“ฉันเป็คนจัดหาสินค้ามาให้ แผงขายก็เป็ฉันที่ไปเช่ามา เดือนหนึ่งร้านขายได้เท่าไร ฉันจะแบ่งให้คนเฝ้าร้านครึ่งหนึ่ง”
ยิ่งขายได้มากก็ได้ส่วนแบ่งมาก
ตอนนี้ไป๋เจินจูมีแผงขายของทั้งหมด 6 แผง โดยแผงที่ขายดีที่สุดเดือนก่อนทำเงินให้เธอได้ถึง 2,000 กว่าหยวน
ส่วนอีกห้าร้านที่เหลือมีทั้งที่ได้ 1,000 กว่าหยวน และน้อยที่สุดคือ 700 กว่าหยวน เธอแค่รับผิดชอบเติมสินค้าเท่านั้น จึงไม่จำเป็ต้องเฝ้าอยู่หน้าร้านทั้งวัน ทว่าเดือนหนึ่งเธอกลับมีรายได้หลายพันหยวน
รูปแบบการทำธุรกิจเช่นนี้คือสิ่งที่คังเหว่ยไม่เคยเข้าใจ “เงินที่หามาได้แบ่งครึ่งหนึ่ง คนเฝ้าร้านไม่จำเป็ต้องออกเงินทุน ตอนนี้คนที่ตลาดเรียกเธอว่าไป๋น้ำใจงามกันหมดแล้ว พี่สะใภ้ เธอว่าพี่ไป๋ทำไปเพื่ออะไรกัน”
ทำไมถึงต้องแบ่งกำไรคนละครึ่ง ทำไมไป๋เจินจูไม่ได้หกหรือเจ็ดส่วนเล่า?
ต่อให้เอาส่วนแบ่งมากกว่าคนเฝ้าร้านสัก 0.5 ส่วน ก็ถือเป็การเน้นย้ำว่าไป๋เจินจูคือเ้าของร้าน
คังเหว่ยคิดว่าต่อให้ไม่แบ่งกำไรให้คนอื่น เพียงให้เงินเดือนสูงๆ ก็มีคนยินดีช่วยทำงานให้กับไป๋เจินจูแล้ว เดือนหนึ่งให้เงินเดือนสักสองสามร้อยหยวน คนที่มาสมัครงานคงต่อคิวยาวเต็มตลาดแน่นอน!
เขาไม่เข้าใจ แต่ไป๋เจินจูกลับทำธุรกิจต่อไปอย่างมีความสุข คังเหว่ยจึง้าให้เซี่ยเสี่ยวหลานช่วยไขความกระจ่าง
เซี่ยเสี่ยวหลานหยุดคิดไปสักพัก “เธอคงคิดว่าพี่ไป๋ทำแบบนี้ขาดทุนสินะ แต่ว่าการทำธุรกิจจะใจแคบไม่ได้ เสียเปรียบบ้างก็ไม่เป็ไรหรอก”
ไป๋เจินจูหัวเราะร่า “ฉันกะแล้วว่ามีแต่เสี่ยวหลานเท่านั้นที่เข้าใจฉัน!”
