เหยียนอู๋อวี้ก้มศีรษะมองปราดหนึ่ง จำได้ว่าผู้ที่มาเป็นางกำนัลข้างกายอู๋เจี๋ยอวี๋ นางจึงมองไปทางซ่งอี้เฉินและรอให้เขาตอบ
ซ่งอี้เฉินขมวดคิ้วพลางกล่าว “ไม่สบายก็ไปหาหมอหลวง เจิ้นไม่รู้วิธีรักษา ไฉนจึงมาที่นี่?”
นางกำนัลอ้าปากเอ่ยตัวสั่นเทา “ทูลฝ่าา หมอหลวงกล่าวว่าสนมเจี๋ยอวี๋ป่วยทางใจเพคะ…...”
เหยียนอู๋อวี้วางตะเกียบพลางมองเขาอย่างเป็กังวล ก่อนจะเอ่ยโน้มน้าว “ฝ่าา หม่อมฉันได้ยินมาว่าโรคป่วยใจรักษายากที่สุด พี่หญิงเจี๋ยอวี๋ต้องทรมานมากแน่เลยเพคะ ฝ่าาไม่ลองไปดูเสียหน่อย วันนี้นางส่งโสมพันปีมาให้หม่อมฉันสามหัว ฝ่าาช่วยหม่อมฉันนำกลับไปสักหัว สองหัวที่เหลือหม่อมฉันจะเก็บไว้ให้นางก่อน! หายดีแล้วค่อยส่งกลับไปให้นางดีหรือไม่เพคะ?”
เดิมทีซ่งอี้เฉินถูกนางกำนัลรบเร้าจนรู้สึกรำคาญ เมื่อได้ยินเหยียนอู๋อวี้กล่าวเช่นนี้เขากลับแย้มยิ้ม เมื่อนึกถึงเื่ที่เกิดขึ้นในท้องพระโรงในวันนี้จึงลุกขึ้นกล่าว “เช่นนั้นเจิ้นจะไปดูสักหน่อยแล้วจะรีบกลับมา”
เหยียนอู๋อวี้รีบส่ายศีรษะ “ฝ่าา พี่หญิงเจี๋ยอวี๋ป่วยทางใจ คิดดูแล้วเป็เพราะนางคิดถึงฝ่าา หากไม่อยู่ด้วย เกรงว่าคงส่งผลต่ออาการป่วยของนางได้เพคะ”
“ไม่ต้องพูดแล้ว เจิ้นจะไปก่อน” ซ่งอี้เฉินโบกมือแล้วเดินออกไปจากตำหนักเฟิ่งชัย
จนกระทั่งเขาเดินจากไป เหยียนอู๋อวี้จึงถอนหายใจโล่งอก
เดิมทีนางคิดว่าคืนนี้คงถึงคราวเคราะห์แล้ว ไม่คิดเลยว่าอู๋เจี๋ยอวี๋จะะโออกมากู้หน้าไว้ได้ทัน
ในเมื่อซ่งอี้เฉินไปตำหนักนางแล้ว เกรงว่านางจะต้องใช้กำลังทั้งหมดรั้งให้เขาอยู่ต่อให้ได้
นับว่ารอดพ้นอันตรายมาได้
นางหยุดคิดพลางมองอาหารบนโต๊ะ ก่อนจะโบกมือกล่าว “อาหารเหล่านี้พวกเ้าเอาไปแบ่งกันเถิด หากฝ่าากลับมาค่อยให้ห้องเครื่องจัดสำรับให้ใหม่อีกรอบ”
ตำหนักเฟิ่งชัยแทบทุกคนได้รับรางวัลกันถ้วนหน้า พวกเขาจึงรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณเป็อย่างยิ่ง
ในเวลานี้ป้าโฉ่วประคองเหยียนอู๋อวี้ไปพักผ่อนบนตั่งนอนในห้อง เนื่องจากยาออกฤทธิ์รุนแรงเกินไป หลายวันมานี้สภาพจิตใจนางยิ่งย่ำแย่มากขึ้นเรื่อยๆ นางฝืนทนจนผ่านพ้น่เวลากลางวันไปได้ พอตกกลางคืนก็หลับไม่สนิท นางทำได้เพียงฝืนจนรู้สึกเหนื่อยและงีบหลับไปครู่หนึ่งเพื่อขจัดความอ่อนเพลีย
ไม่รู้ว่านางหลับไปนานเพียงใด จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าย่องเบาเข้ามาในห้อง จากนั้นเสียงซูอิ่งพลันดังขึ้นข้างหูแ่เบา “นายหญิง หลิวชุ่ยเซวียนส่งข่าวมาว่าฝ่าาจะบรรทมที่ตำหนักของอู๋เจี๋ยอวี๋เ้าค่ะ”
เป็เช่นนี้จริงดังคาด
ประโยคนี้ปรากฏขึ้นในหัวของเหยียนอู๋อวี้ ความกังวลในใจคลายลง นางจึงตะแคงข้างแล้วนอนหลับไปอีกครั้ง
เมื่อตื่นขึ้นมาฟ้าก็สว่างแล้ว นางรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าอย่างยิ่ง
แม้ก่อนหน้านางจะนอนหลับได้ ทว่าความคิดนางกลับตีกันจนสับสนเพราะกลัวว่าซ่งอี้เฉินจะปรากฏตัวอย่างกะทันหัน ต่อให้หลับไปแล้ว ทว่าจิตสำนึกอีกครึ่งยังคงตื่นตัวอยู่เพื่อรอรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เมื่อคืนหลังจากยืนยันจนแน่ใจแล้ว สภาวะการตื่นตัวอีกครึ่งหนึ่งนั้นจึงสงบลง ในที่สุดนางก็นอนหลับได้
