กู้หงหย่งได้ยินก็หัวเราะดีใจเสียงดัง เขายกจอกสุราขึ้นคารวะตวนอ๋องกับเสิ่นเยี่ยน “ในเมื่ออิงเอ๋อร์ใกล้แต่งกับท่านอ๋องแล้วกระหม่อมจะขอเรียกท่านอ๋องว่าบุตรเขยรองก็คงจะได้ต้องขอบคุณบุตรเขยทั้งสองที่ช่วยเหลือ”
กู้เจิ้งชินและนายหญิงเว่ยซื่อต่างลุกขึ้นพร้อมยกจอกสุราคารวะเช่นกันกู้เจิงเองเมื่อเห็นคนอื่นๆ ลุกนางก็ต้องลุกขึ้นร่วมด้วย
“พี่ใหญ่ ข้าจะรินสุราให้ท่านเอง” กู้เจิ้งชินเห็นว่าในแก้วของกู้เจิงว่างเปล่า จึงรินสุราให้นาง
“มาเถอะ พวกเราชนแก้ว” กู้หงหย่งกล่าวอย่างมีความสุข
ตอนที่กู้เจิงยกจอกสุราขึ้นจิบนางเหมือนจะเห็นจากทางหางตาว่าตวนอ๋องกำลังมองนางอยู่ในขณะที่แอบสงสัยว่าเขามองนางทำไม สุราก็ไหลผ่านลำคอลงท้องไปอึกหนึ่ง จู่ๆนางก็รู้สึกว่าโลกหมุนเหวี่ยง วินาทีต่อมาก็หมดสติไปโดยไม่รู้ตัว
ที่แท้ตัวนางก็ทนฤทธิ์สุราได้เพียงแค่อึกเดียว
เสิ่นเยี่ยนที่อยู่ข้างๆ รับร่างภรรยาที่ล้มลงอย่างรวดเร็วเขามองพวงแก้มที่แดงก่ำของภรรยาด้วยความแปลกใจ
คนตระกูลกู้ล้วนไม่รู้ว่าบุตรสาวอนุผู้นี้ดื่มสุราไม่ได้และยิ่งไม่รู้อีกว่าดื่มเพียงอึกเดียวก็จะทำให้เมาจนหมดสติไปแบบนี้
ตวนอ๋องเผลอก้าวออกไปครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัวก่อนจะรีบฝืนชักกลับเขาส่งสายตาเ็ามองสตรีที่ล้มพับอยู่ในอ้อมกอดของเสิ่นเยี่ยนด้วยสีหน้าบึ้งตึง
กู้เจิงหลับไปจนถึง่เย็นเมื่อนางตื่นขึ้นอย่างสะลึมสะลือก็พลันเห็นเสิ่นเยี่ยนกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆนาง ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาถูกฉาบไล้ด้วยแสงเทียนดูอบอุ่นอ่อนโยนประหนึ่งหยกงามส่วนอีกครึ่งที่ตกอยู่ในความมืดกลับดูเ็าและเคร่งขรึมยิ่งขับเน้นให้ร่างนี้ดูราวกับภาพเงาที่ถูกวาดร่างขึ้นมา
“ท่านพี่” กู้เจิงทักขึ้น
เสิ่นเยี่ยนเงยหน้าขึ้นจากหน้ากระดาษ เขาเห็นภรรยาค่อยๆกระเถิบตัวลุกขึ้นนั่งอย่างเกียจคร้าน เสื้อผ้าของนางอยู่ในสภาพที่ไม่เรียบร้อยนักนางมองเขาราวกับยังไม่ตื่นดี เขาเหลือบมองใบหน้ามีเสน่ห์ของนางลาดไหล่ขาวที่เปิดเปลือยผิวใต้แสงไฟสลัวผนวกกับท่าทางอ้อยอิ่งของนางทำให้ยิ่งน่ามองขึ้นหลายส่วน
กู้เจิงเห็นเสิ่นเยี่ยนมองตนเองด้วยแววตาแปลกไปนางเลยส่งยิ้มไร้เดียงสาให้ “ดึกขนาดนี้แล้วอย่าอ่านหนังสืออีกเลย รีบเข้านอนเถอะเ้าค่ะ” หลังจากพูดจบนางก็หลับไปอีกครั้ง
เสิ่นเยี่ยน “...” แม้ตอนนี้ฟ้าจะมืดแล้ว แต่ก็ไม่ได้ดึกขนาดที่นางคิด
แต่จู่ๆ กู้เจิงที่สลบสไลไปอีกครั้งนั้น นางก็พลันลืมตาตื่นลุกขึ้นมานั่งมองเสิ่นเยี่ยนดวงตาใสกระจ่างขึ้นเล็กน้อยเหมือนนึกขึ้นได้ “ไม่ใช่ว่าพวกเรากำลังกินข้าวอยู่กับท่านพ่อและตวนอ๋องหรอกหรือเ้าคะ?”
