หลังจากที่ได้ฟังเื่ราวทั้งหมดจากปากเด็กน้อย น้ำตาอาบแก้มหญิงหม้าย กล่าวขอบคุณโหยวเสี่ยวโม่กับหลิงเซียว ร่างกายออดๆ แอดๆ คำพูดประโยคเดียวก็ไอไปหลายครั้ง
แม้จะไม่อยากขายหยกแกะสลักสิบสองตัวที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่เพื่อความอยู่รอด หญิงหม้ายสาวก็ไม่มีวิธีอื่น
แม้ตำบลซื่อฟางจะเล็ก แต่การแข่งขันสูง นางไม่กินไม่ดื่มหลายวันได้ แต่จะให้ลูกชายต้องตกระกำลำบากด้วยไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องขายหยกทั้งสิบสองตัว
จากที่รู้ ราคาของหยกแกะสลักค่อนข้างสูง คนที่เข้าออกตำบลซื่อฟางบ่อยๆ ก็ไม่ได้ร่ำรวยมีฐานะ ดังนั้นั้แ่เดือนก่อนที่เอาหยกแกะสลักพวกนี้ออกมา ก็ขายไม่ออกสักตัว จนทั้งสองแม่ลูกแทบอดตายแล้ว ในที่สุดก็มีคนซื้อจนได้ อีกทั้งยังซื้อทีเดียวสิบสองตัว ทั้งสองแม่ลูกไม่เคยเห็นเงินมากมายขนาดนี้มาก่อน หากบอกว่าไม่ดีใจคงเป็เื่โกหก ทั้งสองร่ำไห้ด้วยความดีใจ
รอจนกว่าทั้งสองร้องไห้ได้พอสมควร ในที่สุดโหยวเสี่ยวโม่ก็มีโอกาสถามเื่หินทดสอบ
เมื่อได้ฟังลูกค้าจะซื้อหินทดสอบ หญิงหม้ายรีบเช็ดน้ำตา เงยหน้าถามอย่างประหลาดใจ “พี่ชายทั้งสอง้าซื้อหินทดสอบหรือ?”
นางกวาดตามองโหยวเสี่ยวโม่กับหลิงเซียว ท้ายสุดหันกลับมามองโหยวเสี่ยวโม่ “ท่านคือนักหลอมโอสถ?”
โหยวเสี่ยวโม่เหวอ มันดูออกชัดขนาดนั้นเชียว เอาเถอะ เทียบกับนักฝึกตนแล้ว เขาก็ดูอ่อนแอเกินไป แต่สายตาของหญิงหม้ายนั้นเฉียบคม ทั้งๆ ที่ป่วยขนาดนี้แท้ๆ
เมื่อได้รับคำตอบ หญิงหม้ายก็พาพวกเขาไปสวนด้านหลัง
หินทดสอบทั่วไปแล้วจะไม่วางอยู่ในร้าน ไม่ใช่เพราะไม่มีค่าพอ เพียงแต่หินทดสอบก้อนหนึ่งสูงถึงเมตรครึ่ง น้ำหนักราวสองร้อยชั่ง หนักมาก ปกติแล้วคงมีแต่ชายหนุ่มที่จะยกไหว
โหยวเสี่ยวโม่เดินตามหญิงหม้ายไปด้านหลังสวน ในสวนนั้นเขาเห็นหินสีขาวนมเป็ประกายตั้งอยู่ นั่นคงเป็หินทดสอบ ทั้งสวนมีเพียงแค่อันเดียว
เพราะนักหลอมโอสถจะทดสอบตรงนั้นเลย นอกเสียจากว่าเป็สำนักใหญ่ เพราะคนเยอะ ดังนั้นจึงซื้อกลับไปแทน แต่อย่างโหยวเสี่ยวโม่ที่มาคนเดียว คงไม่มีใครตั้งใจซื้อกลับไปแน่นอน แต่เขาไม่เหมือนกัน เพราะเขาเคยทดสอบแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นจะทดสอบต่อหน้าคนอื่นไม่ได้อีก
