หยวนหรงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขามองไปที่หยางหนิงด้วยความใ
เขาคิดไม่ถึงว่าซูเจินจะพูดเื่การยกเลิกงานแต่งงาน และยิ่งคิดไม่ถึงเลยว่าหยางหนิงมาที่นี่เพื่อถอนหมั้น และยิ่งใมากไปกว่านั้นคือคำพูดสุดท้ายของหยางหนิง
ไม่ว่าหยางหนิงหรือซูเจิน พวกเขาต่างเป็หนึ่งในสี่ตระกูลบรรดาศักดิ์ใหญ่ของต้าฉู่ ทั้งสองตระกูลไปมาหาสู่กันด้วยดีมาโดยตลอด ในสมัยของท่านเหล่าโหว ถึงขั้นสาบานร่วมเป็ร่วมเป็ร่วมตายกัน
ไม่ว่าจะขุนนางหรือชาวบ้าน ต่อให้ภายในใจไม่พอใจเพียงใด แต่ในสถานการณ์ปกติแล้ว แค่เพียงแสดงออกพอประมาณว่าไม่พอใจ แต่จะไม่พูดออกมาด้วยคำพูดที่ทำร้ายจิตใจถึงเช่นนี้
ท่าทีหยิ่งยโสของซูเจินเมื่อครู่ ตำหนิต่อว่าหยางหนิงยกใหญ่ ทำให้หยวนหรงรู้สึกว่าซูเจินไม่น่าเคารพเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าคำพูดสุดท้ายของหยางหนิง กลับโหดร้ายยิ่งกว่า
ซูเจินขานชื่อออกมาเต็มปากเต็มคำ หยามเกียรติหยางหนิงคำแล้วคำเล่า ส่วนคำพูดของหยางหนิงถึงแม้จะไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ซูเจินโดยตรง แต่ว่าในสถานการณ์เช่นนี้ มันถือเป็คำพูดที่คมกริบทิ่มแทงใจยิ่งนัก
หยวนหรงรู้สึกว่าเหงื่อออกเป็เม็ดๆ ตอนนี้เขาทำได้แค่ก้มหน้า แทบจะไม่กล้าปริปากพูดอะไรออกมาสักคำ ในใจแอบคิดว่าอยากจะหาโอกาสหนีออกจากที่นี่ไป
สีหน้าที่แน่นิ่งของซูเจิน เปลี่ยนเป็ความใ แล้วพลันเปลี่ยนเป็ความโกรธขึ้นมา ท่าทางของเขาดูอารมณ์ไม่ดีเอาเสียเลย หลังจากได้ยินหยางหนิงพูด จึงพูดกลับไปว่า “เ้าว่าอย่างไร?”
ในเวลานี้ หยางหนิงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นที่ด้านหลังฉากกั้น เหมือนคำพูดของตนที่พูดออกไปนั้นจะมีผลกระทบเกิดขึ้นเสียแล้ว
หยางหนิงท่าทางนิ่งเฉย ชี้ไปที่ถ้วยน้ำชาแล้วพูดว่า “อู่เซียงโหวท่านส่งชาถ้วยนี้ไปที่จวนจิ่นอีโหวของข้าจะได้หรือไม่ ข้าอยากจะลองให้สุนัขสองตัวในจวนของข้ากิน ข้าอยากจะรู้นักว่ามันจะกินหรือไม่? จริงๆ หลังจากวันนั้น ข้าก็สงสัยมาตลอดว่าที่จวนของอู่เซียงโหวนั้นดื่มชาแบบไหนกันแน่ ตอนนี้ดูท่า มีบางคนก็เหมือนกบในกะลา เห็นแค่สิ่งที่ตัวเอง้าจะเห็น คิดว่าของของตัวเองนั้นดีนัก แบบนี้ก็ดี ครั้งหน้าหากท่านอู่เซียงโหวไปที่จวนจิ่นอีโหวของข้า ข้าก็จะเอาชาแบบนี้มาต้อนรับท่านบ้าง จะได้ถูกปากของท่านอู่เซียงโหว” จากนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แต่ว่าชาแบบนี้แม้แต่สุนัขยังไม่กิน จะไปสรรหาที่ใดมาก็คงไม่เป็เื่ยาก”
“ปึ้ง!”
