เพียร์ซเดินออกมาจากฝูงชน เขาก้าวเท้ายาวๆ เข้าหาโอเลเกร์ด้วยสายตาขึงโกรธพร้อมสถบด่าเสียงดัง “ไอ้ขี้ขลาด เลิกพูดจาไร้สาระให้คนเขาหวาดกลัวสักที ข้าเห็นถึงความกลัวตายของเ้า...พัศดีโอเลเกร์ ตัวเ้าไม่ได้กลายเป็ทาสนี่ แต่ประชาชนคนธรรมดาจะทำอย่างไร? ชะตากรรมที่น่าเศร้าของพวกทาสใครบ้างที่ไม่รู้? หากต้องเป็แบบนั้น ไม่สู้ตายยังดีกว่าหรือ...”
พูดถึงตรงนี้ เพียร์ซหันไปมองซุนเฟย ในดวงตาของเขาลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ “ฝ่าา ภายใต้คำสั่งการของท่าน ข้าและเหล่าพี่น้องทั้งหลายยอมตายเพื่อปกป้องเมืองแซมบอดร์ด ข้าจะไม่ยอมให้ครอบครัวของข้าต้องกลายเป็ทาสให้ใครหน้าไหนมันต้องเหยียบย่ำ!”
เพียร์ซพูดอย่างกระตือรือร้น ตอนนี้เองบรู๊ค ชายผู้ซื้อสัตย์ก็ก้าวเท้ามาข้างหน้าแล้วคุกเข่าลงกับพื้นข้างหนึ่งก่อนจะพูดอย่างจริงจัง “องค์าาอเล็กซานเดอร์ ข้าเกอเทอ บรู๊คก็คิดเช่นเดียวกับเพียร์ซ ข้ายอมตายในาเพื่อฝ่าา แต่จะไม่ยอมเป็ทาสอย่างแน่นอน!”
ตึง! ตึง!
ทันทีที่บรู๊คสิ้นเสียงพูด เหล่าทหารที่อยู่รอบๆ และชาวบ้านยากจนบางส่วนก็พากันคุกเข่าลงกับพื้น
ชะตากรรมของทาสในแผ่นดินอาเซรอทเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย ไม่เพียงถูกนายท่านซื้อขายหรือฆ่าตายตามใจ อาจจะถูกเกณฑ์เข้าไปในกองทัพเพื่อกลายเป็ทหารแนวหน้าที่ส่งไปตายหรือกลายเป็กรรมกรใช้แรงงาน ใช้ชีวิตผ่านคืนวันไปโดยไม่มีความหวังจนกว่าจะป่วยตายหรือเหนื่อยตาย ลูกหลานรุ่นหลังก็จะถูกกำหนดให้กลายเป็ทาส ไม่มีวันได้กลับคืนเป็คนธรรมดาไปตลอดชีวิต
“ฝ่าา องค์าาที่เคารพ พวกกระหม่อมยอมสู้ตาย!”
เหล่าทหารมองไปยังาาเมืองแซมบอร์ดด้วยแววตาเต็มไปด้วยความเดือดดาลเืพล่าน
ซุนเฟยถูกฉากตรงหน้าทำให้เกิดความรู้สึกเดียวกัน ความวิตกกังวลในใจของเขาก็หายไปในทันทีด้วยความห้าวหาญของทุกคน ถึงเวลาที่จะเขาควรจะพูดแล้ว แต่ทันใดนั้น ในใจของเขาพลันกระตุกเล็กน้อย ซุนเฟยหันร่างไปมองเลขานุการบาร์เซิลที่ยืนนิ่งๆ เงียบๆ แล้วถามว่า “บาร์เซิล เ้าพูดมาสิว่าข้าควรเลือกสิ่งใด!”