หญิงหม้ายไม่ได้ถามว่าทำไมเขาไม่ทดสอบต่อหน้า จึงมองหินทดสอบนี้ให้โหยวเสี่ยวโม่ แต่โหยวเสี่ยวโม่ไม่รับ ยืนกรานจะซื้อ ไม่อย่างนั้นจะไปซื้อร้านอื่น ทนหญิงหม้ายตื้อไม่ไหว จึงได้ขายราคาต่ำให้เขาเพียงห้าสิบตำลึงทอง
ในโรงประมูลเมืองชิงหินทดสอบชิ้นหนึ่งมีราคาหนึ่งร้อยตำลึงทอง ทั้งยังเล็กกว่านี้มาก หญิงหม้ายขายให้เขานับว่าเป็ราคาที่ถูกมาก
โหยวเสี่ยวโม่ไม่ได้ปฏิเสธ จากนั้นจ่ายเพิ่มอีกห้าสิบตำลึงทองให้พวกเขา และออกจากตำบลซื่อฟางพร้อมหลิงเซียว
ทั้งสองหารู้ไม่ว่า ห้าวันให้หลังมีคนสะกดรอยมาถึงตำบลซื่อฟาง คนพวกนั้นมาถามจากร้านหญิงหม้ายพอดี แต่หญิงหม้ายนั้นไม่รู้เื่อะไร เห็นท่าทีคนพวกนี้ไม่น่าไว้ใจ จึงแกล้งทำไม่รู้เื่ จนเมื่อพวกเขาจากไป หญิงหม้ายจึงกำชับกับลูกชายไม่ให้บอกเื่นี้กับใคร
แต่เื่พวกนี้เกิดขึ้นในภายหลัง ตอนนี้โหยวเสี่ยวโม่กับหลิงเซียวออกจากตำบลซื่อฟาง เมื่อถึงจุดลับตาคน พวกเขาก็เข้าไปยังห้วงมิติของหลิงเซียว หินทดสอบชิ้นนั้นถูกเก็บเข้าไปไว้ในห้วงมิติ
หินทดสอบถูกวางอยู่ในสวนบ้านไม้ โหยวเสี่ยวโม่ยืนอยู่หน้ามัน แอบชำเลืองมองหลิงเซียว ลังเลครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม “คือว่า...ศิษย์พี่หลิง ต้องทดสอบจริงๆ หรือ?”
หลิงเซียวส่งยิ้มอ่อนโยนให้เขา แล้วถามกลับ “เ้าคิดว่าล่ะ?”
ข้าคิดว่า ไหนๆ ก็ซื้อแล้ว หากไม่ทดสอบก็เท่ากับว่าเสียเงินห้าสิบตำลึงทองไปเปล่าประโยชน์ ซึ่งความฟุ่มเฟือยแบบนี้เป็พฤติกรรมที่รับไม่ได้สำหรับโหยวเสี่ยวโม่ ดังนั้นจึงถอนหายใจ เห็นด้วยกับสิ่งที่หลิงเซียวพูด
“งั้นต่อจากนี้ต้องทำยังไงต่อ?” โหยวเสี่ยวโม่กลืนน้ำลาย เริ่มกังวลขึ้นมา
เขาไม่เคยเข้ารับการทดสอบมาก่อน ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าต้องทำยังไงบ้าง แต่...พอถามเสร็จเขาก็คิดผิด เพราะเขาคือคนที่เคยทดสอบแล้ว เพราะความไม่ตั้งใจนี่อาจทำให้ตัวเองถูกเปิดเผยเอาได้
หลิงเซียวเห็นท่าทีประหม่าของเขา ยกมุมปากโค้งขึ้น หรี่ตาลงแล้วเอ่ย “วางมือเ้าบนนั้น จากนั้นส่งพลังปราณเข้าไปในหินทดสอบก็พอ”
โหยวเสี่ยวโม่ยื่นมือสั่นระริกเข้าไป ััเย็นเฉียบส่งผ่านจากหินทดสอบเข้าไปยังจิตใจเขา ขนลุกซู่ จากนั้นทำตามที่หลิงเซียวบอกส่งผ่านกระแสพลังปราณเข้าสู่หินทดสอบ
ชั่วครู่ผ่านไป หินทดสอบสีขาวนมจู่ๆ ก็มีแสงประกายจ้าออกมา…
โหยวเสี่ยวโม่แสบตา รีบหลับตาลงทันที เมื่อแสงค่อยๆ อ่อนลงจึงลืมตาขึ้น เมื่อเขาเห็นแสงที่ส่องกะพริบอยู่บนหินทดสอบ ดวงตาเบิกกว้างขึ้น นี่มันอะไรกัน?
