ยาที่โม่เหิงปรุงให้เว่ยจวินหยางยังต้องใช้เวลาอีกห้าวัน ดังนั้นทั้งสองจึงยังพักอยู่ที่นี่ พวกเขาทั้งกิน ดื่ม และหลับนอนยังที่พำนักของโม่เหิง ทว่าเว่ยจวินหยางไม่วายชักสีหน้าใส่โม่เหิงบ่อยครั้ง อีกทั้งเวลาที่อวี๋มู่กล่าวกับโม่เหิง เว่ยจวินหยางจะชอบยืนแอบอยู่ด้านหลังของทั้งสองคนราวกับิญญา ทั้งๆ ที่ตนเองก็ตัวเล็กนิดเดียว แต่ด้วยจิตสังหารที่แผ่ออกมาอย่างรุนแรง ทำให้ความแตกตลอด
พอเว่ยจวินหยางได้ยินว่าโม่เหิงจะเปลี่ยนผ้าพันแผลให้อวี๋มู่
เขาก็ดึงอวี๋มู่กลับห้องทันที จากนั้นก็เปลี่ยนผ้าพันแผลให้อวี๋มู่เองกับมือซึ่งเด็กน้อยเปลี่ยนได้ดีเยี่ยมเสียด้วย เทียบกับที่อวี๋มู่เปลี่ยนเองก่อนหน้านั้นแล้ว นับว่าดีกว่าหลายเท่าเลยทีเดียว
นี่เป็ครั้งแรกที่อวี๋มู่รู้ว่าเว่ยจวินหยางก็ดูแลคนอื่นเป็เหมือนกัน
ทำให้เขายิ่งรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ
เนื่องจากโลกที่แล้วเหลียงหานก็คอยดูแลเขาตลอด พอมาถึงโลกนี้ แม้ว่าแรกเริ่มเว่ยจวินหยางจะประพฤติตัวไม่ดีกับเขา แต่ในตอนนี้แม้จะยังมีท่าทีและน้ำเสียงที่ดูดุร้ายและน่าอึดอัดไปบ้าง แต่ความสามารถในการดำรงชีวิตก็นับว่าอยู่ในระดับสูง จนแทบจะไม่เหมือนจอมมารที่ต้องมีผู้คนคอยรับใช้ตลอดเวลา
นิสัยอาจจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่เื่ราวในด้านนี้ พวกเขากลับเหมือนกันถึงขนาดนี้เลยเชียวหรือ?
หลายวันมานี้ ตอนที่อวี๋มู่ทำเื่อย่างว่านั้น อวี๋มู่ได้ใช้วิชาคู่ขนานต้องห้าม ทุกครั้งที่ใช้ เขาจะรู้สึกว่าตนเองถูกดูดกำลังภายในไปมากกว่าครึ่ง อีกทั้งยังรู้สึกว่าร่างกายของตนเองเริ่มอ่อนแอและไม่ค่อยสบาย
ทว่าต่างกันกับเว่ยจวินหยางที่อีกฝ่ายรู้สึกสบายตัวขึ้นมามากทีเดียว
เ้าลูกสุนัขไม่มีอาการจะเป็จะตายเหมือนวันนั้น สีหน้าของเขาดูอมชมพูและมีสีสันมากขึ้นทุกวัน มีความกระปรี้กระเปร่าสุดๆ แม้ว่าจะอยู่ในร่างของเด็กน้อยในตอนกลางวันก็ตาม ทว่าเว่ยจวินหยางก็ยังคงชอบใช้สายตาลึกซึ้งมองอวี๋มู่ไม่เปลี่ยน
ส่วนความหมายของคำว่าลึกซึ้งนั้น ระบบแปลออกมาได้ว่า : ฉันอยากจัดการเขาแล้ว ทำไมถึงยังไม่กลับสู่ร่างเดิมสักที ฉันอยากได้เขาแล้ว และอยากจับเขาถอดเสื้อให้หมดเสียตอนนี้เลย จากนั้นก็กดเขาลงบนโต๊ะ แล้วจัดการให้สาสมใจสักรอบ
อวี๋มู่ฟังจบ ก็แทบจะเคืองระบบ
ถ้าทำได้ อวี๋มู่ก็อยากจะจับพวกที่ชอบมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นออกมาอัดสักยก!
