วันเวลาล่วงเลยมาถึงรัชศกหนานหนิงปีที่ห้า ย่างเข้าคิมหันตฤดู กำหนดรายงานตัวเข้าสำนักศึกษาหลวงยังเหลืออีกครึ่งเดือน ยามนี้ิหยวนจึงอยู่ระหว่างทางไปเมืองเจี้ยนคัง
ใต้หล้าเวลานี้สถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดีนัก ชาวนาอับจนหนทาง ไม่มีเงินจ่ายภาษี ละทิ้งที่ดินทำมาหากินของตน หนีขึ้นเขาตั้งกองโจรออกอาละวาด สร้างความเดือดร้อนไปทั่วแว่นแคว้นและหัวเมืองต่างๆ
คราวที่ิเยี่ยเดินทางเข้าเมืองหลวงก็เกือบถูกปล้น โชคดีที่เขาพาคนติดตามไปเยอะ จึงเอาตัวรอดได้ คราวนี้ิหลานจึงฝากฝังิหยวนให้เดินทางเข้าเมืองหลวงไปกับเรือสินค้าของสมาคมต้าเจียง
สมาคมต้าเจียงทำการค้าขายมานานหลายสิบปี จากที่เริ่มต้นด้วยเรือสำปั้นเพียงไม่กี่ลำ ปัจจุบันพวกเขาผูกขาดการขนส่งสินค้าตามแนวแม่น้ำฉางเจียงไปกว่าครึ่ง ไม่ว่าข้าว ชา ผ้าไหม เครื่องลายคราม ม้า ขนสัตว์ หรือสินค้าอื่นๆ อีกมากมายล้วนต้องใช้บริการเรือขนส่งของพวกเขา
เพราะเป็กิจการขนาดใหญ่จึงต้องดูแลความปลอดภัยของสินค้าและป้องกันไม่ให้ถูกปล้น การเดินเรือแต่ละครั้งจึงต้องมีกำลังคนและอาวุธที่เพียงพอ จะเรียกว่ากองทัพทางน้ำก็ไม่ผิด
หากเป็ยุคบ้านเมืองสงบสุข ราชสำนักย่อมไม่มีทางปล่อยให้ราษฎรแบ่งแยกกันเป็กลุ่มหรือสมาคม ทว่ายามนี้ราชสำนักและตระกูลชนชั้นสูงปกครองร่วมกัน แก่งแย่งชิงอำนาจ บ้านเมืองระส่ำระส่าย ขุนนางท้องถิ่นต้องปกครองกันเอง ราษฎรตกที่นั่งลำบากต่างไม่พอใจรวมตัวประท้วงทุกแห่งหน เ้าหน้าที่ต้องคอยระงับเหตุทางนั้นทีทางนี้ที จึงไม่มีเวลามาปราบปรามสมาคมน้อยใหญ่ อีกทั้งเจียงไห่หลิว หัวหน้าสมาคมต้าเจียงรู้ว่าต้องทำอย่างไรให้เ้าหน้าที่พวกนั้นไม่เข้ามายุ่งกับสมาคมของเขา และปล่อยให้แต่ละสมาคมคนรากหญ้าต่อสู้กันเอง
เรือลำใหญ่ค่อยๆ แล่นเข้าสู่ปากแม่น้ำเมืองเจี้ยนคัง ิหยวนยืนอยู่บนหัวเรือกวาดสายตามองภาพความเจริญรุ่งเรืองตรงหน้าด้วยความยินดี
สิ่งแรกที่สะดุดตาคือเรือจำนวนมาก มีทั้งลำใหญ่และเล็ก บ้างเป็เรือใหญ่ห้าเสากระโดง บ้างเป็เรือเล็กเสากระโดงเดียว เรือใหญ่แน่นขนัด ส่วนเรือเล็กก็พยายามแทรกไปตามช่องเล็ก ะโด่าทอกันไปมา ทะเลาะกันแย่งท่าเทียบเรือ บ้างคนตกน้ำก็ะโขอความช่วยเหลือ
บนฝั่งมีจับกังแบกกระสอบใบใหญ่ขึ้นๆ ลงๆ เรือเหมือนมดงานขนอาหาร เหล่าพ่อค้าแม่ขายวางแผงเรียงราย บ้างก็หาบของขาย มีทั้งผลไม้ตามฤดูกาล มีทั้งของหวานของทานเล่น และอื่นๆ อีกมากมาย มีทั้งพนักงานนำทางลูกค้าไปโรงเตี๊ยม เสียงพ่อค้าหาบเร่เรียกลูกค้า เสียงเรือพาย เสียงเรือใบ และเสียงน้ำในแม่น้ำทำให้บรรยากาศครึกครื้นยิ่ง
