“เ้าทำกระไรน่ะ?” หวางกุ้ยเซียงเข้าไปลากหลินไหวฮวาออกอย่างไม่พอใจ
หลินไหวฮวาพูดเสียงแหลม “ข้าเพียงดูว่าน้องเล็กของข้าซื้อสิ่งใดมาเท่านั้น เกี่ยวอันใดกับเ้า?”
หวางกุ้ยเซียงยิ้ม “เหตุใดจะไม่เกี่ยวกับข้า? ในเมื่อของพวกนี้ข้าเป็คนซื้อ!”
“เ้าเป็คนซื้อ?” สีหน้าหลินไหวฮวาไม่สู้ดีขึ้นมาทันที นางคิดว่าหลินหวั่นชิวเป็คนซื้อ เช่นนั้นนางจะได้แย่งเอากลับไป
ทุกวันนี้ ขนาดเศษผ้ายังต้องใช้เงินซื้อ
“ก็ต้องเป็ข้าซื้ออยู่แล้ว พี่สะใภ้ใหญ่เจียงแค่ช่วยข้าถือเท่านั้น” ตอนออกจากหมู่บ้านมีจูกุ้ยฮวาปากร้ายแล้ว หวางกุ้ยเซียงรู้ว่าหลินไหวฮวาเป็คนปากร้ายเช่นกัน จงใจเปลี่ยนคำเรียกจากพี่สะใภ้เป็พี่สะใภ้ใหญ่เจียง อีกฝ่ายจะได้ไม่สบโอกาสหาเื่สาดน้ำสกปรกใส่หลินหวั่นชิวอีก
ตอนเถ้าแก่ร้านหนังสือเรียกนางว่าสะใภ้น้อย นางยังพอรับได้ แต่คำว่า ‘พี่สะใภ้ใหญ่เจียง’ ของหวางกุ้ยเซียง…หลินหวั่นชิวรู้สึกปรับตัวไม่ได้จริงๆ
ร่างกายนี้เพิ่งจะอายุสิบสี่เองนะ!
ไม่ได้ นางต้องคุยกับหวางกุ้ยเซียงแล้วว่าวันหลังให้เรียกชื่อของนางแทน
ขณะที่หลินหวั่นชิวกำลังบ่นในใจ หวางฟู่กุ้ยก็อยากถามหวางกุ้ยเซียงว่าท่านแม่ของเขาไม่ได้สั่งให้ซื้อของไม่ใช่หรือ แต่ถึงเขาจะสงสัยอย่างไร สุดท้ายก็ไม่ถามออกมา
ตอนนี้ชาวบ้านที่้ากลับหมู่บ้านทยอยเข้ามากันเรื่อยๆ หลินไหวฮวารีบโยนเศษผ้าในมือทิ้ง “ก็แค่เศษผ้าขาดๆ โยนทิ้งบนถนนยังไม่มีผู้ใด้า มีเพียงเ้าที่มองว่าเป็สมบัติ ถุย!” พูดจบก็หันมาคุยกับหลินหวั่นชิว “เช่นนั้นเ้าซื้อสิ่งใดมา? อย่าบอกนะว่าเ้ามาเดินตลาดแต่ไม่ซื้อสิ่งใดเลย”
หลินหวั่นชิวตอบอย่างเฉยชา “ข้าซื้อยามา เหตุใด? เ้าไม่สบายหรือ? อยากได้หรือไม่? ถ้าอยากได้เช่นนั้นเ้าต้องไปซื้อเอง ยาของข้าคงรักษาโรคของเ้าไม่ได้!”
คนรอบๆ พากันหัวเราะเมื่อหลินหวั่นชิวพูดจบ
ทุกคนมองหลินไหวฮวาราวกับตัวตลก แต่หลินไหวฮวากลับไม่ตอบโต้ในทันที
หลินไหวฮวาคิดไม่ถึงว่าหลินหวั่นชิวจะคุยกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ถึงกลับตอบโต้ไม่ทัน
นังเด็กนี่ขี้ขลาดตาขาวไม่ใช่หรือ?
กระไรกัน…แค่แต่งงานก็กล้าพูดเสียงดังกับข้าเสียแล้ว?