ดูเหมือนนางจะพอได้สติขึ้นบ้างแล้ว เสิ่นเยี่ยนตอบรับเสียงเบา “เ้าเมาน่ะ”
“เมาหรือเ้าคะ?” กู้เจิงจำได้ว่าตนเองจิบสุราไปแค่อึกเดียวเท่านั้นนางถึงกับพูดไม่ออกที่นางสามารถเมาได้ขนาดนี้ภายในอึกเดียว
“ท่านแม่เรียกหมอมาตรวจเ้าแล้ว” เสิ่นเยี่ยนวางหนังสือในมือลง เขารินชาร้อนใส่ถ้วยแล้วเอามาให้นาง “ท่านหมอบอกว่าร่างกายของเ้าไม่เหมือนคนทั่วไป ดื่มสุราไม่ได้หากดื่มมากไป อาจอันตรายถึงแก่ชีวิตได้”
“ร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือเ้าคะ?” กู้เจิงใ “แล้วเป็ดหมักสุราที่ท่านป้าใหญ่เคยเอามาให้ก็มีสุราผสมอยู่ไม่ใช่หรือเ้าคะ ทำไมข้ากินแล้วถึงไม่เป็อะไร?”
“ปกติแล้วกากสุราล้วนต้องรอให้เจือจางถึงจะเอามาหมักได้จึงไม่ทำให้มึนเมา สุราข้าวที่เราดื่มในวันแต่งงาน เ้าก็ดื่มได้เพียงนิดหน่อยแต่นอกจากสุราข้าวแล้ว เ้าห้ามแตะต้องสุราอื่นอีก” เมื่อเห็นภรรยาดื่มชาจนหมดถ้วยแล้ว เสิ่นเยี่ยนจึงนำถ้วยเปล่ากลับไปวางบนโต๊ะ “ท่านแม่เหลือข้าวไว้ให้เ้า เดี๋ยวข้าไปเอามาให้”
“ข้าไม่ชอบกินอาหารในห้อง เพราะเดี๋ยวจะมีกลิ่นติดห้องข้าไปกินที่ห้องครัวดีกว่าเ้าค่ะ” กู้เจิงค่อยๆ ปีนลงจากเตียงนางมองสภาพตนเองที่สวมเพียงชุดตัวในชั้นเดียว และเชือกที่อยู่ข้างในกลับถูกผูกไว้ด้านนอกนางรีบเดินไปที่มุมเตียงเพื่อหยิบเสื้อคลุมมาสวมพลางบ่นงุบงิบเบาๆ “ทำไมชุนหงถึงผูกเชือกกลับด้านได้”
เสียงเฉยชาของเสิ่นเยี่ยนตอบมาจากด้านหลัง “ข้าเป็คนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เ้าเอง”
ในห้องครัว
กู้เจิงนั่งกินข้าวด้วยใบหน้าแดงก่ำ ชุนหงยืนรอรับใช้อยู่ข้างๆอย่างกระวนกระวาย ว่าคุณหนูของนางมีท่าทีแปลกไป ส่วนเสิ่นเยี่ยนยังอ่านหนังสืออยู่ในห้องไม่ได้ตามมาที่ห้องครัว
“คุณหนู ตอนที่กลับมาจากงานเลี้ยงบ่าวเห็นท่านบุตรเขยอุ้มท่านกลับห้อง บ่าวก็ไม่รู้ว่าท่านบุตรเขยจะลงมือเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ท่านเองนี่เ้าคะ” ชุนหงรู้สึกกังวลใจมาก นางไม่เข้าใจว่าคุณหนูโกรธอะไรนาง “ท่านกับท่านบุตรเขยแต่งงานกันแล้ว มีอะไรน่าอายกันเ้าคะ”