ได้มองภาพความงามของเมืองหลวงจากบนเรือ ถนนหนทางก็กว้างขวาง ท่าเทียบเรือใหญ่โต แม่น้ำไหลผ่านตัวเมืองชั้นในถึงพระราชวังใหญ่โตโอ่อ่าที่เซี่ยไท่ฟู่สั่งสร้าง ที่คนเขาเล่าลือกันว่าสามชั่วอายุคนไม่เคยมีให้เห็น ตัวเมืองรอบนอกรายล้อมไปด้วยจวนขุนนางกำแพงสูงจนคนภายนอกไม่อาจมองเห็นภายใน มาเยือนเมืองหลวงคราวนี้จึงเปิดโลกทัศน์ิหยวนมาก
เขาเติบโตแค่ในเจียงโจว คิดมาโดยตลอดว่าเมืองเจียงโจวเจริญรุ่งเรืองมากแล้ว ตระกูลิก็ร่ำรวยที่สุดแล้ว บัดนี้ได้มาเห็นเมืองที่มีชื่อเสียง ถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วตนเองเป็เพียงเห็ดรามิรู้คืนวัน จั๊กจั่นมิรู้วสันตสารท [1] เช่นนั้นคำกล่าวที่ว่า ‘เสียใจที่ก่อนตายไม่มีโอกาสเห็นแผ่นดินเกิดรวมเป็หนึ่ง’ ก็เป็แค่คำพูดของเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่ยังไม่เคยเผชิญโลกกว้าง
“คุณชายสวมเสื้อคลุมเถิดขอรับ ลมแรงเดี๋ยวไม่สบาย” อาซือนำเสื้อคลุมมาให้คนที่หัวเรือ คนตระกูลิเห็นว่าิหยวนต้องเดินทางไกลควรมีคนดูแล จึงส่งบ่าวในจวนนามว่าอาจงมาคอยรับใช้เขา ส่วนโหวอิงก็ให้เด็กรับใช้ที่อยู่ข้างกายตนมาหลายปีติดตามมาดูแลเขาที่เมืองหลวงด้วย
“อาซือ เ้าเคยมาเจี้ยนคังหรือไม่?”
“ท่านเองยังไม่เคยมา ผู้น้อยจะเคยมาได้อย่างไรขอรับ” อาซือสนิทสนมกับเขาอยู่ก่อนแล้ว จึงพูดคุยแบบเป็กันเอง
“แม่น้ำน้อยใหญ่ไหลคดเคี้ยว ผาหินแกร่งล้อมรอบ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น”
“พูดอีกก็ถูกอีก หน้าน้ำหลังเขานี่คือฮวงจุ้ยในอุดมคติ การเดินทางไม่สะดวกสบาย ทำให้พี่ชายลำบากแล้ว” ขณะที่ิหยวนกำลังชื่นชมทิวทัศน์ คนผู้หนึ่งบังเอิญได้ยินเข้าจึงเดินมาคุยกับเขา เป็เจียงเสี่ยวเจียง บุตรชายคนเล็กของเจียงไห่หลิว เ้าของเรือสินค้าสมาคมต้าเจียง
เนื่องจากผู้เป็บิดาไม่ค่อยสันทัดเื่การตั้งชื่อ จึงตั้งชื่อบุตรชายคนโตว่าเจียงต้าเหอ บุตรชายคนรองว่าเจียงเอ้อร์เหอ และบุตรชายคนที่สามว่าเจียงเสี่ยวเจียง เสี่ยวที่แปลว่าเล็ก แต่พอโตขึ้น เขาก็เปลี่ยนชื่อเป็เสี่ยวเจียง เสี่ยวที่แปลว่าฉลาด แน่น่อนว่าเขาถูกบิดาด่าตามระเบียบ
แต่ถึงเปลี่ยนไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะคนงานส่วนใหญ่ก็ไม่รู้หนังสือ จึงไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างชื่อเดิมกับชื่อใหม่
เจียงเสี่ยวเจียงมีหน้าที่ควบคุมการเดินเรือและคอยดูเส้นทางเดินเรือ ทุกวันเขาจะต้องออกมาสังเกตทิศทางลมและการไหลของน้ำ และสั่งการคนควบคุมหางเสือ เขาเป็คนมีความสามารถและมีอารมณ์ขัน หลังจากเดินทางด้วยกันมากว่าสิบวัน ิหยวนก็เริ่มสนิทกับเขาแล้ว ทว่าจู่ๆ เขาก็เอ่ยคำสุภาพ จึงอดหัวเราะไม่ได้ “เป็ข้าที่ต้องขอบคุณนายน้อยที่ช่วยเหลือให้ข้าร่วมเดินทางมาด้วย ไม่มองว่าข้าเป็ภาระ แล้วจะกล่าวว่าข้าลำบากได้อย่างไร?”
