อีกไม่นานหวางหมาจื่อก็จะอายุสามสิบปี เนื่องจากไม่มีเงินเลยไม่อาจแต่งภรรยาได้
ชายหนุ่มคิดไม่ซื่อต่อเซี่ยโม่มานานแล้ว เคยบอกความในใจของตัวเองให้ป้ารับรู้หลายครั้ง หากตอนนั้นหวางลี่ลี่้ามีลูกเขยเป็เศรษฐี หวังใช้เซี่ยโม่เป็ตัวล่อเซี่ยวฉางเซิง เลยไม่ได้ตอบตกลงหลานชายไป
ทว่าไม่กี่วันก่อนหน้า เซี่ยโม่และน้องชายตัดขาดกับทางบ้านบิดาและแม่เลี้ยง หวางลี่ลี่โกรธจัดจึงเรียกให้หลานชายมาพบ พร้อมกับตอบตกลงว่าจะยกเซี่ยโม่ให้
หวางหมาจื่อดีใจอย่างยิ่ง หลังจากนั้นก็แอบสะกดรอยตามเซี่ยโม่มาตลอด
เมื่อพบว่าเด็กสาวจะขึ้นเขาไปทุกวัน เขาจึงเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมา
เขาเรียกพวกเพื่อนๆ ให้มาพบ วางแผนว่าจะจับตัวเด็กสาวกลับไปที่บ้าน เมื่อไรที่ข้าวสารกลายเป็ข้าวสุก อีกฝ่ายก็มีแต่ต้องยอมเชื่อฟังเขา
เื่นี้เป็เขากับป้าวางแผนกัน ลุงเขยไม่รู้เื่ด้วย
เขาทราบดีว่าหากไปสู่ขอถึงบ้านอย่างเปิดเผย คุณตาคุณยายของเซี่ยโม่ต้องไม่ยอมยกให้แน่นอน
กลับมาปัจจุบัน หลังจากได้ยินชายชราพูดไม่ไว้หน้า หวางหมาจื่อกระอึกกระอัก ไม่รู้จะตอบอย่างไร
ขณะนั้นคุณปู่โจวที่เพิ่งกลับจากไปเลี้ยงวัว พอรู้เื่ก็รีบมาช่วยทันที เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “เพื่อนบ้านทุกคน คนพวกนี้เป็พวกลักพาตัว พวกเรารีบจับพวกมันไปส่งที่สถานีตำรวจในตำบลเถอะ”
ชายหนุ่มหน้าตาดุดันจริงจังคนหนึ่ง ซึ่งยืนปะปนอยู่กับชาวบ้านกล่าวสำทับเสียงดัง “ใช่ คนพวกนี้คิดจะลักพาตัวโม่โม่ ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะลักพาตัวลูกสาวบ้านไหนอีก ทุกคนไม่กลัวเหรอ รีบเอาตัวพวกนี้ไปส่งให้ตำรวจเถอะ”
ชาวบ้านทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย
เซี่ยโม่รู้สึกว่าน้ำเสียงเมื่อครู่นี้ฟังดูคุ้นหูเหลือเกิน เธอหันไปมองตามเสียงก่อนดวงตาจะเบิกโต
“พี่ซ่ง มาได้ยังไงคะ”
เ้าของประโยคเมื่อครู่ไม่ใช่ใครอื่น คือผู้มีพระคุณที่ช่วยเธอตามหาน้องชายที่สถานีรถไฟ ซ่งมู่ไป๋นั่นเอง
ตอนแรกซ่งมู่ไป๋เห็นชาวบ้านกำลังยืนมุงดูอะไรอยู่ จึงคิดจะเข้าไปชมเื่สนุกด้วย แต่หลังจากทราบเื่ราวทั้งหมด เขาตัดสินใจก้าวเข้าไปช่วยเหลือเด็กสาว เพราะทนเห็นความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นไม่ได้
เซี่ยโม่จ้องมองชายหนุ่มนิ่ง ดวงตาคลอไปด้วยหยาดน้ำตา
นี่ก็ผ่านมาสี่วันแล้ว ตอนแรกคิดจะไปที่สถานีรถไฟ นำของไปให้ชายหนุ่มเพื่อตอบแทนบุญคุณที่ช่วยเหลือเธอในวันนั้น
