เมฆสีเทาหม่นเคลื่อนเข้าปกคลุมทั่วเกาะจิ๋วหวู่ ความหนาของมวลเมฆนี้ เปรียบเสมือนโทสะของโหมวเฉินก็ไม่ปาน เพราะเมื่อเข้าใกล้พระราชวังต้าฮั่น เขาก็รับรู้ได้ว่ากลิ่นอายของเกราะทองเสวียนอู่เริ่มจางหาย... มันจะเป็ไปได้อย่างไร?
เกราะทองเสวียนอู่มีพลังอันไร้ที่สิ้นสุด หากถูกทำให้มัวหมองจนหมดซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ ก็จะทำให้กลิ่นอายขององค์ราชันเลือนหาย หรือมันจะถูกนำไปหลอมสร้างเป็อาวุธวิเศษแล้ว?
“โฮก...!”
โหมวเฉินแหงนหน้า คำรามยาวอย่างโกรธเกรี้ยว
เปรี้ยงๆๆ!
สายฟ้าฟาด จนเกิดเสียงคำรามก้อง สร้างความสั่นะเืไปทั่วทั้งบริเวณ ยามนี้ ท้องนภาช่างน่ากลัวนัก ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนบนเกาะจิ๋วหวู่ ต่างรู้สึกพรั่นพรึงต่อภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้น
ณ ห้างร้านไม่ไกลจากพระราชวังต้าฮั่น
ตอนนี้ ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรอย่างเิไท่ กำลังสอบปากคำเหล่าขุนนาง ที่ทำการทุจริตในลานใหญ่ของห้าง
เหล่าขุนนางผู้ทำการทุจริตซึ่งถูกจับมัดไว้ด้วยกัน ตาเบิกกว้าง มองไปยังเิไท่เขม็ง
“เิไท่ เ้ากล้าดีอย่างไร ถึงมาหาญสู้กับกงกงเช่นนี้? ท่านลุงของข้าเป็ถึงกงกงในราชสำนัก ที่เคยติดตามฮ่องเต้มาก่อน หากเ้ากล้าแตะต้องข้า ท่านลุงจะไม่ปล่อยเ้าเอาไว้แน่!” หนึ่งในขุนนางที่ถูกจับกุมกล่าว พลางกระอักเื แต่ก็ยังคงถลึงตาใส่เิไท่อย่างเจ็บใจ
เิไท่ถือราชโองการเอาไว้ในมือมั่น ด้านข้างมีองครักษ์เสื้อแพรกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังมองเขานิ่ง
“ฝ่าาทรงมีพระเมตตาต่อใต้หล้า จึงมีพระราชโองการลดภาษีเงินได้ให้สามปี แต่ร้านของเ้าก็ยังต้องจ่ายภาษีเบ็ดเตล็ดอื่นๆ ทว่า เ้ากลับโกงภาษีอย่างต่อเนื่อง เป็ญาติสนิทของขุนนางแล้วอย่างไร?
เ้าก็ยังคงทุจริต ขายตำแหน่งขุนนาง โกงกินเสบียงช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเห็นแก่ตัว หากินบนความทุกข์ทรมานของผู้เดือดร้อน ทำให้ผู้ประสบอุทกภัยอดตายไปมากกว่าแปดร้อยคน” ดวงตาของเิไท่เย็นะเื
“เ้า... เ้า้าอะไร?” เหล่าขุนนางมองมาด้วยสายตาสั่นไหว
เิไท่มองกลับไปด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ก่อนเอ่ยเสียงเย็น “ข้าได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบคดี และมีอำนาจในการตัดสินโทษของพวกเ้า... ตัดหัวมันเสีย!”
“ขอรับ!”
“อะไรกัน? กล้าดีอย่างไรมาสั่งสังหารข้า? ท่านลุงของข้าไม่ปล่อยเ้าไว้แน่!” ขุนนางหนุ่มะโอย่างเคียดแค้น
“หาใช่แค่หัวของเ้าไม่! แต่ข้าจะตัดหัวพวกเ้าทั้งตระกูล ในการทำงานขององครักษ์เสื้อแพร จะต้องไม่ให้เหลือเสี้ยนหนามมาทิ่มแทงตนเองหรือผู้อื่นได้อีก หาก้ากำจัดวัชพืชให้หมดสิ้น ก็ต้องขุดรากถอนโคนเท่านั้น!” เิไท่พูดด้วยน้ำเสียงอำมหิต
กล่าวจบ ก็หมุนตัว เดินออกจากลานห้างไป
เหล่าขุนนางที่ได้ยินเช่นนั้น จึงเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว ไม่มีการไว้ชีวิต? ขุดรากถอนโคน?