“เ้านั่นแหละเป็โรค! ขืนยังพูดมั่วๆ อีก ระวังข้าจะให้ท่านแม่ฉีกปากเ้าเสีย!” หลินไหวฮวาด่าตาเขม็ง แต่เพียงครู่เดียวนางก็เหมือนจะนึกสิ่งใดขึ้นได้ สีหน้านางจึงเปลี่ยนไปทันที
“อ้อ…ข้าลืมไป ที่บ้านตระกูลเจียงมีตัวขี้โรคอยู่นี่นา! ข้าจะบอกให้นะน้องเล็ก เ้าอย่าเขลาเอาเงินไปให้ผีขี้โรคนั่นใช้จนหมดล่ะ เช่นนั้นไม่ต่างกระไรกับเอาซาลาเปาไส้หมูไปขว้างหมา ให้ไปแล้วยากจะได้กลับคืนไม่ใช่หรือ! นายพรานเจียงเป็คนมีความสามารถ ครั้งหน้าตอนเขาเอาสัตว์ที่ล่ามาได้ไปขาย เ้าอย่าให้เขาขายทิ้งเสียหมด หากขายหมดเ้าคงได้เงินเพียงไม่กี่ตำลึง มิหนำซ้ำยังต้องเอาไปละลายกับผีขี้โรคอีก อย่างน้อยเ้าควรเอากลับมากตัญญูต่อท่านพ่อท่านแม่และพวกข้าเสียดีกว่า พวกข้าต่างหากที่เป็ครอบครัวของเ้า เ้าควรคิดพิจารณาให้ดี วันหน้าเ้าถูกคนตระกูลเจียงรังแกขึ้นมายังต้องให้ครอบครัวฝ่ายแม่ช่วยหนุนหลัง”
หลินหวั่นชิวปีนขึ้นเกวียน “เ้ารอดูไปเถิด” เถียงกับคนที่ฟังภาษาคนไม่รู้เื่ไปก็เปลืองแรงเปล่าๆ
นี่ก็ใกล้ได้เวลาแล้ว บรรดาสตรีในหมู่บ้านที่มาจ่ายตลาดมากันเกือบหมดแล้วเช่นกัน หลินหวั่นชิวไม่อยากเสียเวลาเถียงกับนาง
หลินไหวฮวาหันตัวจากไป ไม่กล่าวทักทายกับคนในหมู่บ้าน สำหรับนางตอนนี้นางเป็คนในเมือง การคบค้ากับคนในหมู่บ้านถือเป็การลดตัว
เมื่อคนมากันครบก็เตรียมเดินทางกลับ เกวียนเริ่มเคลื่อนตัวทันที
ขณะที่เดินทางกลับ บรรดาสตรีในหมู่บ้านไม่ปล่อยให้ตัวเองว่าง เอาแต่ถามว่าผู้ใดเป็คนซื้อของเยอะแยะพวกนั้น หวางกุ้ยเซียงตอบว่าตัวเองเป็คนซื้อพวกเศษผ้ามาจากร้านปักเย็บ และมีบางส่วนที่หลินหวั่นชิวซื้อ
ทุกคนรู้ว่าบ้านตระกูลเจียงมีฐานะยากจน คิดในใจว่าหลินหวั่นชิวคงซื้อเศษผ้ามาแค่น้อยนิดเท่านั้น ดังนั้นจึงแค่ถามแล้วเปลี่ยนไปคุยเื่อื่น
หลินหวั่นชิวกับหวางกุ้ยเซียงไม่ได้เข้าไปร่วมวงนินทาด้วย ทำแค่นั่งฟังเงียบๆ
กลับมาถึงหมู่บ้าน หลังจากที่บรรดาสตรีพวกนั้นแยกย้ายไปกันหมด หวางกุ้ยเซียงจึงพูดกับหวางฟู่กุ้ยว่า “ของพวกนี้พี่สะใภ้เป็คนซื้อ เกอช่วยเอาไปส่งที่บ้านนางเถิด”
หวางฟู่กุ้ยยิ้ม “ข้าก็คิดอยู่ว่าท่านแม่ไม่ได้สั่งให้เ้าซื้อของนี่นา”
หลินหวั่นชิวพูดว่า “ข้ากลัวผู้อื่นจะพูดมาก ไม่อยากให้ยุ่งยากเลยรบกวนให้กุ้ยเซียงช่วยปิดบัง”
หวางฟู่กุ้ยรีบพูดว่า “รบกวนกระไรกัน ข้ากับเจียงต้าเกอสนิทกันเหมือนพี่น้องแท้ๆ วันหน้าพี่สะใภ้อย่าพูดเช่นนี้อีกเลย”
“อื้ม ได้ ข้าจำไว้แล้ว”
บ้านตระกูลเจียงอยู่ไกลที่สุดในหมู่บ้าน ตอนนี้เป็เวลาเที่ยง ในนาไร้ผู้คน ระหว่างทางไปบ้านตระกูลเจียงจึงไม่พบผู้ใด
เจียงหงหนิงได้ยินเสียง เปิดประตูแล้วพบว่าหลินหวั่นชิวถือของห่อใหญ่ห่อน้อยเข้ามา หน้าเขาดำทะมึนทันที!
