คัดหนังสือมานาน อีกอย่างอักษรที่ข้ารู้จักก็ต่างกับที่เ้ารู้จัก เ้ายังหวังให้ข้าห่วงใยความรู้สึกเ้าหรือ ถ้าอ่านไม่ออก ก็ไม่ต้องเอาแล้ว ข้าจะบรรยายให้เ้าทีละคำเอง”
โหยวเสี่ยวโม่ตัวเย็นเยือก เขาคิดผิดซะแล้ว
หลิงเซียวแปลให้เขาฟังเอง นั้นหมายความว่า จากนี้ไปพวกเขาต้องอยู่ด้วยกันสักระยะหนึ่งหรือ?
ทว่าพอผ่าน่เช้าไป โหยวเสี่ยวโม่กลับรู้สึกติดใจ
หลิงเซียวอธิบายให้เขาต่อหน้า ดีกว่าพยายามอ่านเองเยอะเลย อย่างน้อยที่สุด พอเจอสิ่งที่ไม่เข้าใจ เขาก็อธิบายให้ฟังได้เลย ถึงแม้จะแทรกคำพูดจิกกัดมาบ้าง แต่ก็ได้ประโยชน์มากโขอยู่
คัมภีร์ิญญา์เป็วิชายุทธ์ขั้นสูง การมีวิชายุทธ์นั้นย่อมดีที่สุด ไม่เช่นนั้นชิวหร่าน นักหลอมโอสถขั้นสูงคงไม่ตั้งรางวัลนำจับสูงลิ่วขนาดนั้น
คัมภีร์ิญญา์ แบ่งเป็กำลังภายในหกขั้น สามขั้นแรกฝึกง่ายต่างกับสามขั้นหลังนั้นฝึกยากทีเดียว
ถึงจะมีเพียงหกขั้นน้อยกว่าการฝึกพละกำลังเยอะ แต่ว่าการจะบรรลุแต่ละขั้นได้นั้น คำไม่กี่คำก็ไม่อาจบรรยายได้หมด
ชิวหร่านเป็นักหลอมโอสถขั้นสูงมีพร์และฝีมือถึงระดับนี้ แต่ถ้าไม่มีคัมภีร์ิญญา์เล่มนี้ การที่จะประสบผลสำเร็จเฉกเช่นตอนนี้ได้ คงต้องใช้เวลาหลายร้อยปี หรืออาจถึงพันปีเลยก็ว่าได้
เนื้อหาของคัมภีร์ิญญา์มีไม่เยอะ ถึงจะพูดว่าเป็ตำรา แต่มีเพียงสิบหน้าเท่านั้น
ทว่าสิบหน้าที่แปลออกมา เนื้อหาก็ยังยากที่จะเข้าใจสำหรับโหยวเสี่ยวโม่ซึ่งเป็มนุษย์ยุคศตวรรษที่ 21 คุ้นเคยก็แต่จีนอักษรย่อที่แปลตามความหมายตรงตัว
ถ้าหลิงเซียวไม่ได้อธิบายให้เขาฟัง เขาไม่มีทางเข้าใจได้เลย ข้อด้อยแต่กำเนิดเช่นนี้ โดนหลิงเซียวดูแคลนไปหลายครั้ง
และแล้วตลอด่เช้าพวกเขาได้สวมบทบาทของอาจารย์และศิษย์ โหยวเสี่ยวโม่ทีแรกเข้าใจว่าหลิงเซียวจะไปกินข้าวที่โรงอาหารทัพพิภพอีก เลยได้แต่ทำหน้าซังกะตาย ทว่าเขาพูดว่าพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่แล้วก็หายไปเลย
คือหายไปจริงๆ ทั้งยังหายวับไปต่อหน้าต่อตา
โหยวเสี่ยวโม่ประหลาดใจกับท่าทีกะทันหันของเขา วินาทีถัดมาก็รู้สาเหตุ เพราะว่าด้านนอกประตูมีเสียง ‘ก๊อกๆ’ ดังขึ้นจากศิษย์พี่ใหญ่ฟางเฉินเล่อ
“ศิษย์น้องเสี่ยวโม่ เ้าอยู่หรือเปล่า?”
โหยวเสี่ยวโม่รีบขานรับ จากนั้นพลันเก็บตำราไว้ และเดินไปเปิดประตู
ฟางเฉินเล่อรออยู่หน้าประตู พอเห็นเขาก็ฉีกยิ้มพร้อมเอ่ย “ศิษย์น้อง อาจารย์ให้ข้ามาตามเ้าน่ะ”
“ทำไม…ถึงอยากพบข้า?” โหยวเสี่ยวโม่ตะลึงไปชั่วครู่ กว่าจะนึกออกว่าอาจารย์ที่พูดถึงคือใคร อาจารย์ของศิษย์พี่ใหญ่ก็คือผู้ดูแลทัพพิภพ อาจารย์ขงเหวิน ทว่าั้แ่เข้าร่วมสำนักมา เขาก็ไม่เคยได้เจอขงเหวินอีกเลย อีกทั้งยังไม่รู้ว่าตกลงเขาถูกนับเป็ลูกศิษย์หรือยัง พอเขาอยากพบเลยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“เื่นี้ เ้าไปถึงก็รู้เองแหละ” ฟางเฉินเล่อเห็นท่าทีลังเล แต่ก็ไม่อธิบายเพิ่มเติม
เบื้องบนมีคนอยากพบเขา ต่อให้ไม่ใช่ขงเหวิน เขาก็ต้องไป
โหยวเสี่ยวโม่ไม่ได้ถามต่อ เพียงแต่พยักหน้ารับรู้ กลับเข้าห้องเตรียมตัวและตามเขาไป
ทัพพิภพนั้นมักถูกทัพ์และทัพวิหคกดมาตลอด แต่ตำแหน่งของขงเหวินก็ไม่ได้สั่นคลอน เพราะว่าในสำนักเทียนซินเขาเป็หนึ่งในสามของผู้ที่สามารถหลอมยาขั้นเก้าได้ ถึงแม้ความเป็ไปได้ต่ำ แต่ก็อย่าได้ดูแคลน
ฉะนั้นทัพ์แม้จะคอยกดทัพพิภพ แต่ก็ไม่กล้าลงมือกับเขาโดยตรง ไม่เช่นนั้นจะทำให้เ้าสำนักและผู้าุโเคืองใจกันเปล่าๆ เป็การเสียมากกว่าได้
ตอนนี้คนที่ใหญ่โตเช่นนี้อยากพบเขา โหยวเสี่ยวโม่นึกกังวลในใจ
ลูกศิษย์ทัพพิภพต่างก็รู้ว่าขงเหวินนั้นปลีกตัวบำเพ็ญเพียรมาตลอด พอออกมาก็มีคำสั่ง้าเจอตัว แน่นอนว่าได้ยินเื่ราวของเขากับหลิงเซียว
ถ้าเป็เื่ดีก็ดีไป โหยวเสี่ยวโม่กลัวแค่ว่าจะเป็เื่ร้าย
ฟางเฉินเล่อพาเขาไปยังเรือนโอสถของขงเหวินอย่างรวดเร็ว เพราะตำแหน่งที่แตกต่างจึงมีเรือนส่วนตัวเป็ของตนเอง ยังไม่ทันเข้าไป ขงเหวินราวกับรู้ว่าพวกเขามาถึงแล้ว เอ่ยปากเรียกพวกเขาเข้าไป
“เข้ามาเถอะ!”