“ไม่ๆ... ไม่...!” ขุนนางผู้กระทำความผิดร้องอย่างหวาดหวั่น
เมื่อเิไท่ออกคำสั่ง เหล่าองครักษ์เสื้อแพรต่างก็ทำงานกันอย่างรวดเร็ว
บริเวณโดยรอบนั้น มีขุนนางบางกลุ่มที่ยังไม่ได้ถูกตรวจสอบ พวกเขาดูตื่นตระหนก เมื่อรู้สึกว่าตนเองอาจจะถูกเพ่งเล็ง เพราะนี่คือองครักษ์เสื้อแพร กลุ่มคนที่ไม่ว่าจะไปที่ไหน สถานที่แห่งนั้นก็จะเอ่อนองไปด้วยโลหิตสดๆ ราวกับแม่น้ำสีเืก็ไม่ปาน
เิไท่หันไปมองกลุ่มขุนนางที่ลอบมองตนนิ่งๆ เมื่อคนเ่าั้ถูกเขาจ้องกลับ ต่างก็สั่นสะท้าน พร้อมใจกันก้มศีรษะ แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อกลับไปแล้ว ก็มักจะมีขุนนางกลุ่มหนึ่ง เขียนจดหมายร้องเรียนไปยังราชสำนัก เพื่อฟ้องร้ององครักษ์เสื้อแพรกันอย่างท่วมท้น
แล้วอย่างไรเล่า? กู่ไห่แต่งตั้งหน่วยองครักษ์เสื้อแพรขึ้นมา ก็เพื่อให้ตรวจสอบความเรียบร้อยในแผ่นดิน อีกทั้งนี่ยังเป็การตัดสินใจที่เด็ดขาดของเขา โดยไม่สนใจคำคัดค้านใดๆ เช่นนี้แล้ว ใครจะทำอะไรองครักษ์เสื้อแพรของฮ่องเต้ได้?
เิไท่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แม้ชีวิตจะดีขึ้น และมีความเป็อยู่ที่สะดวกสบายก็จริง ทว่า เขาก็ได้แต่ข้องใจ ว่าราชวงศ์ต้าฮั่นนี้ จะสามารถเทียบเคียงกับเหล่าราชวงศ์อื่นๆ ในทวีปเสินโจวได้หรือ?
ตูม!
ทันใดนั้น ท้องฟ้าที่เคยสดใสพลันมืดครึ้ม เสียงอัสนีคำรามก้อง
“หืม?” สีหน้าของเิไท่เปลี่ยนไปทันที
เขาเงยหน้ามองฟ้าสีเทาหม่นด้วยความประหลาดใจ จึงพบว่าเหนือพระราชวังต้าฮั่น มีสายฟ้านับไม่ถ้วนผ่าลงมาอย่างสนั่นหวั่นไหว สร้างแรงสั่นะเือย่างหนักไปทั่วบริเวณ
“ใครกัน? มีพลังรุนแรงถึงเพียงนี้เชียวหรือ?” สีหน้าของเิไท่เปลี่ยนไป
ฟู่!
เิไท่ทะยานขึ้นฟ้า ก่อนจะเหาะไปยังพระราชวัง
ฝ่าาเพิ่งเปิดแคว้นได้ไม่นาน แต่กลับสร้างศัตรูซึ่งมีพลังมหาศาลถึงเพียงนี้แล้วหรือ?
“นี่คือพลังอันแข็งแกร่ง ตำหนักทะยาน์ของราชวงศ์ต้าฮั่น คงจะไม่ถูกทำลายไปโดยง่ายหรอกกระมัง?” ดวงตาของเิไท่สั่นไหวเล็กน้อย อย่างนึกหวั่นใจ
ท้องฟ้าอันมืดครึ้มในบริเวณพระราชวังต้าฮั่นนั้น เห็นได้อย่างชัดเจนมาก แม้จะอยู่ห่างไกล
เหล่าผู้ฝึกตน ณ บ่อนพนันชั้นหนึ่ง ต่างหน้าถอดสี นี่เป็สภาพอากาศที่น่ากลัวนัก เมื่อมองจากที่ไกลๆ เช่นนี้
...