ตัวล้างผลาญ!
นี่นางใช้เงินของต้าเกอไปขนาดไหน!
“ฟู่กุ้ย กุ้ยเซียง พวกเ้าเข้ามาดื่มน้ำก่อนเถิด” หลินหวั่นชิวเรียกสองพี่น้องหลังจากที่ขนของเสร็จ
สองพี่น้องรีบขอตัว “ไม่ล่ะ พวกข้าต้องรีบกลับบ้าน ท่านแม่ทำกับข้าวรอไว้อยู่”
“พี่สะใภ้ ไว้มีเวลาข้าจะมาคุยด้วยนะ!”
“ได้สิ ไว้เจียงต้าเกอกลับมาแล้วข้าค่อยเชิญพวกเ้ามาเที่ยวที่บ้าน” หลินหวั่นชิวไม่ได้ตั้งใจจะรั้งสองพี่น้องไว้ขนาดนั้น นางเดินไปส่งทั้งคู่ออกจากบ้าน เมื่อนางเห็นเกวียนพวกเขาจากไปไกลจึงปิดประตู
แต่เมื่อหันกลับมากลับต้องเห็นเจียงหงหนิงจ้องตัวเองด้วยความโมโห
หลินหวั่นชิวแสยะยิ้ม “ของพวกนี้ซื้อด้วยเงินของข้า ข้าทำงานที่บ้านตระกูลหลินแทบตายตั้งหลายปี ใช่ว่าจะไม่แอบเก็บเงิน! ถ้าเ้าไม่เชื่อก็รอถามต้าเกอของเ้าตอนกลับมา ไม่ต้องมาชักสีหน้าใส่ข้า!”
สีหน้าเจียงหงหนิงเปลี่ยนไป คำพูดที่ก่อตัวในช่องท้องต้องหยุดชะงักในลำคอ พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“มัวงงกระไรอีกเล่า รีบขนเสบียงเข้าห้องครัวเสีย อีกเื่ ทำอาหารให้ข้าหรือยัง! ถ้ายังไม่ทำก็รีบไปทำเสีย ต้มน้ำร้อนด้วย ข้าอยากดื่มน้ำ!” หลินหวั่นชิวสั่งเจียงหงหนิงแบบไม่เกรงใจ เด็กไม่ดีจะตามใจไม่ได้
เจียงหงหนิงไปขนเสบียงกับเกลือและน้ำมันที่หลินหวั่นชิวซื้อมาเข้าห้องครัวโดยไม่ส่งเสียงใด หลินหวั่นชิวเห็นดังนั้นก็รู้ว่าเด็กคนนี้ไม่ได้เก็บมื้อเที่ยงไว้ให้นางจริงๆ
นางไม่สนใจเจียงหงหนิง ยกของที่เหลือเข้าห้องแล้วลงกลอนประตู รีบนำนิยายสองสามชุดไปขายในเสียนอวี๋อย่างอดใจไม่ไหว จากนั้นเลือกระบบตั้งราคา
ระบบตั้งราคาค่อนข้างยุติธรรม อีกทั้งหลินหวั่นชิวก็ค้นพบว่าเสียนอวี๋พกพาของนางทรงพลังมาก ในนั้นมีความสามารถสองประการ ประการแรกสามารถตรวจสอบว่าสินค้าเป็ของจริงหรือปลอม และอีกประการเป็การประเมินมูลค่าสินค้าก่อนขาย
แน่นอนว่าจะเลือกตั้งราคาเองได้เช่นกัน จะสูงหรือต่ำก็แล้วแต่เ้า
แต่หลินหวั่นชิวไม่อยากเสียเวลา เลือกตั้งราคาตามระบบ เช่นนี้ทั้งนางและผู้ซื้อต่างไม่ขาดทุน
หลินหวั่นชิววางหนังสือลงไปขายห้าชุด ระบบตั้งราคาให้ที่ชุดละหนึ่งพันห้าร้อยถึงสองพันหยวน ระบุข้อมูลอ้างอิงของการกำหนดราคาไว้ชัดเจน
ยืนยันว่าเป็วัตถุโบราณ แต่ผู้แต่งไม่มีชื่อเสียง หนังสือที่ผู้แต่งไม่มีชื่อเสียงจะมีราคาอยู่ที่สามร้อยถึงหกร้อยหยวน
หลินหวั่นชิวพึงพอใจกับราคานี้เป็อย่างมาก เพราะนางลงทุนไปเพียงห้าร้อยเหรียญทองแดงเท่านั้น