“ปกป้องบ้านเมือง ควรเลือกสู้ พวกเราไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาส ข้าคิดว่าฝ่าาควรเลือกสู้ ไม่ควรยอมจำนนอย่างเด็ดขาด!” บาร์เซิลพูดอย่างสงบ
คำตอบนี้ ทำให้ซุนเฟยรู้สึกประหลาดใจมาก
เดิมทีเขาคิดว่าผีอั่งเป่าเฒ่าหน้าคล้ำตนนี้จะเป็ไอ้โง่สมองนิ่มเลือกยอมจำนน ตามประวัติศาสตร์ของโลกเก่าพวกขุนนางชั่วๆ ที่มีอำนาจทางการเมืองมักจะเป็แบบนั้นไม่ใช่เหรอ? ใครจะรู้ว่าบาร์เซิลจะยืนอยู่ฝั่งที่จะสู้และน้ำเสียงก็ยังมั่นคงหนักแน่นอีกด้วย
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ซุนเฟยจะมาคิดมาก
เขารู้แล้วว่าถึงเวลาที่ตนเองจะตัดสินใจและเขาไม่สามารถที่จะปล่อยให้ทหารที่ติดตามตนเองอย่างจงรักภักดีต้องผิดหวังได้
ดวงตาของทุกคนจับจ้องมาที่ซุนเฟยอย่างสนใจ ซุนเฟยเดินไปข้างหน้าก่อนจะหัวเราะเสียงดัง “ได้ยินคำตอบของทหารข้าหรือไม่? กลับไปบอกนายท่านตูดหมาของพวกเ้าที่มัวแต่ซ่อนหัวซ่อนหางซะ หากอยากได้เมืองแซมบอร์ดของบิดาก็หยิบดาบออกมาสู้กันอย่างนักรบ อย่ามัวแต่เล่นเล่ห์เพทุบายชั่วๆ ให้พวกเราต้องแตกแยกกัน เมืองแซมบอร์ดของข้ามีแต่นักรบที่พร้อมสู้ตายในสนามรบ ไม่มีไอ้ขี้ขลาดยอมจำนน!”
มีแต่นักรบที่พร้อมสู้ตายในสนามรบ ไม่มีไอ้ขี้ขลาดยอมจำนน!
ประโยคนี้ ทำให้บรรยากาศบนกำแพงเมืองเหมือนเปลวไฟลุกไหม้อย่างเร่าร้อน
ประโยคสุดท้ายที่ว่า ‘เมืองแซมบอร์ดมีแต่นักรบที่พร้อมสู้ตายในสนามรบ ไม่มีไอ้ขี้ขลาดยอมจำนน’ ประโยคเรียบง่ายทำให้ทหารที่คุกเข่าบนพื้นตื่นเต้นจนตัวสั่นทั้งร่าง รู้สึกว่าในอกมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนพรั่งพรูออกมาจนกลั้นไม่ไหวต้องโห่ร้องออกมา
ใต้กำแพงเมือง
สีหน้าของอัศวินทั้งสี่นายก็พลันเลี่ยนไป
เหตุผลที่ชายหน้ากากเงินยอมชักจูงให้ยอมจำนนโดยที่ไม่จำเป็ ความจริงแล้วก็เพื่อยุแยงให้ความสามัคคีและขวัญกำลังใจของเหล่าทหารในเมืองแซมบอร์ดต้องแตกแยกกัน ให้ราชวงศ์ ทหาร และคนธรรมดาไม่สามารถสามัคคีกันได้อีก เช่นนี้กองทัพก็จะสามารถตีเมืองแซมบอร์ดให้แตกได้เร็ว ที่จริง นี่เป็การปล้นชิงพื้นที่การปกครองของราชอาณาจักรเซนิท หากยังล่าช้าเกินกว่านี้คงถูกราชอาณาจักรพบเข้าเสียก่อน และจะกลายเป็ฝ่ายตนนั้นที่จะต้องได้รับความพ่ายแพ้