เสียงหัวเราะของเธอก้องกังวานยิ่งนัก ทั้งยังแฝงความเ้าเล่ห์ไว้อีกด้วย คังเหว่ยถูกสองสาวทำเอารู้สึกร้อนใจไปหมด เซี่ยเสี่ยวหลานเห็นเขาอยากเรียนรู้จริงๆ จึงหยุดหยอกเย้าก่อนจะอธิบายให้เขาฟัง
“ฉันแค่ยกตัวอย่างเฉยๆ นะ บางพี่ไป๋อาจจะไม่ได้คิดแบบนี้ก็ได้ แต่เธอเองก็ลองฟังแล้วคิดตามดู ตอนนี้สมาธิส่วนใหญ่ของพี่ไป๋อยู่ที่ร้านวัสดุ เพราะพี่ไป๋ดูออกว่าร้านวัสดุคือธุรกิจที่จะไปได้อีกไกล พวกเราทุกคนทุ่มเทให้กับมัน หาก้าทำให้ธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้างให้ใหญ่และแข็งแกร่งขึ้น เวลาแบบนี้พี่ไป๋ต้องเลือกที่จะละทิ้งบางอย่างไป เพราะถึงอย่างไรพลังของคนเราก็มีขีดจัด... พี่ไป๋ ฉันพูดถูกหรือไม่”
“พูดต่อสิ ฉันฟังอยู่”
ไป๋เจินจูไม่แสดงความเห็นอะไร เซี่ยเสี่ยวหลานรับรู้ได้ทันทีว่าตนพูดถูกแล้ว ถ้าอย่างนั้นพูดต่อเลยก็แล้วกัน
“เปิดแผงลอยทำเงินได้มากแน่นอน แต่อนาคตไม่สดใสเท่าร้านวัสดุที่มีขนาดใหญ่ ตอนนี้พี่ไป๋ได้ละทิ้งธุรกิจนี้แล้ว ในสายตาของเธออาจจะเห็นว่าพี่ไป๋กำลังแบ่งกำไรให้คนอื่นครึ่งต่อครึ่ง ที่เธอไม่เข้าใจเพราะรู้สึกว่าขาดทุนเกินไป แต่ในสายตาพี่ไป๋ ธุรกิจที่เดิมทีต้องสละทิ้งไปโดยเปล่ายังสามารถหาเงินได้เดือนละหลายพันหยวน มีเื่ดีๆ แบบนี้อยู่บนโลกก็น่าพอใจมากแล้วไม่ใช่รึ!”
คราวนี้ไป๋เจินจูพยักหน้าอย่างเบิกบานใจ “ก็ใกล้เคียงกับที่เสี่ยวหลานว่ามานั่นแล”
แค่ลองคิดอีกมุมหนึ่ง จากคนโง่กลายเป็คนฉลาดได้ภายในชั่วพริบตา
“แล้วทำไมต้องแบ่งครึ่งหนึ่ง ไม่ใช่ 6:4 หรือ 7:3 ล่ะ”
คังเหว่ยยังไม่กระจ่าง ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่ได้หัวเราะเยาะเขาแต่อย่างใด
พื้นฐานการเติบโตของคังเหว่ยแตกต่างจากไป๋เจินจู เขาเริ่มต้นมาจากการค้าขายบุหรี่โดยมีโจวเฉิงเป็ผู้นำ พ่อค้าขายบุหรี่ต้องอาศัยความชาญฉลาดหรือไม่? แน่นอนว่าโจวเฉิงที่เป็คนเริ่มทำธุรกิจนี้คนแรกเป็คนฉลาด ส่วนคังเหว่ยทำตามด้วยการเดินตามเส้นทางที่โจวเฉิงปูไว้แล้ว ดังนั้นคังเหว่ยจึงแค่ลงมือปฏิบัติงานเท่านั้น
ธุรกิจอย่างที่สองคือการที่คังเหว่ยเข้ามาเป็ส่วนหนึ่งของร้านวัสดุก่อสร้าง
เื่นี้คังเหว่ยจำเป็ต้องยืนหยัดด้วยตัวเอง แต่เขายังมีความสามารถไม่มากพอ มิเช่นนั้นคังเหว่ยคงไม่ถามคำถามเช่นนี้ออกมา