ถึงแม้นางกับเสิ่นเยี่ยนจะแต่งงานกันแล้วและนอนร่วมเตียงกัน แต่อย่างไรก็เป็แค่การนอนอยู่ข้างๆกัน ยังไม่ไปถึงขั้นนั้นเสียหน่อย เื่ใกล้ชิดอย่างการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กันกู้เจิงยังคงรู้สึกกระดากอายอยู่บ้าง
“คุณหนู ท่านจะเติมข้าวอีกไหมเ้าคะ?” ชุนหงถามเมื่อเห็นกู้เจิงกินข้าวในชามหมดแล้ว
“ข้าอิ่มแล้ว” ตอนกลางคืนกินเยอะเกินไปจะอ้วนง่ายกู้เจิงนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ จู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “ชุนหง เ้าว่าข้ารูปร่างดีไหม?”
ชุนหงชะงักงัน “อะไรนะเ้าคะ?”
กู้เจิงลุกขึ้นเดินหมุนตัวไปมาต่อหน้าชุนหง นางชี้ที่หน้าอกแล้วชี้ไปยังด้านหลัง “หน้านูนหลังงอน* ไหม?”
(* หมายถึงผู้หญิงที่รูปร่างสัดส่วนดี หน้าอกอวบอิ่ม ก้นโค้งงอน)
ชุนหงเข้าใจในทันที “คุณหนูอาจดูผอมบาง แต่ที่จริงตรงส่วนนั้นกลับอวบอิ่มมากเ้าค่ะ” ทุกครั้งที่นางปรนนิบัติคุณหนูอาบน้ำ นางเห็นได้อย่างชัดเจนว่ารูปร่างส่วนนั้นของคุณหนูอวบอิ่มเพียงใด
“เช่นนั้นข้าก็สบายใจแล้ว” กู้เจิงหัวเราะชอบใจสิ่งที่นางพอใจมากที่สุดเมื่อได้มาอยู่ในร่างนี้ก็คือใบหน้าและรูปร่างของกู้เจิงคนนี้แม้ว่าที่เสิ่นเยี่ยนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นางจะเป็เื่น่าอายทว่าในใจก็ยังหวังว่าตนเองคงมีของดีให้อวดอยู่บ้าง
“คุณหนู หากท่านบุตรเขยรังเกียจท่าน ก็คงรังเกียจไปนานแล้วท่านเพิ่งมารู้ตัวในตอนนี้จะไม่สายไปหน่อยหรือเ้าคะ?” ชุนหงถามอย่างแปลกใจ
ระหว่างนางกับเสิ่นเยี่ยนยังไม่ได้เริ่มต้นอะไรกันทั้งนั้นกู้เจิงรู้สึกว่าการค่อยๆ ได้ปลูกต้นรักกับเสิ่นเยี่ยนก่อนน่าจะเป็สิ่งดี
เช้าตรู่วันต่อมายังคงมีฝนตกปรอยๆ อยู่
เดิมทีกู้เจิงคิดจะตื่นมาทำอาหารเช้าให้คนในบ้านแต่เมื่อวานนางดันนอนตลอดทั้งบ่าย ทำให้ตอนกลางคืนตาสว่างพอใกล้รุ่งสางถึงจะค่อยง่วงได้หลับไปนิดหนึ่ง ทำให้เช้าวันนี้นางตื่นสายอีกแล้ว
“คุณหนูไม่ต้องรีบหรอกเ้าค่ะท่านบุตรเขยสั่งไม่ให้บ่าวปลุกคุณหนูเอง” เมื่อเห็นท่าทางรีบร้อนของคุณหนู ชุนหงเลยรีบแจ้ง
“ตื่นสายเพียงครั้งหนึ่งก็ไม่เป็ไรหรอกแต่ถ้าทำหลายครั้งเข้าคงไม่ดีเท่าไหร่ วันหลังเ้าต้องปลุกข้านะรู้ไหม?”