เมื่อโม่เหิงปรุงยาเสร็จ เว่ยจวินหยางก็แทบทนรอที่จะพาอวี๋มู่ออกจากที่นี่ไม่ไหว เขาไม่อยากให้อวี๋มู่กับโม่เหิงอยู่ด้วยกัน!
ก่อนจากกัน เขากล่าวขอบคุณโม่เหิงพอเป็พิธี
โดยในตอนท้ายเว่ยจวินหยางก็ยังไม่ลืมที่จะกล่าวข่มขู่โม่เหิง “หมอเทวดาโม่ต้องจำไว้ด้วยว่าอวี๋มู่เป็คนของข้า หากไม่มีความจำเป็ ก็อย่าได้ติดต่อเขาอีก”
ความจริงในใจของเว่ยจวินหยาง :เป็ไปได้ไม่ติดต่อตลอดไปจะดีที่สุด!
โม่เหิงนั้นแสดงสีหน้าไม่พอใจหนักกว่าเว่ยจินหยางเสียอีก ชายหนุ่มทำหน้าตาคล้ายกับดูแคลนอีกฝ่าย “ท่านรีบไปเสียเถอะ สถานที่อันต่ำต้อยของข้าแห่งนี้ มิอาจต้อนรับบุคคลเบื้องสูงอย่างท่านได้”
จากนั้นโม่เหิงก็หันไปทางอวี๋มู่ สีหน้าของเขาผ่อนคลายลงมาก แต่แววตาก็ซ่อนความกังวลไว้ไม่มิด
โม่เหิงเดินไปข้างอวี๋มู่ พลางกระซิบข้างหูของอวี๋มู่ แล้วเอ่ย “ถึงเวลานั้น หากพลังตีกลับส่งผลกระทบที่รุนแรงเกินไป จนเ้าทนไม่ไหวล่ะก็ จำไว้ให้เ้ามาหาข้า ข้าจะช่วยเ้าทุกหนทางเอง”
แม้โม่เหิงบอกว่าจะช่วยอวี๋มู่ แต่ก็เป็แค่การช่วยต่อชีวิตของเขาออกไปได้เล็กน้อยเท่านั้น
อวี๋มู่เข้าใจดี และรู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายเป็อย่างมาก
เขาพยักหน้าและตั้งท่าจะเอ่ยขอบคุณโม่เหิง แต่กลับถูกเว่ยจวินหยางแทรกมาจากด้านหลังเสียก่อน
เด็กน้อยที่มีส่วนสูงแค่หนึ่งเมตรสามสิบ แต่กลับทำท่าราวกับตนเองสูงสักสองเมตรแปดสิบก็มิปาน เว่ยจวินหยางเอ่ยกับโม่เหิงอย่างเ็า “หมอเทวดาโม่น่าจะรู้หลักการเื่ที่ไม่ควรแตะต้องสิ่งของของผู้อื่นนะ”
เมื่อกล่าวจบ เว่ยจวินหยางก็ไม่รอให้โม่เหิงได้ตอบ เด็กน้อยก็ดึงอวี๋มู่ให้หันหลังจากไป
“เราไปกันเถอะ! ”
ในนาทีนั้น เว่ยจวินหยางอยากจะตัดแขนของโม่เหิงให้ขาดเป็ท่อนเสียจริง
เด็กน้อยถึงขนาดคิดวิธีทรมานคนให้ตายทั้งเป็ร่วมร้อยวิธีอยู่ในหัว
เว่ยจวินหยางไม่มีมุมมองในเื่ความดีความชั่ว ทุกสิ่งล้วนมาจากความชอบ หากมิใช่เพราะพลังที่เหลือแค่บางส่วน บางทีเขาอาจจะทำเื่โหดร้ายเหมือนกับการเสร็จนาฆ่าโคถึกอย่างไร้มนุษยธรรมก็เป็ได้
อวี๋มู่ััได้ถึงจิตสังหาร ก็พลันขมวดคิ้ว
สำหรับอวี๋มู่แล้ว โม่เหิงถือเป็ผู้มีบุญคุณต่อพวกเขา แต่เว่ยจวินหยางกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
อวี๋มู่คิดว่าความหึงหวงของคนเราน่าจะมีขีดจำกัด แต่สำหรับเ้าลูกสุนัขเว่ยนั้น อีกฝ่ายไม่ได้ถูกจัดว่าเป็เหมือนมนุษย์ทั่วไป