หลายวันมานี้เธอยุ่งมาก วางแผนไว้ว่าจะจำสมุนไพรในหนังสือของคุณปู่จ้าวให้ได้ก่อน หลังจากทดสอบเสร็จค่อยไปหาเขาที่สถานีรถไฟ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะเกิดเื่ขึ้นเสียก่อน
และที่คิดไม่ถึงอีกอย่างคือเขาจะมาเห็นเข้าพอดิบพอดี
เซี่ยโม่ทำท่าขบคิด เหมือนเธอจะไม่เคยบอกอีกฝ่ายว่าอาศัยอยู่หมู่บ้านไหน
“พี่ซ่ง พี่รู้ได้ยังไงคะว่าฉันอยู่หมู่บ้านนี้”
หลายวันมานี้ซ่งมู่ไป๋รู้สึกเซ็งยิ่งนัก เด็กสาวคนนั้นหายตัวไปราวกับฝนดาวตกก็ไม่ปาน
ตอนแรกเขาคิดว่า ผ่านไปไม่กี่วันเด็กสาวต้องมีความเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน ไม่คิดว่าผ่านไปสี่วันแล้วก็ยังเงียบหายไร้ข่าวคราว
วันนี้ซ่งมู่ไป๋หยุดงาน นึกได้ว่าคุณป้าอยากได้ผ้าที่ไม่ต้องใช้คูปองผ้าซื้อ เขาเลยจะนำไปให้คุณป้าในวันนี้ ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปในหมู่บ้าน กลับเห็นผู้คนกำลังยืนมุงดูอะไรกันอยู่ตรงเชิงเขาเสียก่อน
เขาเบียดเสียดผู้คนเพื่อจะดูบ้าง แล้วก็พบว่าคนที่กำลังถูกรุมล้อมไม่ใช่ใครอื่น คือเด็กสาวที่สถานีรถไฟวันนั้นนั่นเอง
ความที่ทนไม่ไหว เขาเลยยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
เขามองใบหน้าราบเรียบทั้งที่เพิ่งประสบกับเื่น่าใมาของเด็กสาว ก่อนจะเอ่ยตอบออกไปว่า “วันนี้ฉันหยุดก็เลยมาเยี่ยมคุณป้าที่อยู่หมู่บ้านนี้น่ะ”
“บังเอิญเหลือเกิน วันนั้นโชคดีที่ได้พี่ช่วยเหลือฉันกับน้องชาย พอฉันเล่าเื่นี้ให้คุณตาฟัง คุณตาพูดมาตลอดเลยว่าอยากเลี้ยงข้าวเพื่อขอบคุณพี่ งั้นเที่ยงวันนี้ไปกินข้าวที่บ้านฉันนะคะ”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังสนทนากัน คุณตาอู๋ก็เดินเข้ามา เอ่ยถามอย่างเป็ห่วงว่า “โม่โม่ คุณคนนี้คือใครงั้นเหรอ”
เซี่ยโม่แนะนำซ่งมู่ไป๋ให้คุณตารู้จัก “คุณตาคะ นี่คือผู้มีพระคุณที่ช่วยหนูตามหาน้องชายเมื่อหลายวันก่อน ชื่อพี่ซ่ง ซ่งมู่ไป๋ค่ะ”
ชายหนุ่มผู้นี้ไม่เพียงช่วยเหลือน้องชายของเธอ แต่ยังช่วยชีวิตเธอเอาไว้อีกด้วย ชาตินี้หากเธอช่วยน้องชายเอาไว้ไม่ได้อีก เธอก็ไม่รู้จะอยู่ต่อไปได้อย่างไร
ซ่งมู่ไป๋เห็นคุณตาเดินมา รีบเก็บสีหน้าดุดันลงไป เอ่ยอย่างสุภาพนอบน้อมว่า “สวัสดีครับคุณตา ความจริงแล้ววันนั้นผมไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย แค่ทำเท่าที่ทำได้เท่านั้น”
คุณตาอู๋นึกถึงบะหมี่และเนื้อหมูที่หลานสาวเอากลับมาด้วยในวันนั้น นี่น่ะหรือที่เรียกว่าไม่ได้ช่วยอะไรมาก
เด็กคนนี้ถ่อมตัวเกินไปแล้ว!