“สิ่งสำคัญไม่ใช่การแบ่งกำไร แต่เป็การกระตุ้นความกระตือรือร้นของคนเฝ้าร้าน การแบ่งกำไรให้ครึ่งหนึ่งจะทำให้พวกเขารู้สึกว่าแผงขายของแห่งนี้เป็ของตัวเอง และต้องพยายามขายของอย่างเต็มที่ เดิมทีทำกำไรได้ 1,000 หยวน ขอเพียงสร้างกำไรเพิ่มขึ้นถึง 1,200 หยวน ความแตกต่างระหว่างการแบ่งกำไร 5:5 กับ 6:4 ก็จะไม่มีอีกต่อไป แต่ถ้าทำกำไรได้เพิ่มถึง 1,500 หยวน หรือ 2,000 หยวนล่ะ? แม้เงินที่พี่ไป๋แบ่งให้คนอื่นจะมีจำนวนมากขึ้น แต่ส่วนของตัวเองก็มีมากขึ้นด้วยเช่นกัน! เธอคงอยากถามสินะว่ามีวิธีไหนอีกที่ช่วยกระตุ้นความกระตือรือร้นของคนเฝ้าร้านได้ โดยขณะเดียวกันก็ต้องทำให้พี่ไป๋ได้กำไรเพิ่มมากขึ้นด้วยใช่หรือเปล่า แน่นอนว่ามี แต่วิธีไหนก็ล้วนสิ้นเปลืองแรงทั้งสิ้น และสิ่งที่พี่ไป๋ไม่อยากสูญเสียมากที่สุดในเวลานี้ก็คือเรี่ยวแรง”
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าปัญหานี้แก้ไขได้ไม่ยาก ไป๋เจินจูแค่ต้องจ้างใครสักคนมาเป็ ‘ผู้บริหาร’ โดยให้เขาจัดการดูแลคนเฝ้าร้านเ่าั้
หากเป็เช่นนั้นเธอแทบไม่ต้องพูดคุยกับคนเฝ้าร้าน มีอะไรแค่คุยกับ ‘ผู้บริหาร’ ก็พอแล้ว วิธีการนี้จะช่วยประหยัดเวลาไปได้มาก แน่นอนว่าปี 1985 ซึ่งเป็่ต้นของการปฏิรูปเศรษฐกิจคงไม่มีนักศึกษาที่เรียนจบสาขา ‘บริหารธุรกิจ’ โดยเฉพาะมากมายนัก และการหาผู้บริหารที่พึ่งพาได้ก็เป็เื่ยากเหลือเกิน หากได้คนไร้ความสามารถ สู้ไม่หามาเลยดีกว่า ส่วนคนที่มีความสามารถก็มีแนวโน้มจะปิดบังความจริง แม้แต่ไป๋เจินจูก็อาจถูกหลอกไปด้วยได้น่ะสิ
คังเหว่ยหยุดคิด “ถ้าให้เงินกับคนเฝ้าร้านมากเกินไป พวกเขาก็จะสะสมเงินทุนได้อย่างรวดเร็ว หากเป็เช่นนั้นพวกเขาจะออกไปตั้งร้านเองไหมครับ”
“สหายคังเหว่ย ความคิดของเธอช่างอันตรายยิ่งนัก ใกล้ความเป็นายทุนมากขึ้นทุกที เวลานายทุนอยากสะสมทรัพย์สินเงินทอง พวกเขาจะพยายามให้เงินเดือนกับแรงงานให้น้อยที่สุด แค่รับประกันว่าพวกแรงงานจะไม่อดตายก็พอ... อย่าหลบตา ฉันเห็นนะว่าเธอกำลังแอบถลึงตาใส่ฉัน! ฉันยังไม่ได้พูดสิ่งที่สำคัญที่สุดเลย การที่พวกเขาจะสามารถหาเงินได้ ได้รู้รสชาติความหอมหวานของเงิน มีแต่จะติดตามพี่ไป๋ต่อไปเท่านั้น นั่นก็เพราะความเสี่ยงต่ำแต่ทำกำไรได้สูง เนื่องจากแหล่งสินค้าพวกนี้ยังคงอยู่ในมือพี่ไป๋อย่างไรเล่า!”