เห็นเพียงบนหินทดสอบมีแสงสีเหมือนอยู่ในห้วงความฝัน สีนี้เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่เหมือนชมพู และไม่เหมือนสีเหลือง แต่ก็ไม่เหมือนสีเขียว ยิ่งไม่เหมือนสีฟ้าคราม พูดได้เพียงว่าเหมือนสีแห่งความฝัน
โหยวเสี่ยวโม่ก็ไม่รู้วิธีที่จะตัดสินสีปราณิญญาของตัวเอง จึงขอความช่วยเหลือจากหลิงเซียว ทว่าพอเห็นรอยยิ้มบนหน้าหลิงเซียวจู่ๆ ก็ไร้ความรู้สึก ในใจเริ่มกังวล คงไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกนะ?
เห็นเขาไม่ตอบ โหยวเสี่ยวโม่ก็เรียกอย่างระมัดระวังอีกครั้ง จากนั้นโบกมือหน้าเขาไปมา “ศิษย์พี่หลิง ท่านเป็อะไรไป?”
หลิงเซียวรู้สึกตัวอย่างเป็ธรรมชาติ มือกอดอก ชำเลืองมองเขาอย่างคาดเดาไม่ออก “เ้ารู้หรือไม่ว่าระดับของนักหลอมโอสถนอกจากจะมีชั้นล่าง กลาง สูง แล้วยังมีชั้นอื่นอีกไหม?”
โหยวเสี่ยวโม่แอบยกนิ้วกลางให้เขาในใจ ถึงยังไงเขาก็เป็นักหลอมโอสถขั้นสาม หากเื่แค่นี้ยังไม่รู้ ครึ่งปีที่ผ่านมาเขาก็ไม่สมควรมีชีวิตอยู่แล้ว
“นักหลอมโอสถนอกจากชั้นล่างกลางสูงแล้ว ยังมีอีกที่สูงกว่านั้นก็คือนักหลอมโอสถชั้นเหนือสุด แต่ว่านักหลอมโอสถชั้นนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อน ข้าได้ยินว่าคนที่เก่งกาจที่สุดอย่างชิวหร่านยังไม่นับว่าเป็นักหลอมโอสถชั้นสุดยอดเลย”
สำหรับชิวหร่านผู้นี้ โหยวเสี่ยวโม่เคยได้ยินแต่เื่ราววิเศษวิโสของเขา แต่กลับไม่รู้มาก่อนว่าคัมภีร์ิญญา์ที่ตัวเองฝึกอยู่นั้นเป็ของเขา แต่แม้จะวิเศษยังไง แต่ก็ไปไม่ถึงนักหลอมโอสถชั้นเหนือสุด
“แล้วเ้าคิดว่าเ้าคือชั้นไหนกันแน่?” หลิงเซียวเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น
โหยวเสี่ยวโม่เม้มปาก หากข้ารู้จะถามท่านรึไง? แต่เขาก็ตอบกลับไปว่า “ส่วนตัวข้ารู้สึกว่า สีบนหินทดสอบนั้นไม่น่าใช่ชั้นล่าง กลาง สูง” เขาก็ไม่ได้เข้าข้างตัวเองถึงขั้นคิดว่าเป็นักหลอมโอสถชั้นเหนือสุด
หลิงเซียวตาเปล่งประกาย น้ำเสียงตื่นเต้น “หากข้าบอกเ้าว่า เ้ามีศักยภาพของการเป็นักหลอมโอสถชั้นเหนือสุด เ้าเชื่อรึเปล่า?”
