เมื่อทุกคนเห็นการกระทำขององค์ชายรองที่มีต่อหลินเฟิงแล้ว บางคนก็นึกอิจฉาว่าหลินเฟิงคนนี้มีอะไรดี องค์ชายรองถึงให้ความสำคัญเช่นนี้ และยังแนะนำหลินเฟิงให้ทุกคนได้รู้จักด้วยตนเองอีก
หลังจากแนะนำผู้คนเสร็จสิ้นแล้ว องค์ชายรองต้วนหวู่หยาก็ยกแก้วขึ้นพลางกล่าวว่า “ทุกคนมาร่วมดื่มอวยพรให้หลินเฟิงที่เป็อัจฉริยะกันเถอะ”
เวิ่นอ้าวเสวี่ยที่อยู่ข้างๆ หลินเฟิงช่วยรินเหล้าให้ และกล่าวว่า “หลินเฟิง เ้าลองลิ้มรสเหล้าเซืยงซือดู”
หลินเฟิงในตอนนี้ยังคงคลางแคลงใจอยู่ว่า ทำไมต้วนหวู่หยาถึงได้สุภาพกับเขา และได้ช่วยเหลือเขาไว้หลายครั้ง แล้วตอนนี้ยังเชิญเขามาร่วมงานเลี้ยงของเหล่าขุนนางอีก หลินเฟิงไม่แน่ใจว่าต้วนหวู่หยามีเจตนาอะไรกันแน่
อย่างไรเสียต้วนหวู่หยาก็มีมารยาทกับเขามาก เขาจึงไม่ได้ปฏิเสธคำพูดของต้วนหวู่หยาและพยักหน้าตอบเล็กน้อยด้วยความจริงใจ จากนั้นเขาก็ยกแก้วหยกขึ้นและสูดดมกลิ่นหอมของเหล้าเซียงซือที่ปะทะจมูก
หลายคนต่างยกแก้วขึ้นเช่นกัน แม้พวกเขาส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเป็มิตรกับหลินเฟิงนัก แต่ในเมื่อองค์ชายรองเป็คนเอ่ยมา ดังนั้นพวกเขาจึงต้องให้เกียรติ
อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีมารยาทเหมือนกันทั้งหมด ในขณะนั้นชายหนุ่มแซ่เยว่ที่มีนามว่าเยว่เทียนเฉินยังคงไม่แยแสต่อสิ่งใด แก้วของเขายังคงวางไว้บนโต๊ะอย่างนั้น
ไม่เพียงเขาเท่านั้น แต่อวี่เทียนซิงก็มีท่าทางไม่แยแสต่อสิ่งใดเช่นกัน เขาเพียงมองไปยังผู้คนที่กำลังยกแก้ว
เมื่อก่อนหลินเฟิงเคยทำให้อวี่เทียนซิงอับอายต่อหน้าฝูงชนมากมาย แล้วเขาจะดื่มให้กับหลินเฟิงทำไมกัน
อย่างไรก็ตามคาดไม่ถึงว่าต้วนหานซึ่งเป็ลูกชายของต้วนเทียนหลาง จะยกแก้วขึ้นมาและโค้งคำนับให้หลินเฟิงเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวว่า “ฝ่าา ท่านแนะนำให้เรารู้จักกับนายน้อยหลิน แต่พวกข้านั้นยังไม่รู้ว่านายหลินเป็ใครมาจากไหนเลย หรือว่านายน้อยหลินท่านนี้จะเป็ลูกหลานจากตระกูลใหญ่กัน”
เมื่อหลินเฟิงได้ยิน สายตาของเขาก็จ้องไปที่ต้วนหานทันที ซึ่งต้วนหานได้ติดตามต้วนเทียนหลางไปยังนิกายหยุนไห่ เพื่อทำลายนิกายหยุนไห่ และยังเคยประมือกับหลินเฟิงมาก่อน แล้วต้วนหานจะไม่รู้จักหลินเฟิงได้อย่างไร
การที่ต้วนหานเอ่ยมาเช่นนี้ก็เพื่อทำลายชื่อเสียงของหลินเฟิง เพราะเขารู้ดีว่า หลินเฟิงนั้นไม่มีภูมิหลังอะไรเลย ซึ่งมีสถานะแตกต่างกับต้วนหานมาก
ต้วนหวู่หยาดูตกตะลึงเมื่อมองไปที่ต้วนหาน แต่กลับมีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาอีกครั้ง
“น้องต้วนหาน ทำไมต้องถามตรงขนาดนี้กัน เรามาดื่มฉลองกันเถอะ ข้าเดาว่าน้องหลินเฟิงน่าจะยังไม่เคยลิ้มรสเหล้าเซียงซือเลย ถึงอย่างไรป่าเซียงซือก็ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถเข้าได้ง่ายๆ มาดื่มฉลองเถอะ”
คนที่เอ่ยคำพูดดังกล่าวคือเิชง ในน้ำเสียงของเขาแฝงความเยาะเย้ยอยู่เพียงส่วนเสี้ยว แต่ทุกคนล้วนได้ยินมันชัดเจน
ผู้คนในบริเวณนี้ต่างเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา ดูเหมือนว่าหลินเฟิงจะเคยขัดใจใครหลายๆ คนเข้า
“ใครเป็น้องเ้ากัน?!”
หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ขณะเหลือบมองเิชง ทำให้ผู้คนต่างต้องตกตะลึง
“แม้ข้าจะไม่เคยมาที่ป่าเซียงซือแห่งนี้มาก่อน หรือยังไม่เคยลิ้มรสเหล้าเซียงซือที่ขึ้นชื่อเสียด้วยซ้ำ แต่ข้ามั่นใจว่า ข้าไม่มีพี่น้องสารเลวอย่างเ้า”
คำพูดของหลินเฟิงนั้นตรงไปตรงมาและฟังดูไม่ลื่นหูเท่าไร แต่กลับทำให้เิชงต้องแข็งทื่อไป เมื่อครู่เขาจงใจประชดหลินเฟิงเื่สถานะที่ด้อยกว่า แต่หลินเฟิงที่มีสถานะต่ำต้อยกลับว่าเขาเป็คนชั้นต่ำและไม่ใช่พี่น้องของเขา นอกจากนี้ยังเรียกเขาว่าสารเลว กล่าวได้ว่าคนอย่างเิชงนั้น แม้กระทั่งหลินเฟิงที่มีสถานะต่ำต้อยกว่า เขาก็ยังไม่สามารถเทียบได้
ผู้คนต่างเผยสีหน้าสนใจออกมา คล้ายว่าพวกเขากำลังดูละครสนุกที่หาดูได้ยาก การที่หลินเฟิงมาที่แห่งนี้ แล้วยังสามารถทำตัวบ้าระห่ำและพูดจาไม่ไว้หน้าคนได้เช่นนี้ ช่างเป็บรรยากาศของงานที่ดีนัก
พวกเขาล้วนทราบดีว่าเิชงมีพฤติกรรมอย่างไรในลานประมูล และเกิดอะไรเื่ขึ้นระหว่างเขาทั้งสองคนในวันนั้น
“ฝ่าา ท่านก็เห็นแล้วว่าสำหรับคนหยาบคายผู้นี้ ข้าไม่สมควรต้องดื่มฉลองแด่เขาเลย อีกทั้งเขายังทำให้ข้าขายหน้าอีกครั้งด้วย”
เิชงจ้องหลินเฟิงด้วยสายตาเ็า จากนั้นเขาก็กระแทกแก้วลงบนโต๊ะอย่างแรง ทำให้เหล้าที่อยู่ในแก้วหยกต้องกระฉอกออกมา
“เ้ายังมีหน้าให้เสียอีกหรือ?”