แต่คิดไม่ถึงาาปัญญาอ่อนของเมืองแซมบอร์ดในตำนานคนนั้นจะวางแผนใช้ประโยชน์จากอุบายของพวกเขามากระตุ้นขวัญกำลังใจของทหารตัวเอง...ตอนนี้แผนการของชายหน้ากากเงินทั้งหมดต่างก็พังไม่เป็ท่า
อัศวินเกราะดำ 'หมายเลขหนึ่ง' โมโหมาก แค่นเสียงหัวเราะออกมา
เขาสะบัดหอกยาวในมือ ทำให้หมวกเหล็กตรงปลายหอกกระเด็นออกไปชนเข้ากับกำแพงเมืองเสียงดังเคร้ง ก่อนจะตกลงมาแตกกระจาย
เขาควงหอกและใช้ปลายหอกชี้ไปที่ซุนเฟยที่อยู่บนกำแพง อัศวินเกราะดำ 'หมายเลขหนึ่ง' สถบอย่างยโส “ไอ้พวกบ้านนอกคงไม่รู้จักการให้เกียรติกันสินะ นายข้าอุตส่าห์สงสารมอบโอกาสรอดให้พวกเ้า แต่พวกเ้าไม่รับมันไว้ กลับเลือกที่จะตายเหมือนหมูเพื่อพิสูจน์ความกล้าหาญที่น่าเศร้าของพวกเ้า...หนอนแมลงที่น่าสงสาร เมื่อไรที่เมืองแตก พวกเ้าจะต้องจ่ายราคาตอบแทนที่เลือกตอนนี้ หญิงสาวทุกคนจะถูกฆ่าต่อหน้าพวกเ้า หัวของคนแก่และเด็กจะต้องถูกเสียบประจาน และเ้า...” ปลายหอกของเขาชี้ไปที่หน้าซุนเฟยแล้วพูดดูถูกว่า “ไอ้าาปัญญาอ่อน ข้าสาบานว่าเ้าจะต้องถูกแล่เนื้อเถือหนังไปทำเป็ซุปให้ม้าของพวกข้า!”
เมื่ออัศวินเกราะดำพูดจบ เขาก็กระทุ้งม้าจะจากไป
แต่เพียร์ซที่อยู่บนกำแพงกลับถูกวาจานี้กระตุ้นให้โมโหขึ้นมา เพียร์ซถลาไปแย่งธนูที่อยู่ในมือทหารที่อยู่ข้างๆ มาแล้วะโด่า “ไอ้พวกลูกหมา กล้ามาดูถูกฝ่าาของพวกข้าแล้วคิดจะจากไปง่ายๆ หรือ? รับธนูของข้าไปซะ!”
ฟิ้ว!
ง้างธนูยิงลูกศรออกไป เสียงยิงลูกศรไปทางด้านหลังของทหารเกราะดำ
แกร๊ง!
'หมายเลขหนึ่ง' หอกยาวในมือของอัศวินเกราะดำขยับปัดลูกศรที่ยิงมาอย่างง่ายดาย
แล้วหันหน้าไปหาเพียร์ซ 'หมายเลขหนึ่ง' แสยะยิ้ม “ไอ้หงอกเอ๊ย พลังของเ้ายังห่างชั้นจากข้ามากนัก...ข้าจะจำเ้าไว้ รอก่อนเถอะ หลังจากเมืองแตก ข้าจะเป็คนตัดหัวเ้ามาเสียบหอกอันนี้!”
เพียร์สมีเพียงพละกำลังเกินมนุษย์ติดตัวมาแต่เกิด ไม่มีคลื่นพลัง ไม่ได้เป็นักรบระดับดาว และ 'หมายเลขหนึ่ง' ก็เป็นักรบระดับหนึ่งดาวมานานแล้ว พลังความแข็งแกร่งระหว่างทั้งสองคนเห็นได้ชัดว่าห่างชั้นกันมาก เดิมทีเพียร์ซก็ไม่อาจสร้างาแให้เขาได้ ดังนั้นหากเผชิญหน้ากัน 'หมายเลขหนึ่ง' คงเอาชนะได้อย่างสบาย
'หมายเลขหนึ่ง' วางมาดสูงส่ง ดวงตากวาดสายตามองไปบนกำแพงรอบหนึ่งอย่างดุดัน ก่อนจะแสยะยิ้มแล้วหันกลับไป
ทว่าตอนนั้นเอง
“เ้าก็ทิ้งหัวไว้ที่นี่ก่อนแล้วกัน!”