“นั่นมันเหมือนกันที่ไหน สำหรับข้าการเดินเรือไม่ได้ลำบากอะไร แต่พวกเ้าเป็บัณฑิต” สมาชิกทุกคนบนเรือให้ความเคารพเขามาก เหตุเพราะยุคสมัยนี้บัณฑิตมีสถานะสูงส่ง ผู้คนต่างยกย่องนับถือ
“เฮ้ย! นายน้อยมาแล้ว รีบหลีกทางเร็ว!” ทันทีที่เรือลำอื่นเห็นธงกลุ่มต้าเจียงและเจียงเสี่ยวเจียงที่ยืนอยู่ตรงหัวเรือ ต่างรีบขยับเรือหลีกทางให้ แม้แต่เรือที่เทียบท่าอยู่ยังต้องเคลื่อนออกไปให้เรือของกลุ่มต้าเจียงเข้าเทียบท่า ภาพเ่าั้ทำให้ิหยวนรู้ซึ้งแล้วว่ากลุ่มต้าเจียงมีอิทธิพลมากเพียงใด
“คุณชายท่านดูสิ พ่อบ้านหวัง!”
ซือเอ๋อร์สายตาเฉียบคม ชี้ไปที่กลุ่มคนบนท่าเรือ ิหยวนมองชัดๆ ก็พบว่าเป็คนรู้จักจริงๆ หวังหม่าเอ๋อร์อดีตหัวหน้าคนงานที่เคยรังแกและดูถูกิหยวน ต่อมาิหยวนได้รับความโปรดปรานจากเ้านาย เขาใจนล้มป่วย จนพ่อบ้านในจวนใหญ่ต้องเรียกตัวมาลงโทษและอบรมสั่งสอน เขาถึงได้เป็ผู้เป็คนขึ้น
ปีก่อนิเยี่ยย้ายมาอยู่เมืองหลวง ตระกูลิจึงซื้อที่ดินสร้างจวนในเมืองเจี้ยนคัง และส่งหวังหม่าเอ๋อร์มารับใช้และดูแลความเรียบร้อยในจวน ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่ได้เป็อย่างดี
“หยวนเก้อเอ๋อร์! มาแล้ว! เดินทางราบรื่นดีหรือไม่?” ิหยวนกล่าวลาเจียงเสี่ยวเจียง ก่อนจะเดินมาหาหวังหม่าเอ๋อร์ ทันทีที่เขาลงจากเรือ อีกฝ่ายก็รับเข้ามาทักทายทันที ิหยวนในวันนี้ไม่ใช่เด็กที่เขาจะรังแกและทุบตีตามใจได้อีกต่อไป แต่เป็ผู้ที่เขาต้องก้มหัวคำนับเมื่อพบหน้า
ิหยวนรีบดึงเขาขึ้น ไม่ได้เจอกันมาหนึ่งปี ดูเหมือนเขาค่อนข้างเป็มิตรขึ้น “ราบรื่นดี ต้องขอบคุณนายน้อยเจียงที่ดูแลเราเป็อย่างดี พ่อบ้านหวังมารับข้าด้วยตนเอง รบกวนท่านแล้ว อันที่จริงเพียงส่งบ่าวรับใช้มานำทางข้าไปจวนก็พอแล้ว”
“ไม่เป็ไรขอรับ” หวังหม่าเอ๋อร์ส่งยิ้มให้เขา ก่อนจะหันไปสั่งคนขนสัมภาระกลับจวน ข้าวของของิหยวนมีไม่เยอะ ส่วนกล่องใบใหญ่มากมายพวกนั้นเป็ของที่คนตระกูลิฝากมาให้ิเยี่ย “อันที่จริงเยี่ยเก้อเอ๋อร์ก็มาด้วย แต่รออยู่นาน จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าหยวนเก้อเอ๋อร์เดินทางมาไกล ถนนฝั่งตะวันตกมีร้านขายน้ำผลไม้อยู่ร้านหนึ่ง จึงตั้งใจเดินกลับไปซื้อมาไว้ให้ท่านดื่มดับกระหาย คลายความเหนื่อยล้า แต่จะให้คนอื่นไปซื้อเขาก็ไม่วางใจ จึงไปด้วยตนเอง ก่อนไปเขายังพึมพำว่าขอให้ท่านอย่าพึ่งมาถึงก่อนที่เขาจะกลับมา แต่พอเขาไปได้ไม่นาน ท่านก็มาถึงพอดี โชคร้ายที่สิ่งที่เขากังวลดันเกิดขึ้นจริง”
“เช่นนั้นเราไม่รอเขาก่อนหรือ?”
“ไม่ต้องหรอก เรากลับกันเถิด ที่นี่มีถนนเส้นเดียว หากเยี่ยเก้อเอ๋อร์เดินย้อนกลับมา ย่อมต้องพบกันระหว่างทาง”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[1] เห็ดรามิรู้คืนวัน จักจั่นมิรู้วสันตสารท (朝菌不知晦朔,蟪蛄不知春秋) หมายถึง มีความรู้เพียงผิวเผิน