เพียงแต่การนอนในครั้งนี้ก็มีราคาที่ต้องจ่ายเช่นกัน
เนื่องจากนางได้เลื่อนตำแหน่งเป็ฉายเหริน วันนี้นางจำเป็ต้องไปคำนับเต๋อเฟยยามเช้า ด้วยความที่นางนอนหลับสบายจึงแต่งตัวได้ดูดีมีสง่าราศี ทันทีที่นางเข้าไปในตำหนักเยถิง พวกนางสนมที่มากันก่อนแล้วต่างมองนางด้วยสีหน้ามีความหมายผิดปกติ
ตอนแรกนางรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ทว่าต่อมาจึงเข้าใจว่าข่าวที่อู๋เจี๋ยอวี๋รั้งซ่งอี้เฉินไว้เมื่อคืนแพร่กระจายออกไป
เนื่องจากฮวารั่วซีกับเต๋อเฟยมีสถานะเท่าเทียมกันไม่ปรากฏตัว อีกทั้งอู๋เจี๋ยอวี๋ก็ส่งคนมาขอลา แม้ตำหนักเยถิงจะเต็มไปด้วยความเกลียดชังนาง แต่กระนั้นกลับไม่มีผู้ใดเอ่ยปากเยาะเย้ยนาง
เหยียนอู๋อวี้แย้มยิ้มมีความสุข นางกล่าวทักทายตามพิธีไม่กี่ประโยค จากนั้นจึงหาข้ออ้างขอตัวกลับ
เมื่อออกจากตำหนักเยถิงแล้วนางจึงแหงนหน้ามองท้องฟ้า ในใจพลันสั่นไหว ก่อนจะเอ่ยกับป้าโฉ่วว่า “อย่าเพิ่งรีบกลับ”
แม้ป้าโฉ่วจะรู้สึกแปลกใจ แต่ทว่ากลับไม่กล้าพูดมากนัก ทั้งสองคนออกมาจากตำหนักเยถิง เดินวนครึ่งรอบ สุดท้ายหยุดอยู่ที่เรือนชิงชิว
เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนที่นี่เป็ที่พำนักของนางสนมที่มีนามว่าชิงชิว นางมีจิตใจงดงามและมีคุณธรรมสูงส่ง อีกทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพร์จึงได้รับความโปรดปรานจากอดีตฮ่องเต้ ต่อมาไม่รู้ว่าไปล่วงเกินอันใดจู้หรง[1] ห้องบรรทมของนางพลันเกิดเพลิงไหม้ เนื่องจากนางหลับลึกจึงถูกเพลิงเผาอยู่ในห้องนั้นทั้งเป็ ไม่เหลือแม้แต่เถ้าธุลี
อดีตฮ่องเต้โศกเศร้าเพราะเื่นี้นานอย่างยิ่ง โชคดีที่ยังมีไทเฮาซึ่งเป็เป่าหลินในตอนนั้นคอยปลอบใจพระองค์ จนในที่สุดก็ผ่านบททดสอบความรักนี้มาได้ เพียงแต่จวบจนบัดนี้มิได้ย่างกรายเข้าเรือนชิงชิวนี้อีกเลย เพราะอดีตฮ่องเต้ละเลย สถานที่แห่งนี้จึงค่อยๆ ร้างผู้คน อ้างว้างยิ่งกว่าตำหนักเย็นเสียอีก
จวินอู๋เสียบอกว่าผีเสื้อสองตัวจะนัดพบที่เรือนชิงชิวยามเหม่า[2]สามเค่อของวันรุ่งขึ้น
เมื่อวานนางเห็นผีเสื้อสองตัววาดอยู่บนเสา แต่ไม่รู้ว่าเขาเป็คนทำเอาไว้หรือไม่
ไม่ว่าอย่างไร นางได้ตัดสินใจมาค้นหาคำตอบที่นี่
เรือนชิงชิวถูกทิ้งร้างไร้คนดูแลมาเป็เวลานาน ทั่วทั้งเรือนจึงเต็มไปด้วยวัชพืชและดอกไม้ป่า ยามนี้เป็ฤดูใบไม้ผลิมีต้นอ่อนงอกขึ้นประปราย บางต้นโผล่ออกมารับน้ำค้างยามเช้าในต้นฤดูใบไม้ผลิอย่างกล้าหาญและเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแกร่ง
สีสันเพียงหนึ่งเดียวที่ดีที่สุดคงเป็ดอกท้อหนึ่งต้นที่อยู่ข้างผนัง กิ่งก้านแผ่ออกไปด้านนอก ลมวสันต์พัดเอื่อยทำให้รู้สึกหนาวสะท้าน กลีบดอกท้อสีชมพูร่วงหล่นเต็มผืนดิน
ใต้ต้นดอกท้อมีเงาร่างสูงโปร่งยืนเอามือไพล่หลัง เสื้อคลุมยาวสีดำกลืนในพงหญ้า บนไหล่มีกลีบดอกไม้กระจายอยู่ประปราย เมื่อรับรู้ได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้ เขาจึงหมุนกายกลับไป กลีบดอกไม้เ่าั้ร่วงหล่นไปในพงหญ้า ใบหน้ารูปงามพลันปรากฏอยู่เบื้องหน้า ความประหลาดใจที่เพิ่งปรากฏในดวงตาถูกแทนที่ด้วยความผิดหวัง จากนั้นจึงตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย
เดิมพันถูกแล้ว!
รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเหยียนอู๋อวี้ นางค่อยๆ เดินเข้าไปหา ย่อกายคำนับเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “องค์ชายจวิน”
“เหยียนเป่าหลิน ไม่สิ ตอนนี้ควรเรียกว่าเหยียนฉายเหริน” จวินอู๋เสียมิได้เผยความคิดออกมาแม้แต่น้อย เขาเพียงใช้สายตามองนางด้วยความสงสัย
เมื่อวานเขาเพิ่งวาดผีเสื้อสองตัว วันนี้นางปรากฏตัวออกมา
เสียงฝีเท้าเมื่อครู่ที่เข้ามาใกล้ เขาคิดว่าเป็คนผู้นั้น ความลิงโลดในใจล้นทะลักออกมาอย่างอธิบายไม่ได้ จนกระทั่งพบว่าตนเองจำผิด ความผิดหวังแทบจะท่วมท้นตัวเขา
คำสัญญาเมื่อหลายปีก่อนเขาจดจำไว้ในใจแม่นยำมาโดยตลอด เขาไม่กล้าใช้กับนางในยามนั้น เพราะกลัวว่าหากมากเกินไปนางจะรำคาญ ดังนั้นเขาจึงยับยั้งชั่งใจครั้งแล้วครั้งเล่า
จนสุดท้ายก็ไม่เคยได้ใช้เลยสักครั้ง
หลังจากเกิดเื่กับตระกูลอวิ๋น และหลังจากได้ยินว่านางถูกซ่งอี้เฉินฆ่าตาย เขาก็ทนทุกข์มาเป็เวลานาน
ครั้งหนึ่งในเมืองแห่งนี้เคยเป็ที่หลบภัยของเขา
ตระกูลอวิ๋นสูญสิ้น อนาคตของเขาก็ปลิวไปกับสายลมเช่นกัน ทว่าจวินอู๋เสียในยามนั้นกลับไม่ได้ทุกข์ทรมานเพราะสิ่งนี้
เขาไม่สามารถเห็นเงาร่างของนางอีกต่อไป ไม่ได้ยินเสียงนาง แม้กระทั่งข่าวคราวของนางก็กลายเป็เื่ต้องห้ามในวัง
นางตายแล้ว ตายในสนามรบ ทว่าในใจเขากลับเกิดความเพ้อฝันขึ้น
นางจำคำสัญญานั้นได้หรือไม่? หากจำได้ หลังจากเห็นผีเสื้อพวกนั้น นางจะเข้ามาในความฝันของเขายามหลับแล้วเติมเต็มคำสัญญาในตอนแรก แค่สักครั้งก็เพียงพอแล้ว
หนึ่งตัวไม่มี สองตัวไม่มี สามตัวเล่า? หรือสี่ตัว ห้าตัว...…
รูปผีเสื้อจำนวนมากอยู่ในศาลาทรุดโทรมแห่งนั้น ทว่าไม่มีสักตัวที่พานางเข้าสู่ห้วงความฝันของเขาได้ ปีกคู่แ่เบาจำนวนนับไม่ถ้วนกลายเป็ความลับที่ฝังลึกอยู่ในก้นบึ้งหัวใจเขา
กระทั่งต่อมากลับกลายเป็ความเคยชิน
หลังจากวาดภาพเสร็จเขาก็ไปตามนัด ยืนอยู่ที่แห่งนั้น พูดสิ่งที่ตนเองอยากพูด ดื้อรั้นไม่หันกลับไป แสร้งทำเป็ว่านางยืนอยู่ด้านหลังฟังคำพูดเพ้อเจ้อของตนเอง
หากมีลมพัดโชยมาระลอกหนึ่ง เขาคิดว่านางน่าจะมาแล้ว
หากเป็นกน้อยตัวหนึ่ง เขาก็คิดว่านางมาแล้วเช่นกัน
ทว่าในความเป็จริงแล้ว…นางไม่เคยมาหาเลยสักครั้ง
เชิงอรรถ
[1] จู้หรง หมายถึง เทพแห่งไฟ
[2] ยามเหม่า หมายถึง เวลาเช้าตรู่ 05.00 – 06.59 น.
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้