มีเสียงคำรามดังมาจากกำแพง เงาร่างหนึ่งะโลงมาจากกำแพงเมือง เป็ประกายแสงสีฟ้าปกคลุมท้องฟ้า ชั่วพริบตา ร่างกลางอากาศก็สะบัดดาบในมือ ปล่อยคลื่นพลังนักรบระดับดาว ลำแสงเย็นเยียบพุ่งตรงมาที่หัวของ 'หมายเลขหนึ่ง' จนเขาหลบไม่พ้น
“นี่มัน...”
เพียงพริบตาเดียว เงาแห่งความตายก็เข้ามาปกคลุม 'หมายเลขหนึ่ง' ขมวดคิ้ว เขารีบเหวี่ยงหอกยาวในมือตัวเองไปขวางดาบและคิดจะหลบหนี...
แต่...
เคร้ง เคร้ง เคร้ง!
เสียงแตกละเอียดดังขึ้น หอกหนักในมือของอัศวินก็พลันแตกเป็สองสามท่อน คลื่นเปลวไฟสีฟ้าสว่างวาบไม่กี่ครั้ง การต่อสู้ก็จบลงแล้ว
จากนั้น ร่างเงานั้นก็ะโขึ้นกำแพง ขณะที่อยู่กลางอากาศมือก็จับกำแพงไว้แล้วออกแรงดันร่างตัวเองกลับขึ้นมาบนกำแพง
ขั้นตอนทั้งหมดเรียบร้อยหมดจด ไม่มีรอยเืแม้สักนิด
ทุกคนถูกเปลวไฟเมื่อกี้พาให้ตื่นใ
รอจนผู้คนได้สติกลับมาก็พบว่าร่างเงาที่เหมือนดั่งเทพเ้าได้ยืนอยู่บนกำแพง ในมือก็ถือหัวที่ยังคงตาค้างอยู่
นั่นเป็หัวของ 'หมายเลขหนึ่ง'
และคนที่ถือหัวนั่นก็คือยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองแซมบอร์ด นักรบระดับสามดาว แฟรงก์ แลมพาร์ด
พลังที่แข็งแกร่งของเขาทำให้ทุกคนในสนามรบต่างพากันใ
ทั่วทั้งสนามรบพลันนิ่งเงียบไปจังหวะหนึ่ง
ทันใดนั้น
ตุบ!
ด้านล่างกำแพงเมือง ศพไร้หัวของ 'หมายเลขหนึ่ง' ที่ขี่ม้าอยู่ก็พลันตกลงมากองกับพื้น
ต่อจากนั้น เืก็พุ่งออกมาจากลำคอราวกับน้ำพุ ย้อมโคลนเป็สีแดงอย่างรวดเร็ว...อัศวินเกราะดำที่หยิ่งยโส ส่งเสียงเอ็ดตะโรเย่อหยิ่งผิดปกติเมื่อวินาทีก่อน แต่วินาทีต่อมาไม่ทันจะกลับออกไปก็ถูกนักรบสามดาวแลมพาร์ดตัดหัวเข้าซะก่อน
ไม่มีใครคิดว่าแฟรงก์ แลมพาร์ดที่นิ่งเงียบมาตลอดจะทำการโจมตีโหดร้ายแบบนี้ขึ้นมา
มันสะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนที่สุดว่า ในตอนนี้ว่าพลังของนักรบสามดาวไม่ใช่อะไรจะหยุดยั้งได้
ติ๋ง! ติ๋ง!