ซึ่งต่างกับเหลียงเสี่ยวหาน โดย[1]ทัศนคติสามด้านของเว่ยจวินหยางที่บิดเบือนไปนั้น ลำพังเขาเพียงคนเดียวคงไม่อาจกู้คืนกลับมาได้
อวี๋มู่ได้แต่ยอมจำนน
*
“นายท่าน ต่อจากนี้พวกเราจะไปไหนกันหรือขอรับ? ” เว่ยจวินหยางพาเขาเดินอย่างนี้อยู่ครึ่งค่อนวัน เดินวนไปเวียนมาอยู่อย่างนั้นจนอวี๋มู่เริ่มรู้สึกมึนงง จนอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
เว่ยจวินหยางได้ยินเช่นนั้นจึงหยุดเดิน แล้วปล่อยมือของอวี๋มู่ จากนั้นก็หันหลังให้ พร้อมกับเอามือไพล่หลัง ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยกับอวี๋มู่ “กลับถ้ำก่อนหน้านี้กันเถอะ”
พลังของเว่ยจวินหยางในตอนนี้ ยังไม่กลับมาทั้งหมด จึงไม่อาจออกจากป่าฟางหยวนโดยไม่ระมัดระวังตัวใดๆ เลยได้
อวี๋มู่เอ่ยอย่างประหลาดใจ “แต่นี่ไม่ใช่เส้นทางที่จะไปที่นั่น…”
“...” แม้เว่ยจวินหยางจะไม่ได้กล่าวสิ่งใด แต่อวี๋มู่ก็สังเกตเห็นว่าสองมือของอีกฝ่ายกำแน่น
อวี๋มู่เอ่ยถาม “นายท่านไม่รู้ทางใช่หรือไม่? ”
เว่ยจวินหยางตัวแข็งค้าง พลางกัดฟันเงียบไปชั่วครู่ จู่ๆ ก็พรั่งพรูคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงดุดัน “ก็เ้าเป็คนพาข้ามาตอนที่ข้าไม่รู้สึกตัว แล้วข้าจะไปรู้ทางได้อย่างไรเล่า?! ”
ทั้งสองเดินวนอยู่ในป่ากว่าครึ่งชั่วยาม อวี๋มู่นึกว่าเว่ยวินหยางเดินอย่างมีจุดหมาย พอได้คำตอบกลับมาเช่นนี้ เขาก็อยากจะหัวเราะออกมาทั้งน้ำตาเลยทีเดียว
แต่เว่ยจวินหยางที่วางท่าเช่นนี้นี้ก็ดูน่ารักอยู่ไม่น้อย อวี๋มู่พยายามข่มอารมณ์ที่อยากลูบศีรษะเว่ยจวินหยางเบาๆ จากนั้นก็เด็ดหญ้าขึ้นมาใส่ปาก ก่อนจะหันหลัง แล้วคว้ามือเว่ยจวินหยางขึ้นมา อวี๋มู่ใช้น้ำเสียงราวกับพูดคุยเอาใจเด็กน้อย “เป็เพราะข้าน้อยไม่ได้ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน อันที่จริงข้าน้อยควรจะออกตัวนำทางถึงจะถูก ขอนายท่านโปรดอย่ากล่าวโทษ”
ลูกไม้เช่นนี้ใช้กับเว่ยจวินหยางได้ผล
อย่างน้อยเว่ยจวินหยางก็รู้สึกว่าตนเองไม่เสียหน้า
ซึ่งข้ารับใช้อย่างอวี๋มู่นั้นทราบดี
เว่ยจวินหยางจับมือของอวี๋มู่กลับคืน จนััถึงความอบอุ่นที่มีมากกว่าของเขาอย่างชัดเจน พลันริมฝีปากก็ยกยิ้มอย่างลำพองใจ
*