ซูเจินตบโต๊ะ แล้วตะคอกว่า “ฉีหนิง เ้าบังอาจมาก ในจวนของข้า เ้ากล้ากำเริบเสิบสานขนาดนี้เชียวหรือ”
“กำเริบเสิบสานอย่างนั้นหรือ?” หยางหนิงทำท่าทางไขสือ “อู่เซียงโหว ข้าก็แค่พูดไปตามความจริง ตรงไหนกันที่ข้ากำเริบเสิบสานเล่า?”
หยวนหรงอดไม่ได้ที่จะส่งสัญญาณให้หยางหนิง หยางหนิงเห็นอย่างนั้นแล้ว จึงยกถ้วยน้ำชายื่นให้หยวนหรง แล้วพูดว่า “เ้าลองชิมชาถ้วยนี้ดูสิ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจวนท่านราชเลขากรมพิธีการจะดื่มชาแบบนี้กัน?”
หยวนหรงเป็ผู้ที่ชอบเสาะหาสิ่งใหม่ๆ อยู่แล้ว แน่นอนว่าเขาคุ้นเคยกับการชิมชาเป็อย่างดี มองเพียงครั้งเดียวก็รู้ แค่มองจากสีของชาในถ้วย ก็รู้ทันทีว่ามันคือชาหยาบ ในตอนนี้ก็เข้าใจทันที แอบคิดในใจว่าสองตระกูลนี้เกิดเื่ใหญ่ขึ้นแน่ๆ
ซูเจินถึงแม้จะโกรธเพียงใด ในตอนนี้กลับรู้สึกกระอักกระอ่วนลำบากใจ
เขาคิดว่าอยากจะทำให้เื่แต่งงานมันดูแย่ คิดแค่ว่าหากยิ่งทำให้คนของจวนจิ่นอีโหวโมโห โอกาสที่จะยกเลิกการแต่งงานก็จะมีมากขึ้น ตอนที่ยกน้ำชามาให้หยางหนิง ก็เลยตั้งใจใช้ชาหยาบเพื่อลบหลู่เขา ใครจะคิดว่ากลายเป็ว่าหยางหนิงใช้เหตุนี้มาย้อนโจมตีเขา ทำให้เขาถึงกลับไปไม่เป็
“จริงสิ เหตุผลของข้าที่มาที่นี่ไม่ใช่การดื่มชา” หยางหนิงเปลี่ยนประเด็น แล้วพูดว่า “อู่เซียงโหว ที่ข้ามาวันนี้ ก็เพื่อถอนหมั้น หวังว่าพวกท่านจะยอมรับปากข้า ว่าจะไม่มาข้องแวะกับข้าอีก” ยกมือแล้วชี้ไปที่หยวนหรง “หยวนหรงเป็คุณชายจวนท่านราชเลขากรมพิธีการ วันนี้ข้าเชิญพี่เหวียนมาที่นี่ ก็เพื่อให้เขามาเป็พยานให้ข้า เพื่อแสดงให้เห็นว่าทางจวนจิ่นอีโหวตัดสินใจถอนหมั้นแล้วจริงๆ”
หยวนหรงเหงื่อเต็มหน้าผาก อ้าปากค้าง ไม่ออกปากออกเสียงสักคำ
ซูเจินแทบจะกระอักเืออกมา ท่าทีของเขาแน่วแน่ในการยกเลิกการแต่งงานในครั้งนี้ และคิดไม่ถึงเลยว่าหยางหนิงจะมาถอนหมั้นด้วยตัวเองถึงที่จวน
หากผู้ใดเอ่ยถึงการยกเลิกการแต่งงานก่อน อาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของตน ถ้าหากทางจวนอู่เซียงโหวเอ่ยถึงเื่การยกเลิกงานแต่งงานก่อน คำพูดของจวนอู่เซียงโหวนั้นก็จะไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไป แต่การโจมตีของจวนจิ่นอีโหวนั้นรุนแรงยิ่งกว่า
แต่ทว่าการที่หยางหนิงลากหยวนหรงมาด้วย แล้วพูดต่อหน้าหยวนหรงว่าจะถอนหมั้นกับจวนอู่เซียงโหว หากเื่นี้แพร่ออกไป ก็จะกลายเป็ว่าทางจวนจิ่นอีโหวไม่พอใจทางจวนอู่เซียงโหว ซึ่งมันจะผลเสียต่อชื่อเสียงทางจวนอู่เซียงโหว ในบรรดาสี่บรรดาศักดิ์ใหญ่ อู่เซียงโหวก็แทบจะเทียบกับบรรดาศักดิ์โหวอื่นไม่ได้อยู่แล้ว หยางหนิงทำแบบนี้ ยิ่งทำให้อู่เซียงโหวห่างไกลจากบรรดาอีกสามโหวไปอีก