แลมพาร์ดดูราวกับเทพแห่งความตายยืนตระหง่านอยู่บนกำแพง เืสดค่อยๆ ไหลมาจากหัวที่อยู่ในมือของเขา ดวงตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ตายตาไม่หลับ
“ดูถูกาาของข้า ทำลายหมวกเกราะในการเจรจา...สมควรตาย!”
แลมพาร์ดใช้คลื่นพลังช่วยให้เสียงของเขาดังออกไปให้ทุกคนในสนามรบได้ยินกันอย่างชัดเจน และเน้นเป็พิเศษกับคำว่า ‘สมควรตาย’ คำสุดท้าย เหมือนกับฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ ดังกึกก้องไปทั่วฟ้า กองทัพเกราะดำฝ่ายศัตรูอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวจนตัวสั่น ทำให้กองทัพไม่เป็ระเบียบ
ตามประเพณีาที่สืบทอดต่อกันมาของแผ่นดินอาเซรอท ในระหว่างที่เจรจา แม้ว่าการเจรจาจะล้มเหลวก็ไม่สามารถทำลายหรือให้หมวกเกราะที่ปลายหอกตกพื้นได้ ไม่อย่างนั้นจะถือว่าหยาบคายอย่างมาก และเป็การทำให้เกียรติของพระเ้าต้องมีมลทิน 'หมายเลขหนึ่ง' ทั้งทำลายหมวกเกราะทั้งดูถูกาาของฝ่ายตรงข้าม การกระทำแบบนี้ แม้จะถูกแลมพาร์ดฆ่าตายก็ไม่สาสมกับความผิด
ซุนเฟยมองแลมพาร์ด ในใจก็พลันกระตุกขึ้นมา
นี่คือยอดฝีมือ!
ในาเมื่อวาน แฟรงก์ แลมพาร์ดถูกแรนดุ๊กนักรบระดับสามดาวฝ่ายศัตรูเข้าพัวพันตลอดจึงไม่ได้แสดงความสามารถออกมาได้เต็มที่ แต่เมื่อครู่ที่ะโลงไปสังหารนักรบระดับหนึ่งดาวเพียงชั่วพริบตา ประหนึ่งกับคำพูดของกวนอูที่ว่า ‘เด็ดหัวนายทหาร เหมือนดั่งล้วงของในกระเป๋า’ ต่อหน้ากองทัพฝ่ายศัตรู พลังที่ไม่เป็รองใคร เพียงการกระทำที่เรียบง่ายก็สั่นคลอนกองทัพศัตรูได้...พลังแบบนี้ นี่คือยอดฝีมือ
ซุนเฟยคิดในใจ ด้วยพลังของตัวเองตอนนี้คงไม่อาจทำแบบนั้นได้
แต่ด้วยนิสัยโอ้อวด ซุนเฟยไม่มีทางปล่อยโอกาสดีๆ แบบนี้ไปแน่ เขาเห็นโอกาสที่หาได้ยาก ในใจพลันตื่นเต้นรีบะโขึ้นบนกำแพง ขวานั์ในมือชี้ไปทางอัศวินทั้งสามที่ยังคงตกตะลึง แล้วตะคอกออกมาอย่างโมโหว่า...
“ไสหัวไป!!!”
ในน้ำเสียงโมโหของซุนเฟยแฝงด้วยทักษะ 'คำราม' ของคนเถื่อนด้วย
ด้วยระยะที่ห่างกันเกินไปและไม่ได้อยู่ในขอบเขตของทักษะ 'คำราม' อัศวินเกราะดำจึงเพียงแค่ใ ไม่ได้ัักับความรู้สึกกลัว แต่เป้าหมายของซุนเฟยไม่ใช่อัศวินเกราะดำที่เป็นักรบระดับหนึ่งดาวทั้งสาม แต่เป็...
ม้าที่พวกเขาขี่
ม้าพวกนั้นไม่ได้มีพลังนักรบระดับหนึ่งดาวนี่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้