หลินเฟิงหัวเราะเยาะ กล่าวจบเขาก็ไม่สนใจเิชงและมองไปทางอื่น ยิ่งทำให้สีหน้าของเิชงถึงกับซีดขาว ขณะมองไปที่หลินเฟิงด้วยความเกลียดชัง
“เหล้าแก้วนี้จะดื่มหรือไม่ก็แล้วแต่ทุกท่าน แต่ข้าขอดื่มฉลองด้วยแก้วนี้” ต้วนหวู่หยายกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวหมดสบายๆ รอยยิ้มอบอุ่นสายหนึ่งผุดขึ้นบนใบหน้าเขา ไม่ว่าจะมองมุมไหนเขาก็ไม่ใช่องค์ชายผู้หยิ่งยโสเลยสักนิด ทำให้ผู้คนอยากใกล้ชิดและอยากเป็มิตรกับเขา
หลินเฟิงก็ยกแก้วและดื่มรวดเดียวหมดเช่นกัน หลินเฟิงก็นับว่าเป็คนที่เข้าถึงง่ายเช่นกัน หากเขาได้รับการปฏิบัติอย่างเป็มิตร
เมื่อเหล้าเข้าปากแล้ว ความเย็นได้แพร่กระจายไปทั่วร่างตามมาด้วยรสหวานละมุน ทำให้หลินเฟิงถึงกับต้องหลับตาเพื่อลิ้มรสมัน เหล้านี้ชนิดมีกลิ่นอายของเซียงซือ ซึ่งทำให้จิตใจของเขาสงบลง สมองของหลินเฟิงพลันกลายเป็ว่างเปล่า
“ช่างเป็เหล้าที่ยอดเยี่ยมนัก”
หลินเฟิงอุทานอย่างประหลาดใจ เขาไม่คาดว่ารสชาติของเหล้าชนิดนี้จะลึกล้ำจนน่าประทับใจได้ขนาดนี้ ผู้ที่ทำเหล้านี้จะต้องเป็คนพิเศษอย่างแน่นอน
ในยามนี้ทุกคนต่างยกแก้วดื่มรวดเดียวหมด และหลุบตาลงเล็กน้อยเพื่อลิ้มรสชาติหอมหวานอย่างลึกซึ้ง
ทันใดนั้นั์ตาคู่งามของเวิ่นอ้าวเสวี่ยได้เหลือบไปมองหลินเฟิง แล้วกล่าวขณะยิ้มว่า “หลินเฟิง หลังจากดื่มเหล้าเซียงซือแล้วจะทำให้คิดนึกใครบางคน ไม่ทราบว่าเมื่อครู่นี้คนที่อยู่ในใจเ้าเป็หญิงงามที่ไหนกัน?”
หลินเฟิงหัวเราะและตอบกลับไปว่า “แล้วเ้าล่ะ กำลังคิดถึงใครอยู่?”
“ข้า?”
เวิ่นอ้าวเสวี่ยประหลาดใจกับคำถามที่ถูกส่งมากะทันหัน มุมปากของเขาเผยรอยยิ้มขมขื่น ใบหน้าพลันถูกแทนที่ด้วยความหดหู่สุดประมาณ
“ข้าร้องไห้มามากพอแล้ว เพราะคนที่ข้ามองอยู่นั้น นางไม่เคยหันมามองข้าเลย”
หลินเฟิงตกตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นบนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา ดูเหมือนว่าเวิ่นอ้าวเสวี่ยก็เป็คนที่ลุ่มหลงในรักคนหนึ่ง ยากมากที่จะได้เห็นเขาในมุมนี้
ในโลกของผู้ฝึกยุทธ์นั้นนอกจากการไล่ตามเส้นทางแห่งนักรบแล้ว เหนือสิ่งอื่นใดพวกเขายัง้าแข็งแกร่ง ซึ่งรวมถึงเื่ของความรักด้วย
แน่นอนว่าในโลกใบนี้มีผู้ฝึกยุทธ์มากมายที่เห็นว่าความรักสำคัญมากกว่าทักษะยุทธ์
“เอาล่ะ พวกเราดื่มจนหมดแก้วแล้ว แต่ตัวเอกของวันนี้ก็ยังมาไม่ถึง ดูเหมือนว่าข้าต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว”
ต้วนหวู่หยายิ้มขณะกล่าวกับฝูงชน ทำให้หลายๆ คนต่างตกตะลึง ในแววตาแสดงออกถึงการรอคอยอะไรบางอย่าง แน่นอนว่าพวกเขาล้วนทราบดี ว่าตัวเอกที่ต้วนหวู่หยาเอ่ยมานั้นหมายถึงใคร
มีเพียงหลินเฟิงเท่านั้น ที่ไม่ทราบว่าแขกคนสุดท้ายคือใคร
หลินเฟิงมองต้วนหวู่หยาที่นั่งตรงกลาง ในตอนนี้ที่นั่งข้างเขายังว่างอยู่ เห็นได้ชัดว่ามันถูกจองไว้ให้ใครบางคน ซึ่งก็คือคนสำคัญที่ต้วนหวู่หยาได้เอ่ยมา