สองมือของเขากำหมัดแน่น หยางหนิงทำเช่นนี้ทำให้เขาฃตั้งตัวแทบไม่ทัน ถึงเวลานี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องรับมืออย่างไร
“ที่ท่านอู่เซียงโหวพูดเมื่อครู่นั้นก็ไม่ผิด ั้แ่ท่านเหล่าโหวทั้งสองสิ้นไป การแต่งงานครั้งนี้ก็ถือว่าสิ้นสุดลง” หยางหนิงค่อยๆ พูด “ทางจิ่นอีโหวของเราทำงานแลกกับยศถาบรรดาศักดิ์ของตระกูล ในตอนนั้นเป็เพราะความสัมพันธ์อันดีของท่านเหล่าโหวทั้งสอง ถึงได้เกิดการแต่งงานนี้ขึ้นมา คนรุ่นก่อนไม่รู้เื่ของคนรุ่นหลัง หากท่านเหล่าโหวของพวกเราทั้งสองตระกูลอยู่ในปรโลกรับรู้เื่นี้ ก็คงเห็นด้วยที่จะไม่ให้เกิดการแต่งงานในครั้งนี้ต่อไป”
ซูเจินหน้าสั่น หัวเราะแล้วพูดว่า “อ๋อ?”
“เท่าที่ข้ารู้มา แม่นางจื่อเซวียนของพวกท่าน นิสัยเอาแต่ใจ ส่วนหน้าตาของหน้าก็แสนจะดูธรรมดา อีกทั้งยังไม่ออกมาเจอผู้คนอีก” หยางหนิงรู้ดีว่าคนอย่างซูเจิน ไม่จำเป็ต้องเกรงใจให้มากนัก อู่เซียงโหวดูถูกหยามเกียรติตัวเขาหลายต่อหลายครั้ง เขาก็ไม่จำเป็ต้องให้เกียรติอีกฝ่าย “ตามหลักแล้ว อายุของข้าก็ถึงเวลาที่จะต้องแต่งงานแล้ว แต่ทำไมถึงไม่รับจื่อเซวียนเข้าจวนสักทีเล่า? พูดถึงขั้นนี้แล้ว เพราะข้าไม่อยากให้นางมาเป็ฮูหยินของจวนจิ่นอีโหว”
จริงๆ หยวนหรงไม่กล้าพูดอะไร พอได้ยินหยางหนิงพูดเช่นนี้ ก็เลยพูดคล้อยตามไปว่า “ที่แท้ก็เป็อย่างนี้นี่เอง!” พอพูดออกไปแล้ว ก็นึกขึ้นมาได้ จึงรีบยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเอง
พอซูเจินได้ยินหยวนหรงพูดเช่นนี้ สีหน้าก็ดูแย่เข้าไปทุกที เขาพูดด้วยความโกรธว่า “ฉีหนิง เ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน จื่อเซวียนของพวกเรานิสัยอ่อนโยน ใครบอกว่านางเอาแต่ใจเล่า? อีกทั้งหน้าตาของนางยังสวยสะคราญตา ใครบอกนางออกไปเจอใครไม่ได้กัน?”
“อู่เซียงโหวท่านไม่รู้เลยหรือ?” หยางหนิงเห็นเขากำลังตกหลุมพรางของเขา จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านลองไปเดินเล่นในตลาดสักรอบดูสิ คำพูดนี้มีเต็มไปหมด ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เื่ถอนหมั้นข้าตัดสินใจดีแล้วไม่มีเปลี่ยนแปลง ต่อให้พวกท่านไม่เห็นด้วย ก็ไม่มีประโยชน์อันใด อะไรก็ตามที่จวนจิ่นอีโหวของเราตัดสินใจไปแล้ว ต่อให้เอาวัวสิบตัวช้างสิบเชือกมาฉุดก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้” พูดจบ เขาก็ลุกขึ้น ยกมือขึ้นคำนับ “เื่นี้มีคุณชายเหวียนเป็พยาน ขอจบเพียงแค่นี้”
“ช้าก่อน!” ซูเจินรีบร้อนพูดขึ้นมาว่า “นี่เป็การตัดสินใจของไท่ฮูหยินหรือ?”