เื่นี้ไป๋เจินจูทำได้ แต่คนอื่นคงยากที่จะลอกเลียนแบบ
ความเสียหายของสินค้าหรือการรายงานกำไรไม่ครบถ้วนเป็แค่ปัญหาเล็กน้อย ทุกแผงลอยมีสินค้าเท่าไร ไป๋เจินจูเป็คนส่งมาให้ทั้งหมด หาก้าเอาเปรียบเธอคงทำได้เพียงหักเงินจากของทุกชิ้นแค่ไม่กี่สตางค์เท่านั้น ไป๋เจินจูยอมแบ่งเงินให้ครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำ ดังนั้นการขาดทุนเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ไม่ใช่เื่ใหญ่แต่อย่างใด
แล้วถ้าอยากข้ามหัวไป๋เจินจูไปเป็ผู้ควบคุมแหล่งสินค้าล่ะ
หึหึ ก็ต้องลองถามกำปั้นของไป๋เจินจูกับคนที่สำนักตระกูลไป๋ก่อนว่าจะยินยอมหรือไม่
ไป๋น้ำใจงามอะไรกัน เธอคือเทพไป๋สุดโหดต่างหากเล่า อย่าคิดว่าสหายหญิงจะถูกรังแกได้ง่าย สหายไป๋หาคนมาเฝ้าร้านเพื่อประหยัดเวลาของตัวเอง และ้าทำให้คนอื่นร่ำรวยไปด้วยกันก็เพราะเห็นความสามารถในตัวของคนคนนั้น หากมีใครคิดไม่ซื่อ เซี่ยเสี่ยวหลานก็ขอแสดงความไว้อาลัยล่วงหน้าเ่วย
ธุรกิจนี้ทั้งเธอและคังเหว่ยไม่อาจลอกเลียนแบบได้โดยง่าย เพราะทั้งสองคนไม่มีวิชาติดตัวเหมือนไป๋เจินจูนั่นเอง
คังเหว่ยยอมแพ้แล้ว การกระทำที่ดูเหมือนกำลังถูกเอาเปรียบ ที่แท้มีแผนการซ่อนอยู่มากมายเช่นนี้เลยหรือ?
“พี่ไป๋ พี่เก่งมากจริงๆ!”
เฮ้อ โลกใบนี้ช่างอยู่ยาก สหายหญิงที่เก่งกาจกว่าผู้ชายมีมากมายนัก ความจริงข้อนี้ทำให้คังเหว่ยรู้สึกะเืใจเหลือเกิน
พวกเขาพูดคุยกันตลอดทางจนกระทั่งมาถึงร้านวัสดุ ไป๋เจินจูจอดรถเสร็จก็กล่าวว่า “เธอไม่ต้องนับถือฉันหรอก ฉันเองก็เรียนรู้มาจากเสี่ยวหลาน”
บนโลกนี้เงินมีให้หาไม่รู้จบ ทำให้คนอื่นร่ำรวยไปด้วยกันถือเป็การสร้างพันธมิตรให้มากยิ่งขึ้น การค้าขายที่ตลาดสะพานเหรินหมิ๋นทำเงินให้เธอได้ขนาดนั้น เพราะเซี่ยเสี่ยวหลานเป็คนชี้แนวทางให้เธอ หากไม่มีคำแนะนำของเซี่ยเสี่ยวหลานก็คงไม่มีไป๋เจินจูในวันนี้ คนเฝ้าร้านพวกนั้นถ้าอยากมีร้านเป็ของตัวเอง ขอแค่ไม่ทรยศหักหลังกัน ไป๋เจินจูย่อมไม่ขัดขวางอย่างแน่นอน
ไป๋เจินจูยื่นบัญชีรายรับรายจ่ายของร้านให้กับเซี่ยเสี่ยวหลาน
“เสี่ยวหลานดูนี่สิ!”
ทันทีที่เซี่ยเสี่ยวหลานเปิดถึงหน้าสุดท้าย สิ่งที่เธอเห็นแม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่อยากเชื่อ
“เพิ่งสามเดือนกว่า พวกพี่ทำกำไรให้ร้านวัสดุได้แล้วหรือ?”