คุณตายื่นมือไปจับแขนซ่งมู่ไป๋แน่น “เสี่ยวซ่ง โม่โม่เล่าเื่ให้ฉันฟังหมดแล้ว เพื่อเป็การตอบแทน เที่ยงนี้มากินข้าวที่บ้านฉันนะ”
ซ่งมู่ไป๋หันไปมองเซี่ยโม่ เห็นว่าแววตาของเด็กสาวเต็มไปด้วยความคาดหวังรอคอยจึงพยักหน้าตกลง “ได้ครับ”
เขานึกอะไรขึ้นมาได้ เดินไปยังต้นไม้ที่อยู่ด้านข้าง ปลดล็อกกุญแจจักรยานที่วางพิงต้นไม้พลางเอ่ยว่า “ผมขอไปบ้านคุณป้าก่อนนะครับ แล้วค่อยไป”
คุณตาอู๋พยักหน้า เอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า “ได้ ไปทำธุระก่อนเถอะ บ้านฉันอยู่ตรงนั้น เห็นไหม หลังที่สาม…”
“ผมจำได้แล้วครับ”
ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน ผู้ใหญ่บ้านได้ให้ชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านจับตัวหวางหมาจื่อและพรรคพวกนำไปส่งที่สถานีตำรวจในตำบล
ต่อมาเื่ที่เกิดขึ้นก็โจษจันไปทั่วหมู่บ้าน ทุกคนในหมู่บ้านทราบดีว่า หลานสาวหลานชายของบ้านอู๋ถูกแม่เลี้ยงทิ้งขว้างไม่ไยดี เด็กทั้งสองคนจึงต้องมาอาศัยอยู่กับคุณตาคุณยาย กระนั้นแม่เลี้ยงก็ยังไม่เลิกรังควาน สั่งให้หลานชายมาลักพาตัวเด็กสาว…
ทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์ถึงเื่นี้ “เด็กสาวคนนั้นผอมอย่างกับอะไรดี พ่อแม่ก็ช่างใจร้ายใจดำ ผู้ชายอ้วนๆ เตี้ยๆ คนนั้นอายุน่าจะใกล้สามสิบแล้ว ทั้งแก่ทั้งหน้าตาน่าเกลียด…”
“โบราณว่าไว้ มีแม่เลี้ยงเมื่อไรก็จะมีพ่อเลี้ยงตามมา มีลูกแท้ๆ ของตัวเองใครจะอยากเลี้ยงลูกของคนอื่น แตกหักกันแล้วก็เลยคิดจะยกให้หลาน”
“พวกแกว่า หวางหมาจื่อคนนั้นจะถูกตั้งข้อหาไหม”
“ไม่มีทาง น่าจะแค่ถูกจับขังคุกเป็การสั่งสอนแค่ไม่กี่วันเท่านั้น”
“แล้วแม่เลี้ยงล่ะ”
“ตำรวจก็คงเรียกมาสั่งสอนแค่ไม่กี่ประโยคกระมัง”
“แบบนี้มันก็ไม่ยุติธรรมสิ”
“แล้วจะให้ทำไงได้ บ้านอู๋มีแต่คนแก่กับเด็ก จะไปจับตัวพวกนั้นมาใส่กระสอบแล้วตีก็ไม่ได้…”
ซ่งมู่ไป๋ยืนฟังทุกคนพูดคุยถึงเื่ที่เกิดขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยถือของไปบ้านคุณป้า
ถึงบ้านคุณป้าแล้วเขาก็ยังคงได้ยินทุกคนพูดคุยกันถึงเื่บ้านอู๋
เขานึกแค้นอยู่ในใจ เื่ของเด็กสาวก็เหมือนเื่ของเขา ในเมื่อบ้านอู๋มีแต่คนแก่และเด็ก ไม่สามารถจับพวกนั้นยัดใส่กระสอบแล้วตีได้ เช่นนั้นเดี๋ยวเขาทำเอง
ชายหนุ่มแอบตัดสินใจอยู่เงียบๆ ก่อนอื่นต้องสืบข่าวเื่นี้เสียก่อน หวางหมาจื่อถูกปล่อยออกมาเมื่อไร เขาจะจับตัวมันยัดใส่กระสอบแล้วฟาดให้หนำใจเลย สองป้าหลานตระกูลหวางไม่ใช่คนชัดๆ!