“อ่า?” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “เื่แบบนี้ มันคือการตัดสินใจของทุกคน ไม่ใช่ความเห็นของข้าเพียงผู้เดียว จริงๆ แล้วเื่การแต่งงานนี้มันก็เหมือนก้อนหินที่กดทับจวนจิ่นอีโหวของพวกข้ามานาน หลายปีมานี้พอนึกถึงเื่นี้ข้าเองก็รำคาญใจยิ่งนัก ในเมื่อตอนนี้ได้ถอนหมั้นแล้ว ตัวก็เบาทันที ท่านเดินไปตามทางของท่าน ข้าเองก็จะเดินไปตามทางของข้า”
เมื่อสิ้นเสียงของเขา ก็ได้เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “เ้าคนแซ่ฉี เ้า...เ้าคิดว่าเ้าเป็ใคร พวกเ้าบอกว่า้าถอนหมั้นก็ต้องถอนหมั้นอย่างนั้นหรือ?” เสียงมันลอยออกมาจากหลังฉาก หยางหนิงมองตามเสียงไป เห็นผู้หญิงคนหนึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตน หน้าตาก็ไม่เลว รูปร่างก็ดี แต่ว่าสายตากลับดุร้าย
จู่ๆ นางก็พุ่งออกมา ด้านหลังมีสาวใช้สองคนเดินตามออกมาด้วย มีคนหนึ่งที่มีพกหยก แต่งตัวดูดี อายุน่าจะเกินสามสิบ ดึงแขนของแม่นางนางนั้นเอาไว้ แล้วเรียกว่า “จื่อเซวียน...!”
หยางหนิงคิดในใจว่าที่แท้ผู้หญิงคนนี้คือซูจื่อเซวียน หน้าตาก็ถือว่าเป็หญิงงามนางหนึ่ง แต่ทว่าท่าทางของนางเช่นนี้ เื่ที่ใครๆ ว่านางเอาแต่ใจ ก็คงจะเป็เื่จริง
หยวนหรงเห็นซูจื่อเซวียนเดินพุ่งออกมา สายตาก็เป็ประกาย รีบเดินไปยกมือคำนับแล้วพูดว่า “คุณหนูซู ข้าน้อยเหวียน...!”
“เ้าหลีกไป!” ซูจื่อเซวียนไม่รอให้หยวนหรงพูดจนจบ สะบัดแขนให้หลุดออกจากหญิงอีกคน ยกมือขึ้นชี้ที่หยางหนิงแล้วพูดว่า “เ้ามีสิทธิ์อันใดมาหาว่าข้าออกไปเจอใครมิได้? จิ่นอีโหวซื่อจื่ออย่างเ้ามากกว่า ที่ใครๆ ก็รู้ว่าเ้าปัญญาอ่อน”
“ถูกต้อง ข้ามันเป็คนปัญญาอ่อน ดังนั้นถึงมาถอนหมั้นอย่างไรเล่า” หยางหนิงพูดด้วยความนิ่งเฉย “เ้าไม่ถูกใจข้า ข้าเองก็ไม่ถูกใจเ้า ถอนหมั้นเสีย มันก็ดีต่อเราทั้งคู่”
“เ้าจะถอนหมั้นไม่ได้” ซูจื่อเซวียนตะคอก “หากจะต้องยกเลิกงานแต่ง ก็ต้องเป็ตระกูลซูของข้าเริ่มก่อน มันต้องเป็ข้าที่ไม่เอาเ้า แต่เ้าจะไม่เอาข้าไม่ได้”
หยางหนิงกลับหัวเราะออกมา แล้วพูดว่า “ดูท่าข่าวลือคงเป็เื่จริงสินะ คุณหนูใหญ่ของตระกูลท่านนิสัยเอาแต่ใจ ไม่มีมารยาทกาลเทศะ ข้ากับท่านพ่อของเ้าพูดคุยกันถึงตรงนี้ เ้ามีสิทธิ์อะไรวิ่งออกมาพูดสั่งข้า? เื่การแต่งงานเป็เื่ใหญ่ เ้าคิดว่าเ้ามีสิทธิ์ตัดสินใจเองอย่างนั้นหรือ?”