ณ เรือนของซ่างกวนเหิน
เกราะทองเสวียนอู่ขนาดใหญ่ บัดนี้ ถูกหั่นเป็ชิ้นเล็กๆ
ทันใดนั้น ก็เกิดฟ้าผ่าและฟ้าร้องดังสนั่นไปทั่วบริเวณพระราชวัง ฝนที่ตกหนัก ทำให้ซ่างกวนเหินซึ่งกำลังกินเกราะทองเสวียนอู่อยู่ ถึงกับเลิกคิ้วขึ้นอย่างนึกสงสัย ก่อนที่จะมองออกไปนอกประตูเรือน
นี่คือกลิ่นอายของเสวียนอู่? โหมวเฉิน? ซ่างกวนเหินเลิกคิ้วอย่างกังขา วางเกราะทองเสวียนอู่ชิ้นสุดท้ายเอาไว้ที่ทางเข้า ลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วเดินออกจากเรือนไป
ตูม!
ทันใดนั้น ร่างของโหมวเฉินก็ปรากฏขึ้นที่ด้านนอกของพระราชวังต้าฮั่น พายุรุนแรงก่อตัวขึ้น และโหมพัดกระหน่ำไปทั่วบริเวณ ฝนก็ตกลงมาอย่างหนักเช่นกัน
โหมวเฉินยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน ดวงตาของเขาปิดลง และเผยใบหน้าโศกเศร้าอย่างฉับพลัน
“ไม่มี? หายไปจนหมดสิ้น? กลิ่นอายของเกราะทองเสวียนอู่หายไปจนหมดแล้วอย่างนั้นหรือ?” ใบหน้าของโหมวเฉิน แสดงความพิโรธขึ้นเรื่อยๆ
และในขณะนั้นเอง
ทุกคนก็วิ่งไปยังประตูใหญ่ของพระราชวัง พลเรือนและทหารทั้งหมดรีบพากันเข้ามาอย่าง้าหาที่พึ่ง ตอนนี้พวกเขากำลังสะพรึงกลัวจนถึงขีดสุด
บัดนี้ ในใจของกู่ฉินก็เต็มไปด้วยความวิตกกังวลเช่นกัน แม้ตนจะสืบทอดมรดกเวทมาจากท่านผู้าุโก็จริง แต่ด้วยกลิ่นอายที่แข็งแกร่งเช่นนี้ พลังของผู้มาเยือนจะต้องแกร่งกล้ามาก จนเขาอดคิดไม่ได้ ว่าลำพังแค่ตัวเอง จะสามารถยับยั้งพลังมหาศาลนี้ได้หรือไม่?
เหล่าขุนนางต่างหวาดวิตก ขณะมองกู่ไห่ ที่กำลังออกมาจากห้องหนังสือ “ฮ่องเต้!”
กู่ไห่สวมเสื้อคลุมัสีดำ พร้อมมงกุฎทรงต่ำบนศีรษะ ค่อยๆ เดินไปตรงหน้าเหล่าขุนนางที่ยืนห่างออกไป พลางกวาดสายตาเรียบเฉยไปยังผู้คนในห้องโถง ซึ่งกำลังสั่นเทาอย่างหวาดผวา ต่อสถานการณ์ในยามนี้
“เสด็จพ่อ นี่คือกับดักที่หลี่เฉินจีทิ้งเอาไว้อย่างนั้นหรือ?” กู่ฉินกล่าวอย่างเป็ห่วง
กู่ไห่พยักหน้า “เขาคงจะมาตามหาเกราะทองเสวียนอู่”
“หลี่เฉินจีช่างร้ายกาจนัก! ท่านผู้นี้ช่างมีพลังมหาศาล เช่นนี้แล้วเราจะสามารถรับมือกับเขาได้หรือพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ?” กู่ฉินพูดอย่างกังวล
“เกราะทองเสวียนอู่อยู่ไหน?” โหมวเฉินที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ะโลั่น
ตูม!
เสียงของเขา ดูเหมือนจะก่อให้เกิดลมพายุ พัดไปทั่วบริเวณพระราชวังต้าฮั่น ทำให้ดิน หิน ต้นไม้และใบหญ้า ถูกสายลมแรงหอบไปลอยละล่องอยู่กลางเวหา
“ฮึ่ม!”
ทันใดนั้น มวลเมฆและพายุ ก็พัดเข้าใส่พระราชวังอย่างรุนแรง
ตูมๆ... ตูม...!