เมื่อมาถึงหน้าบ้านอู๋ เขายืนนิ่งปรับสีหน้าให้กลับมาเป็ปกติ
ด้านเซี่ยโม่ หลังจากกลับมาถึงบ้านเธอก็เริ่มเตรียมอาหาร เมื่อวานเธอขึ้นเขาจับกระต่ายป่ามาได้หนึ่งตัว จัดการถลกหนังควักเครื่องในทำความสะอาดเรียบร้อย ตั้งใจว่าจะนำมาทำอาหารในวันนี้
วันนี้ที่บ้านจะมีแขกคนสำคัญมาเยือน จะได้นำเนื้อกระต่ายมาตุ๋นพอดี เธอตัดสินใจว่าจะใส่เห็ดลงไปด้วย
เซี่ยโม่ตอกไข่ใส่ถ้วย ตีให้แตก เดินไปที่สวน เด็ดพริกหยวกจากต้นเพื่อนำมาทำพริกหยวกผัดไข่
เมื่อวันก่อนขุดหน่อไม้จากบนเขามาด้วย นำมาทำเนื้อหมูผัดหน่อไม้ได้พอดี
อาหารอย่างสุดท้ายคือยำแตงกวา อาหารสี่อย่างเพียงพอกับการต้อนรับแขกหนึ่งคน
ต่อมาเธอเริ่มหุงข้าว เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อย
คุณยายที่ไปให้อาหารหมู พอทราบเื่ก็รีบกลับมาบ้าน เห็นหลานสาวกำลังทำอาหารอยู่ เอ่ยถามอย่างร้อนใจว่า “โม่โม่ หลานไม่เป็อะไรใช่ไหม”
“คุณยาย หนูไม่เป็อะไรค่ะ โชคดีที่แถวนั้นมีคนอยู่เยอะ”
คุณยายตบขาไม่แรงนักด้วยความแค้นใจ “หลังจากยายรู้เื่ก็ใแทบแย่ ผู้หญิงคนนั้นอำมหิตเกินไปแล้ว ทั้งที่ตัวเองก็มีลูกสาวแต่กลับทำเื่แบบนี้ลงได้ยังไง”
“คุณยาย พวกนั้นถูกผู้ใหญ่บ้านให้คนนำตัวไปส่งที่สถานีตำรวจในตำบลแล้ว”
คุณยายขมวดคิ้ว พูดอย่างกังวลใจว่า “แต่ยายได้ยินว่าพวกนั้นจะไม่ถูกตั้งข้อหา หากพวกนั้นกลับมาทำร้ายหลานอีกจะทำยังไง”
เซี่ยโม่ปลอบใจคุณยาย “คุณยายไม่ต้องห่วงค่ะ ตำรวจต้องจัดการสั่งสอนจนพวกนั้นไม่กล้าทำเื่ไม่ดีอีกแน่”
“ขอให้เป็แบบนั้นเถอะ…”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้