ซูเจินเองก็คิดว่าการที่ซูจื่อเซวียนบุกเข้ามาในห้องโถง ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่นัก หากมีเพียงหยางหนิงคนเดียวที่อยู่ตรงนี้ เขาอาจจะทำเป็ไม่รู้ไม่เห็นได้ แต่หยวนหรงคุณชายของจวนท่านราชเลขากรมพิธีการอยู่ตรงนี้ด้วย หากเื่ในวันนี้แพร่ออกไป คุณหนูตระกูลโหวบุกเข้าห้องโถง เื่นี้จะถูกหัวเราะเยาะได้
“กลับเข้าไปเดี๋ยวนี้” ตอนนี้ซูเจินโกรธมาก รีบเดินเข้าไปพูดกับซูจื่อเซวียนว่า “ใครบอกให้เ้ามาที่นี่กัน?” จากนั้นก็จ้องไปที่ฮูหยิน แล้วพูดว่า “ทำไมถึงเฝ้านางไว้ไม่ได้?”
หญิงนางนั้นมองก็รู้ว่าน่าจะเป็ฮูหยินของอู่เซียงโหว นางมองไปที่ซูเจิน หลังจากนั้นก็ดึงมือของซูจื่อเซวียน แล้วรีบพูดว่า “จื่อเซวียน รีบกลับเข้าไปเถิด เราอยู่ที่นี่ไม่ได้...!”
“ท่านพ่อ ท่านบอกเขา เราต่างหากที่้ายกเลิกงานแต่งงาน ข้าไม่้าเขาต่างหาก” ซูจื่อเซวียนโกรธมากและไม่อยากยอมแพ้ “เขาจะถอนหมั้นไม่ได้”
หยางหนิงยิ้มแล้วพูดว่า “ต้องขออภัยด้วย คุณหนูซู เมื่อครู่ข้าพูดไปอย่างชัดเจนแล้ว ตระกูลฉีของข้าขอถอนหมั้น ตระกูลฉีของข้าไม่้าคนแบบเ้า...จะพูดอย่างไรดี ผู้หญิงตระกูลซู ไม่มีวันได้เหยียบเข้าตระกูลฉีของข้า ตอนนี้เ้าเข้าใจหรือยัง?”
ดวงตาของซูจื่อเซวียนโกรธแค้นนัก แต่หยางหนิงกลับยิ้มร่าเริงไม่พูดมากความ หันหลังแล้วเดินจากไปทันที
เหวียนหยงรู้ทันทีว่าเื่นี้จบแล้ว กลับออกไปเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ก็เลยรีบยกมือคำนับอู่เซียงโหว แล้วพูดว่า “ไว้ข้าจะมาเยี่ยมใหม่!” จากนั้นเขาก็เดินตามหยางหนิงออกไป
“หยางหนิง เื่วันนี้ เ้าจำไว้ให้ดี” เสียงความโกรธแค้นของซูจื่อเซวียนด่าตามหลังหยางหนิงมา “เ้าดูถูกข้า สักวันหนึ่ง ข้าจะให้เ้าชดใช้เป็สิบเท่า!”
หยางหนิงหยุดเดิน แต่ไม่ได้หันหลังกลับไป พูดอย่างเรียบเฉยว่า “พวกเ้าเองก็จำไว้เช่นกัน หลักการทำงานของจวนจิ่นอีโหวของพวกข้า หากมีหนี้ต้องชดใช้ ไม่ว่าจะพวกข้าติดหนี้ใคร หรือใครก็ตามที่ติดหนี้พวกข้า ก็จะต้องชดใช้อย่างสาสม จะไม่มีการยกเว้นโดยเด็ดขาด” จากนั้นก็หัวเราะ แล้วจ้องไปที่ซูเจินด้วยสายตาราวกับคมดาบ แล้วค่อยๆ เดินจากไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้