ฟ้าคะนองหลายร้อยครั้งบนท้องฟ้า ครั้นเมื่อมันจะโหมซัดเข้ามาก็ต้องหยุดลง เมื่อชนกับค่ายกลใหญ่ที่ทางพวกเขาวางเอาไว้
“เสด็จพ่อ ข้าจะแจ้งไปยังซ่างกวนเหิน เพื่อให้เขาคืนเกราะทองเสวียนอู่ไป เพราะในไม่ช้า ค่ายกลใหญ่ก็จะต้านการโจมตีไม่ไหวแล้ว!” กู่ฉินกล่าวอย่างกังวล
“หุบปาก!” กู่ไห่เอ่ยอย่างเยียบเย็น
“หืม?” กู่ฉินมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ
“ตอนนี้ เกราะทองเสวียนอู่เป็ของซ่างกวนเหิน ดังนั้น เ้าไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินใจแทนเขา!” กู่ไห่พูดเสียงต่ำ
“พ่ะย่ะค่ะ!” กู่ฉินพยักหน้ารับ แม้จะกังวลมากก็ตาม
ยามนี้ ทั่วทุกพื้นที่กำลังเกิดความเสียหายอย่างหนัก
“ข้าคือฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าฮั่น นามว่ากู่ไห่... เ้าคือใคร? เหตุใดจึงมาบุกพระราชวังของข้า?” กู่ไห่เอ่ยถามเสียงทุ้ม
“แคว้นต้าฮั่นหรือ? ช่างเป็แคว้นที่ไร้เกียรติเสียจริง ถึงกับขโมยสมบัติของข้ามาเช่นนี้ จงคืนเกราะทองเสวียนอู่มาเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้น ข้าจะทำลายแคว้นเ้าให้ราบเป็หน้ากลอง!” โหมวเฉินตะคอกเสียงดังก้อง
ขณะพูด เขาก็กระทืบเท้าลงบนพื้นอย่างแรง
ตูม!
จู่ๆ ลำแสงขนาดใหญ่ก็ฟาดลงมาที่พื้น ูเาใหญ่ทรุดตัวลงทันที พร้อมกันนั้น ก็เกิดหลุมลึกขนาดใหญ่ สายธารจึงไหลรินเข้าสู่ภายใน
หลุมขนาดใหญ่นั้นมีความกว้างหลายพันฉื่อ ผู้คนนับไม่ถ้วนที่เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ต่างก็สั่นกลัว และครั่นคร้ามต่อความตาย
เหล่าขุนนางกลุ่มหนึ่งที่กำลังสะพรึงกลัว พลันแสดงตัวขึ้น “จะทำอย่างไรกันดีพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าา!”
ผู้ฝึกตนในบ่อนพนันชั้นหนึ่ง ต่างก็ตื่นตระหนกต่อเหตุการณ์ในตอนนี้เช่นกัน
เิไท่เห็นการมาของโหมวเฉินจากระยะไกล
…. ดูเหมือนจะเป็เทพอสูรเผ่าเสวียนอู่!
ดวงตาคมสั่นระริกเล็กน้อยด้วยความหวั่นเกรง
“เหตุใดถึงได้เลวร้ายถึงเพียงนี้?” เิไท่อุทานอย่างใ
ทุกคนต่างตกอยู่ในความกลัว มีเพียงกู่ไห่เท่านั้น ที่ยังมีท่าทีนิ่งเฉย ปราศจากความหวั่นเกรงใดๆ ทั้งสิ้น
ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าฮั่นผู้นี้ ช่างเป็บุคคลที่มีความองอาจ และควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดียิ่ง
ดวงตาของกู่ไห่เย็นเยือก เขาส่ายหน้า ก่อนเอ่ย “เ้าดูถูกแคว้นต้าฮั่นของข้าถึงเพียงนี้ ้าประกาศากับเราอย่างนั้นหรือ?”