โหยวเสี่ยวโม่ส่ายหัวอย่างไม่คิด “ไม่เชื่อ!” จากนั้นมองค้อนเขาทีหนึ่ง แต่พอคิดๆ ดู เขาก็เผยสีหน้าข่มความตื่นเต้นไว้ เอ่ยอย่างดีใจ “หากท่านบอกข้าว่าข้ามีคุณสมบัติเป็นักหลอมโอสถชั้นสูง ข้าก็จะฝืนเชื่อท่าน โอ๊ย...เจ็บนะ!”
หลิงเซียวตอบกลับเขาโดยการมะเหงกที่หัวเข้าให้ จากนั้นเหมือนรู้สึกว่าแรงไม่พอ ขณะที่เขายังไม่ทันยกมือกุมหัว ก็เคาะซ้ำเข้าไปอีกที พอเคาะเสร็จก็เอ่ยอย่างพอใจ “ตอนนี้ยังฝืนอยู่มั้ย?”
โหยวเสี่ยวโม่กุมหัวน้ำตาเล็ดแล้วส่ายหัว ร้องไห้น่าสงสาร “ไม่ฝืนแล้ว ไม่ฝืนแม้แต่นิด ฮือ...”
หมอนี่ลงไม้ลงมือหนักขึ้นเรื่อยๆ เขารู้สึกว่าปัญญาที่ด้อยลงเป็เพราะหลิงเซียวล้วนๆ
หลิงเซียวทำเสียงฮึ่มสองสามที จากนั้นลากเขามาข้างหน้า ยกมือตัวเองขึ้นค่อยๆ นวดหัวให้เขา พลางเอ่ย “หินทดสอบนี่คุณภาพต่ำ ไม่อาจทดสอบปราณิญญาของเ้าได้แน่ชัด แต่ข้าบอกกับเ้าอย่างจริงจังได้ว่า ปราณิญญาของเ้าคือสีรุ้ง”
คนตรงหน้าพลันนิ่งเงียบลง…
หลิงเซียวรอปฏิกิริยาเขาอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ตอบโต้ ก้มลงดู โหยวเสี่ยวโม่อ้าปากค้าง ใบหน้าตะลึงงัน จึงอดไม่ไหวยื่นมือไปหยิกแก้ม
ทันใดนั้น โหยวเสี่ยวโม่ส่งเสียงร้องซี้ด จึงได้สติคืนมา พบว่าแก้มข้างหนึ่งของตัวเองกำลังถูกหยิก แต่ตอนนี้เขาไม่ทันมีเวลาคิดเื่นี้ รีบคว้ามือหลิงเซียวไว้ สองตาลุกวาว พูดติดๆ ขัดๆ “ศิษย์พี่หลิง ท่านพูดจริงหรือ? ปราณิญญาของข้า คะ คือๆๆ...สีรุ้งจริงเหรอ?”
หลิงเซียวหัวเราะแล้วตอบกลับ “เ้าคิดว่าข้ามีความจำเป็ต้องโกหกเ้ามั้ย?”
โหยวเสี่ยวโม่รีบพยักหน้า “มีสิ!”
‘ตุ้บ’ หลิงเซียวทุบหัวเขาอีกที หรี่ตามองด้วยสายตาอันตราย “ไหนเ้าลองพูดอีกทีซิ?”
โหยวเสี่ยวโม่หัวเราะเบาๆ ท่าทางซื่อบื้อ วันนี้ข้ามีความสุข จะไม่เอาเื่ท่านสักวันก็ได้!
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็นึกขึ้นได้ “ศิษย์พี่หลิง เมื่อครู่ท่านว่าไงนะ อะไรคือ ‘หินทดสอบนี่คุณภาพต่ำ ไม่อาจทดสอบปราณิญญาของเ้าได้แน่ชัด’ มันไม่ได้ทดสอบออกมาแล้วหรือ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้