ก่อนที่อวี๋มู่จะออกเดินทาง เขาได้รับของจากโม่เหิงมามากมาย นอกจากพวกยารักษา เสื้อผ้า และผ้าพันแผลที่ใช้เปลี่ยนแล้ว ก็ยังมีพวกเสบียงของแห้งและสิ่งของจำเป็อื่นๆ อย่างกาน้ำชาอีกด้วย
อวี๋มู่จัดระเบียบภายในถ้ำ เขาใช้กิ่งไม้กับหญ้าแห้งปูเป็เตียง แล้วใช้เสื้อผ้าปูทับอีกชั้น ซึ่งให้ความรู้สึกสบายมากกว่าเดิม
อวี๋มู่กะว่าจะรอให้แขนขวากับน่องซ้ายดีขึ้นเสียก่อนเขาจึงจะเข้าเมืองผิงไปสืบข่าวสักหน่อย เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่อาจใช้ชีวิตในถ้ำไปได้ตลอด
เมื่ออวี๋มู่จัดของเสร็จเรียบร้อย เว่ยจวินหยางก็หิ้วปลากลับมาพอดี ในอ้อมอกของเขายังมีผลไม้สีแดงมากมายอีกด้วย
เขาโยนให้อวี๋มู่หนึ่งผล แล้วเอ่ย “ข้าให้เ้า ผลนี้หวานมาก เ้าลองกินดูสิ”
นับั้แ่ที่เว่ยจวินหยางขึ้นเป็ประมุขแห่งสำนักชิงอี ชายหนุ่มก็ไม่เคยทำเื่ที่ไม่ประณีตเช่นนี้มาก่อน แต่ใน่เวลาที่เขาได้ใช้ชีวิตกับอวี๋มู่นั้น เขากลับทำเื่พวกนี้ด้วยตัวเอง ถึงขนาดเริ่มดูแลเอาใจใส่อวี๋มู่
ซึ่งบางครั้งเขาเองก็สงสัย
ว่าเหตุใดเขาจึงรู้สึกเคยชินกับการดูแลคนผู้นี้ราวกับว่าเคยทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
สุดท้ายเว่ยจวินหยางก็สรุปเอาเองว่าเป็เพราะข้ารับใช้ที่โง่เขลาผู้นี้ดูแลนายท่านไม่เป็ หากไม่ใช่ตัวเขาลงไปดูแลจัดการเอง อีกฝ่ายต้องทำให้ตัวเขาเดือดร้อนขึ้นมาเป็แน่
ฮึ่ม เขาสาบานได้เลยว่าทั่วทั้งปฐีนี้ ไม่มีนายท่านที่ดีเช่นเขาอีกแล้วเป็แน่
อวี๋มู่รับผลไม้มาถือไว้ พอเห็นปลาในมือ อวี๋มู่จึงเดินไปหาอีกฝ่าย แล้วเอ่ย “นายท่าน ให้ข้าทำเถอะ”
“เ้านั่งเถอะ” เว่ยจวินหยางปรามอีกฝ่าย จากนั้นก็ดูแลเื่การย่างปลาเอง “เ้าทำอะไรก็เฟอะฟะไม่ได้เื่สักอย่าง จะย่างปลาก็กินไม่ได้ อย่ามาเพิ่มความวุ่นวายให้ข้าเลย”
แม้ปากจะบ่นว่าเบื่ออวี๋มู่ แต่แววตาของเว่ยจวินหยางกลับซ่อนความพอใจเอาไว้มากมาย
หลังออกมาจากที่พักของโม่เหิง ก็ไม่ต้องเอ่ยว่าเขาดีใจมากเพียงใด
เว่ยจวินหยางไม่อาจทนเห็นสายตาที่โม่เหิงใช้มองอวี๋มู่ได้ เขารู้สึกหมั่นไส้จนอยากจะควักลูกตาของโม่เหิงออกมา
ใขณะที่คิดเช่นนี้ เขาที่กำลังทานปลาอยู่ ก็ควักลูกตาปลาออกมาอย่างเหี้ยมเกรียม พลางใช้สองนิ้วบดขยี้จนละเอียดเป็ผุยผง
อวี๋มู่ที่ไม่ได้รู้เื่รู้ราวอะไรก็มองดูเขา จากนั้นก็ส่ายศีรษะแล้วนั่งแกะปลาต่อ
ในขณะเดียวกัน โม่เหิงที่กำลังบดยาอยู่ก็จามขึ้นมาเสียดื้อๆ