“ประกาศากับเ้าอย่างนั้นหรือ?” โหมวเฉินพูด พลางหัวเราะเยาะด้วยความรังเกียจ
“ฮึ่ม!” กู่ไห่มองไปยังร่างตรงหน้าอย่างเ็า
ขณะนั้นเอง ซ่างกวนเหินก็ก้าวมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
“ฝ่าา เื่นี้ปล่อยให้เป็หน้าที่ของกระหม่อมเถิด ขอพระองค์โปรดทรงอนุญาต กระหม่อมต้องกราบทูลชี้แจงเื่นี้ได้แน่พ่ะย่ะค่ะ!” จู่ๆ ซ่างกวนเหินก็พูดขึ้น พลางโค้งคำนับ
“หืม? ซ่างกวนเหิน เ้าไม่จำเป็ต้องทำเช่นนี้ ต้าฮั่นเป็ผู้รับปัญหามา เช่นนั้นข้าจึงต้องจัดการมันด้วยตัวเอง” กู่ไห่พูดเสียงเรียบ
ซ่างกวนเหินรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด เพราะรู้ว่าอีกฝ่าย้าปกป้องตน และตอนนี้ ฮ่องเต้ก็กำลังใช้ชะตากรรมของแคว้น ในการคุ้มครองเขาจากผู้รุกรานตรงหน้า
“ไม่! ฝ่าา โปรดทรงวางพระทัย กระหม่อมสามารถแก้ไขปัญหาได้แน่ โปรดทรงมอบเื่นี้ ให้กระหม่อมเป็ผู้จัดการด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” ซ่างกวนเหินกล่าวอย่างจริงจัง
กู่ไห่มองอีกฝ่ายเงียบๆ เมื่อเห็นว่าเขามีความตั้งใจจริง จึงไม่อาจปฏิเสธคำร้องขอได้ ดังนั้นจึงพยักหน้า ตามใจคนสนิทของตน
“เป็พระกรุณายิ่ง ที่ทรงไว้วางพระทัย!” ซ่างกวนเหินตอบ
กู่ฉินและเหล่าขุนนางมองซ่างกวนเหินอย่างสงสัย
แม้แต่เิไท่ที่เหาะมาอย่างรวดเร็ว ก็ยังแสดงสีหน้างุนงง เมื่อเห็นว่าซ่างกวนเหิน กำลังเดินไปเผชิญหน้ากับโหมวเฉินเพียงลำพัง
“ฮ่าๆๆๆ... ฮึ่ม! หากวันนี้ไม่ทำลายแคว้นเ้าให้สูญสิ้น ข้าคงไม่มีหน้าจะกลับไปเผ่าของตัวเอง!” โหมวเฉินะโเสียงดัง
ตูม!
ไอพลังมหาศาลแผ่ออกมาอีกครั้ง บนแผ่นหลังของโหมวเฉิน พลันปรากฏกระดองเต่าขนาดั์ พลังอันน่าเกรงขามนั้น ทำให้เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างขวัญผวาจนแทบเสียสติ
“โหมวเฉิน เ้าช่างอวดดีนัก!” ซ่างกวนเหินถลึงตา พลางตวาดเสียงดัง
“หืม? เ้ารู้จักข้าอย่างนั้นหรือ?” โหมวเฉินเอ่ยด้วยดวงตาที่เย็นเยียบ และโกรธเกรี้ยว
“มองดูข้าให้ดีๆ สิ!” ซ่างกวนเหินบอกอย่างเยือกเย็น
โหมวเฉินสบตาอีกฝ่ายทันที พลันเอื้อมมือออกไปคว้า ก่อนตอบกลับเสียงเืเย็น “เ้าตัวเล็ก! ไม่รู้จักตายเสียแล้ว?”
แต่จะว่าไป… โหมวเฉินค่อยๆ หรี่ตาลง
ซ่างกวนเหินเดินเข้าไปใกล้ทีละก้าวๆ ตอนนี้มีฝนตกหนักลงมากระทบร่าง แต่เขากลับไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก สนใจเพียงผู้ที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น
โหมวเฉินจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย เมื่อเห็นสายตาที่ดุร้าย ปราศจากความเกรงกลัวของซ่างกวนเหิน พลันรู้สึกตัวขึ้นมา
สายตาเช่นนี้... ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด?
ซ่างกวนเหินที่กำลังเดินเข้ามา เป็เพียงมนุษย์ตัวเล็กๆ เท่านั้น แต่ในสายตาของโหมวเฉินแล้ว ฝ่าเท้าที่กำลังก้าวย่าง กลับดูใหญ่ขึ้นทุกที เขากระแทกเท้าอย่างดุดัน จนเกิดเสียงดังสะท้านฟ้าะเืดิน ประหนึ่งกลองรบก็ไม่ปาน
“สายตา… สายตาเช่นนี้?” ดวงตาของโหมวเฉินค่อยๆ เบิกกว้างอย่างตกตะลึง
“นี่... จะเป็ไปได้อย่างไร?” โหมวเฉินอุทาน ด้วยความตระหนก
“ฮึ่ม!”