“บ่าวเข้าใจแล้วเ้าค่ะ” ชุนหงรับคำ
ตอนที่สองนายบ่าวพากันเข้ามาในห้องครัว สองสามีภรรยาเสิ่นและเสิ่นเยี่ยนกำลังคุยกันอยู่เมื่อพวกเขาเห็นกู้เจิงเดินเข้ามา นายหญิงเสิ่นก็ยิ้มทัก “อาเจิงตื่นแล้ว เช่นนั้นพวกเราไปกันเถอะ”
เดิมทีกู้เจิงก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่แล้วแต่พอได้ยินแม่สามีพูดเช่นนี้จึงถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “ไปไหนกันหรือเ้าคะ?”
“วันนี้เราจะออกไปกินอาหารเช้าข้างนอกพ่อเ้าเขาอยากกินขนมปังกับปาท่องโก๋ของบ้านเฉินหลางน่ะ” นายหญิงเสิ่นกล่าว
นายท่านเสิ่นยิ้มซื่อๆ ถามกู้เจิงขึ้นว่า “เ้ากับชุนหงคงไม่เคยกินมาก่อนกระมัง?”
ทั้งสองต่างพยักหน้า
ร้านขนมปังเฉินหลางอยู่ในตรอกเล็กๆ ไม่ไกลจากบ้านพวกเขานัก
แม้ฝนจะตกไม่หยุดและอากาศก็มืดครึ้ม ทว่าคนที่มากินอาหารเช้าที่ร้านนี้กลับมีมากมายเมื่อพวกเขามาถึง จึงยังต้องเข้าแถวต่อคิว
ลูกค้าในร้านส่วนใหญ่เป็เพื่อนบ้านข้างเคียงที่รู้จักมักคุ้นกันดีพอเจอหน้าก็ต่างพูดคุยทักทายกัน ทว่าเมื่อพวกของกู้เจิงมาถึงสายตาของผู้คนก็ล้วนมองกลุ่มพวกนางอย่างสนใจ ทุกคนต่างรู้ดีว่าเ้าหนุ่มตระกูลเสิ่นคนนั้นได้แต่งงานกับคุณหนูใหญ่แห่งจวนป๋อเจวี๋ย
กู้เจิงยอมให้ทุกคนมองอย่างใจกว้างหากนางเผลอไปสบตากับใครเข้าก็จะส่งรอยยิ้มงดงามตอบไปให้แม้ทุกคนจะมองนางด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ แต่ก็เต็มไปด้วยความเป็มิตรนางจึงใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักผู้คนไปด้วย
นายท่านเสิ่นไปต่อแถวซื้อขนมปังกับปาท่องโก๋ ส่วนเสิ่นเยี่ยนไปหาโต๊ะให้ภรรยากับมารดานั่งรอเมื่อได้โต๊ะแล้วเขาก็ไปต่อแถวรอเป็เพื่อนบิดา
เสียงพูดคุยดังจากโต๊ะข้างๆ มาเข้ากหูกู้เจิง “ข้าได้ยินมาว่าท่านแม่ทัพใหญ่เซี่ยกงเจวี๋ยกำลังจะกลับมาแล้ว”
“แม่ทัพใหญ่เซี่ยเฝ้าชายแดนมาเกือบยี่สิบปีทั้งยังเลื่องชื่อลือนามด้านศึกา มีเขาเฝ้าอยู่ที่ชายแดนประชาชนอย่างเราก็สบายใจนัก”
“แต่ชายแดนคงไร้ซึ่งกำลังหนุนในสักวันพวกเ้าว่าฮ่องเต้จะส่งใครไปแทน?”