จนเสี่ยวเหยียนเอ่ยถามเขาขึ้นมาด้วยความใส่ใจ “ศิษย์พี่ ท่านเป็หวัดหรือ? ”
โม่เหิงหรี่ตา แล้วกล่าวเย้ยหยัน “เดาว่าคงกำลังมีคนต่อว่าข้าลับหลังอยู่น่ะสิ”
*
่เวลากว่าครึ่งเดือนที่ใช้ชีวิตอยู่กับเว่ยจวินหยางในถ้ำ อวี๋มู่ต้องทำเื่อย่างว่ากับหมอนี่วันเว้นวัน
อวี๋มู่แน่วแน่กับการเป็สเตรทหรือผู้ชายที่มีรสนิยมชอบเพศตรงข้าม ตอนที่ทำเื่เช่นนั้น เขาก็พยายามควบคุมอารมณ์ ทำให้เว่ยจวินหยางไม่พอใจกับเื่นี้ จนชอบทรมานเขาเพื่อให้เขาครางออกมาให้ได้ ดูน่าชังยิ่งนัก
ขณะที่อวี๋มู่ถอนหายใจ เขาพบว่ากำลังภายในกับเรี่ยวแรงนั้นกำลังไหลผ่านออกไปอย่างรวดเร็ว
แม้จะยังไม่ถึงขั้นที่เดินด้วยขาสองข้างก็หอบ แต่หากเป็เช่นนี้ต่อไป เขาเกรงว่าไม่เกินครึ่งเดือน เขาคงเหมือนที่โม่เหิงเคยบอก เมื่อวรยุทธ์สูญสลาย เขาก็จะยิ่งเข้าใกล้ความตายมากขึ้น
ทว่าคะแนนความประทับใจของเว่ยจวินหยางยังปรากฏอยู่แค่สี่ดวงกว่า ทั้งยังค้างอยู่เช่นนั้นไม่ขยับไปไหน ทำเอาอวี๋มู่รู้สึกร้อนใจเป็อย่างมาก
อวี๋มู่รู้สึกเหมือนกับว่าตนเองกำลังวิ่งแข่งกับความตายที่วางเดิมพันด้วยชีวิต
เมื่อเทียบกันแล้ว เว่ยจวินหยางดูจะสดใสขึ้นมามากทีเดียว ชีพจรที่เคยอุดตันก็เริ่มไหลเวียนได้ดีขึ้น ทั้งยังมีกำลังภายในอันหนาแน่นของอวี๋มู่ที่ส่งให้เว่ยจวินหยางอีกด้วย เด็กหนุ่มรู้สึกว่าพลังตีกลับนั้น กำลังดีวันดีคืน พลังยุทธ์ก็เริ่มฟื้นฟูขึ้นมาอย่างรวดเร็วและเห็นได้ชัด เด็กหนุ่มมีความสุขอย่างหยิ่งผยองและใช้เวลาเกือบทั้งวันในการฝึกฝนวิชา
อวี๋มู่นั่งอยู่บนก้อนหินด้านนอกถ้ำ ในปากเคี้ยวหญ้าใบยาว พลางลองขยับแขน แล้วชักกระบี่เมฆาวิสุทธิ์ออกมา ยังไม่ทันโบก ก็เจ็บที่าแ จนกระบี่ยาวหล่นลงกระทบก้อนหิน
เสียงดังชิ้ง
เว่ยจวินหยางลืมตาขึ้นมองไปทางอวี๋มู่แล้วมองสลับไปที่แขนขวากับกระบี่เมฆาวิสุทธิ์ไปมาหลายรอบ พลันขมวดคิ้ว
อวี๋มู่มองไม่เห็นสายตาของเว่ยจวินหยาง เขาเก็บกระบี่ขึ้นมา ชั่งน้ำหนัก แล้วบ่นกับระบบ : ระบบ พูดจริงๆ นะ ตอนเด็กฉันชอบดูหนังพวกจอมยุทธ์มาก ดูพวกจอมยุทธ์ที่เก่งกล้ากำลังฟาดฟันและแกว่งไกวดาบนั่นโคตรเท่เลย วันนั้นที่ต่อสู้กับโม่เหิง ฉันสนุกมากและยังรู้สึกว่าตัวเองนี่โคตรเจ๋ง ปรากฏว่ายังไม่ทันได้ลิ้มลองเท่าไร ก็กลายเป็ ‘พวกพิการ’ ไปเสียอย่างนั้น น่าเสียดายจริงๆ
[โฮสต์ครับ ไม่ต้องเป็ห่วง พอถึงโลกที่สี่คุณก็จะมีโอกาสได้รำดาบฟ้อนง้าวอีกครับ!]