พลังของเขาพลันสูญสลาย เมฆหมอกครึ้มที่เคยก่อตัวก็เช่นกัน
“เ้าคือ… เป็ไปไม่ได้! เ้าคือ...” โหมวเฉินร้องด้วยความหวั่นเกรง
“เ้ายืนตระหง่านเช่นนี้ ้าให้ข้าก้มคารวะเช่นนั้นหรือ?” ซ่างกวนเหินกล่าว น้ำเสียงราบเรียบ
ได้ยินเช่นนั้น โหมวเฉินจึงสะดุ้งใ
“มิ… มิได้ขอรับ!” เขาพลันทรุดตัวลงคารวะ ด้วยความปีติยินดี
“เ้าช่างบังอาจนัก!” ซ่างกวนเหินถลึงตาใส่ผู้น้อยตรงหน้า
ยังไม่ทันพูดจบ โหมวเฉินก็ต้องสงบปากอย่างยำเกรงอีกฝ่าย
“ออกไปรอข้าที่นอกวัง!” ซ่างกวนเหินสั่งอย่างเ็า
“ขอรับ!” โหมวเฉินตอบรับทันที
ฟู่!
โหมวเฉินเหาะออกไปนอกพระราชวังตามคำบัญชาทันที และรอคอยอย่างสงบ ด้วยความนอบน้อม
ไกลออกไป เิไท่ที่ลอบสังเกตการณ์จากบนฟ้า มองไปยังเทพอสูรที่เคยถือตนและหยิ่งยโส แต่มาบัดนี้ กลับแปรเปลี่ยนเป็ผู้ถ่อมตนเพียงชั่วพริบตาอย่างงุนงง
“ซ่างกวนเหินผู้นี้ จะต้องมีเื้ัไม่ธรรมดาแน่!” เิไท่พึมพำกับตัวเอง ขณะมองดูชายที่ตนกล่าวถึง
“แคว้นต้าฮั่นเอ๋ย แคว้นต้าฮั่น? ฝ่าา... ท่านได้ผู้ติดตามคนนี้มาจากไหนกัน?” เขารำพึงด้วยความรู้สึกประหลาดใจ พลางสูดหายใจลึก ก่อนหันกลับไปทำหน้าที่ของตนเช่นเดิม
ตอนนี้ ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี
ผู้ฝึกตนนับถ้วนในบ่อนพนันชั้นหนึ่ง ต่างก็ต้องหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม... แค่ซ่างกวนเหินออกปากตำหนิ ก็ทำให้ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้เชื่อฟัง ราวกับเป็คนใต้อาณัติ?
เดิมที พวกเขาวางแผนที่จะหาโอกาสแย่งชิงชีพจรัปฐี แม้ผู้ฝึกตนระดับหยวนอิงจะตายไปเกือบร้อยคน แต่ท้ายที่สุด ตนก็ยังมีโอกาสมิใช่หรือ?
นอกจากกู่ฉินและกู่ไห่ที่สร้างค่ายกลได้แล้ว ก็ไม่เห็นจะมีอะไร?
แต่บัดนี้ สิ่งที่ปรากฏตรงหน้า ทำให้ต้องเปลี่ยนความคิด... ใครก็ได้ช่วยบอกข้าที ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น? แคว้นต้าฮั่นมีผู้ผิดแปลกเช่นนี้กี่คนกันแน่?
เหล่าขุนนางต่างเบิกตากว้างพลางเหลือบมองซ่างกวนเหินอย่างประหลาดใจ
ตอนที่คนผู้นี้ปฏิเสธไม่รับตำแหน่งขุนนาง หลายคนยังหัวเราะเยาะอีกฝ่ายอยู่ในใจ ทั้งยังคิดว่าเขาช่างโง่เขลานัก แต่ยามนี้เริ่มจะไม่แน่ใจแล้ว ว่าเป็ซ่างกวนเหิน หรือพวกตนกันแน่ที่โง่เขลา?
ซ่างกวนเหินหันไปมองกู่ไห่ พร้อมโค้งคำนับอย่างอ่อนน้อม “ฝ่าา กระหม่อมขอตัวก่อน!”
“อืม!” กู่ไห่พยักหน้า
ซ่างกวนเหินรีบเดินออกจากวังหลวง ไปพบโหมวเฉินที่ยังรออยู่ด้านนอกอย่างร้อนรน
“เสด็จพ่อ ซ่างกวนเหินผู้นี้เป็ใครกันแน่?” แววตาของกู่ฉินฉายแววสับสน
“เขาจะบอกก็ต่อเมื่อเขา้า… เอาละ! แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของพวกเ้าเสีย” กู่ไห่กล่าวเสียงเรียบ
“พ่ะย่ะค่ะ!” เหล่าขุนนางตอบรับ