เพียงแต่คนสำคัญคนนี้ คาดไม่ถึงว่าจะสามารถนั่งข้างต้วนหวู่หยาได้ ซึ่งสถานะของคนผู้นั้นต้องไม่ธรรมดาแน่
แม้แต่คนจากตระกูลเยว่และตระกูลอวี่ยังต้องนั่งที่นั่งสำหรับแขก
ในขณะนั้นต้วนหวู่หยาพลันลุกขึ้นและพยักหน้าให้ฝูงชนเล็กน้อย เขาเริ่มเดินหายไปจากศาลาทันที หลังจากเวลาผ่านไปสั้นๆ ฝูงชนก็เห็นต้วนหวู่หยาปรากฏตัวบนทางเดินที่ทำจากไม้มะฮอกกานี
หลังจากที่ต้วนหวู่หยาจากไปผู้คนก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น หลินเฟิงสังเกตเห็นท่าทีของทุกคนที่ดูตื่นเต้นและร้อนใจกว่าปกติ โดยเฉพาะเยว่เทียนเฉิน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและมีรอยยิ้มอันน่าหลงใหลปรากฏบนใบหน้า
แน่นอนว่าก็ยังมีคนจ้องมองหลินเฟิงด้วยสายตาทิ่มแทงอยู่เช่นเดิม บุคคลเ่าั้คือเิชง ต้วนหาน และอวี่เทียนซิง อย่างไรก็ตามพวกเขากลับถูกหลินเฟิงเมินโดยสิ้นเชิง
“คนที่องค์ชายรองถึงกับออกไปต้อนรับด้วยตัวเองเป็ใครกัน?” หลินเฟิงหันไปถามเวิ่นอ้าวเสวี่ยข้างๆ อย่างสงสัย
เวิ่นอ้าวเสวี่ยหัวเราะและตอบว่า “เ้ารอดูเถอะ แล้วจะรู้เอง”
หลินเฟิงส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างคาดไม่ถึงว่า ชายที่นั่งข้างๆ จะทำให้ตัวเองประหลาดใจได้ด้วย
ผู้คนในศาลาเริ่มกระซิบกระซาบขึ้นมา หลินเฟิงได้ยินจากบทสนทนาของพวกเขาว่า คนที่ต้วนหวู่หยาออกไปต้อนรับด้วยตัวเองเป็ผู้หญิงที่งดงามมาก นั่นคงเป็สาเหตุที่ทำให้เหล่าลูกหลานขุนนางต่างรู้สึกตื่นเต้นขนาดนี้
ขณะที่พวกเขานั่งอยู่เฉยๆ จู่ๆ ผู้คนก็เงียบเสียงลงโดยพร้อมกัน หลินเฟิงหันไปมองทางเดินไม้มะฮอกกานี ก็เห็นร่างเงาสองร่างกำลังเดินมา
คนที่เดินอยู่ด้านหน้าคือองค์ชายรองต้วนหวู่หยา และร่างที่เดินตามต้วนหวู่หยามานั้นก็เป็ผู้หญิงอย่างที่คาดไว้
นางสวมชุดสีเขียว ผมสีดำอันงดงามของนางยาวประบ่า นางดูสวยสง่าเป็อย่างมาก เมื่อแขกทุกคนมองเห็นนางต่างก็ใจเต้นระรัวอย่างไม่อาจห้ามได้
“ช่างเป็หญิงสาวที่สวยงามยิ่งนัก”
เมื่อหลินเฟิงเห็นใบหน้าที่สมบูรณ์แบบของนาง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา ผิวของนางขาวราวกับหิมะ ร่างกายของนางละเอียดอ่อนไร้ตำหนิใดๆ นางดูคล้ายกับดอกกล้วยไม้ที่สวยงามและมีกลิ่นหอมกระตุ้นให้เกิดความรู้สึก
“ซินเยี่ย มานี่สิ” ต้วนหวู่หยาที่เดินมาก่อนชะงักฝีเท้าลง แล้วให้ผู้หญิงคนนี้เดินนำไปก่อน
หญิงสาวไม่ได้เอ่ยอะไร นางค่อยๆ ก้าวออกมาอย่างสง่างาม แต่ในขณะนั้นผู้คนในศาลาต่างต้องลุกขึ้นยืน
“องค์หญิง!”
มีน้ำเสียงนุ่มนวลและอ่อนโยนดังขึ้นมา ซึ่งบนใบหน้าของเหล่าชายหนุ่มตอนนี้ต่างเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ทั้งอ่อนโยนและหล่อเหลา จนดูเหมือนว่าพวกเขาพยายามเอาชนะใจหญิงสาวผู้เลอโฉมคนนี้ อย่างไรก็ตามนางกลับพยักหน้าเพียงเล็กน้อย โดยไม่ได้มองไปที่พวกเขาแล้วเดินไปข้างหน้า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้