“ท่านแม่ทัพใหญ่เซี่ยมีบุตรชายไม่ใช่หรือ?”
“ข้าได้ยินมาว่าเซี่ยกงเจวี๋ยน้อยอ่อนแอั้แ่ยังเด็กไม่อาจเข้าร่วมสนามรบได้”
กู้เจิงฟังอย่างเบื่อหน่าย แต่นางกลับเห็นแม่สามีหน้าซีดผิดปกติจึงอดถามอย่างเป็ห่วงไม่ได้ “ท่านแม่ท่านเป็อะไรไปเ้าคะ?”
“ไม่มีอะไร” นายหญิงเสิ่นแสร้งหยิบตะเกียบออกมาจัดแบ่งท่าทางของนางแข็งทื่อแปลกๆ
“ท่านป้า คุณหนู ขนมปังมาแล้วเ้าค่ะ” ชุนหงถือขนมปังเข้ามาให้พวกนาง
นายท่านเสิ่นยกน้ำเต้าหู้ชามหนึ่งมาวางไว้ตรงหน้าภรรยา “นี่เป็น้ำเต้าหู้ที่เ้าชอบที่สุด ระวังร้อนด้วย”
เสิ่นเยี่ยนก็ถือน้ำเต้าหู้มาให้กู้เจิงเช่นกันจากนั้นถึงได้ไปหยิบของตัวเอง
ทั้งครอบครัวนั่งล้อมรอบโต๊ะเล็กๆ กินขนมปังที่เพิ่งอบร้อนๆพร้อมกับดื่มน้ำเต้าหู้ในวันที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ช่างเป็อะไรที่อบอุ่นเหลือเกินแถมกินไปยังได้ฟังข่าวคราวของเยว่เสิ่นไปพลางกู้เจิงรู้สึกว่าการมากินอาหารนอกบ้านสักครั้งแบบนี้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว
“สีหน้าเ้าไม่ค่อยดีเลย เป็อะไรไป?” นายท่านเสิ่นถามภรรยาขึ้นด้วยความเป็ห่วง
สายตาของทั้งครอบครัวจับจ้องไปที่ฮูหยินใหญ่เสิ่นนางรีบซ่อนหน้าลงจิบน้ำเต้าหู้ ก่อนจะพูดเสียงเรียบว่า “ไม่มีอะไร อาจเป็เพราะอากาศหนาวไปหน่อย ได้ดื่มน้ำเต้าหู้ร้อนๆก็คงจะดีขึ้นเอง”
เสิ่นเยี่ยนที่นั่งอยู่ข้างกายมารดาเขาเหลือบเห็นมือบนตักของมารดากำลังกำแน่น เมื่อครู่ตอนที่ต่อแถวเขาก็ได้ยินคนรอบข้างพูดถึงเทพาแห่งต้าเยว่คนผู้นั้นอายุยังไม่ถึงยี่สิบปีดีก็พาทหารหนึ่งหมื่นนายขับไล่ศัตรูที่มารุกรานต้าเยว่ออกไปได้ใช้เวลาไม่ถึงสองปีก็่ชิงสิบเก้าดินแดนที่สูญเสียไปกลับคืนมาหลังจากนั้นจึงเฝ้าชายแดนและดูแลปกป้องประตูใหญ่ของแคว้นต้าเยว่จนถึงทุกวันนี้นามของเขาคือ ‘เซี่ยอวิ้น’