อวี๋มู่สงสัย :ถ้าอย่างนั้นนายแอบเปิดเผยข้อมูลโลกที่สี่ให้ฉันฟังหน่อยเป็อย่างไร?
[ไม่ได้! ตอนนี้คุณต้องให้ความสำคัญกับเว่ยจวินหยางก่อน
ยังไม่ต้องคิดถึงเื่พวกนั้นดีกว่า!]
อวี๋มู่ถามอีก :แล้วโลกที่สามล่ะ?
[ไม่ได้!]
อวี๋มู่เคี้ยวหญ้าในปาก :จิ๊ ขี้เหนียว
“อวี๋มู่” จู่ๆ เว่ยจวินหยางก็ส่งเสียงเรียก ดึงสติอวี๋มู่กลับมา
เด็กน้อยดึงชายเสื้อตัวเอง น้ำเสียงเหมือนอ่อนโยนกว่าปกติหนึ่งระดับ ความอวดดีสูงส่งก็ลดลงไปบ้างแล้วเช่นกัน
“เ้านึกเสียใจหรือไม่? ”
แต่เดิมเว่ยจวินหยางห่วงใยแต่ความทุกข์สุขของตัวเองไม่มีทางใส่ใจความรู้สึกคนอื่น แต่ก่อนก็มักจะเ็าและเยาะเย้ยอวี๋มู่ แต่มาวันนี้พอเห็นอวี๋มู่แค่จับกระบี่ยังไม่มั่น ในใจเขาก็มีความรู้สึกประหลาดพรั่งพรูออกมา เป็ความรู้สึกเจ็บจี๊ดอยู่ในทรวง
ตลอดมาเว่ยจวินหยางเป็คนที่ดูขัดแย้งในตัวเอง ด้านหนึ่งก็พอใจกับความจงรักภักดีของอวี๋มู่ อีกด้านก็คาดหวังบางสิ่งจากเขา อีกทั้งยังรู้สึกไปเองว่าคนผู้นี้กำลังหลอกให้ตัวเขาใส่ใจและเป็กังวล
เขากำลังรออวี๋มู่ตอบ
อวี๋มู่รับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าอีกฝ่ายดูแตกต่างไปจากเดิม เมื่อลองพินิจดูแล้ว ก็ตอบเว่ยจวินหยางอย่างขึงขังและจริงจัง
“เรียนนายท่าน ข้าน้อยรู้ว่าแม้ข้าจะบอกว่าไม่เสียใจท่านก็คงไม่เชื่อ เพราะถึงอย่างไรในสายตาท่าน คนคนเดียวที่ท่านจะยอมเชื่อใจคงมีเพียงตัวท่านเอง ดังนั้นข้าจะพูดความคิดเห็นของข้าบ้าง”
เขาเล่นกับด้ามจับกระบี่แล้วเอ่ย “การใช้กระบี่ไม่ได้อีกสำหรับข้าก็มีความเสียดายอยู่บ้าง ส่วนเื่ที่ข้าทำเพื่อท่านมามากมาย นั่นเป็ความยินยอมของข้าเอง การที่ได้ผลลัพธ์พวกนี้จึงไม่เกี่ยวข้องกับเื่เสียใจหรือไม่”
“หากให้ข้าตัดสินใจอีกหนข้าก็ยังเลือกที่จะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยท่าน”
“ทำไมล่ะ? ” เว่ยจวินหยางก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดี เขาจึงเอ่ยถาม “เพราะว่าข้าคือนายท่านของเ้าอย่างนั้นหรือ? ”
อวี๋มู่นิ่งอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้ม แล้วตอบอีกฝ่าย “ใช่”
“...”เว่ยจวินหยางก้มศีรษะ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้พอใจกับคำตอบของอวี๋มู่
แต่เขาก็ยังนึกไม่ออกว่าคำตอบที่แท้จริงที่เขา้าคืออะไรกันแน่ เขาจึงหันหลังด้วยท่าทางหยิ่งผยองที่ดูจริงจัง และไม่ได้สนใจอวี๋มู่อีก
---------------------------------------------------------------------------------------------
คำอธิบาย
[1] ทัศนคติสามอย่าง 三观หมายถึง ทัศนคติต่อโลก ทัศนคติต่อชีวิต และทัศนคติต่อคุณค่า