เฟิ่งสือจิ่นพูดขึ้น “เ้าก็เห็นด้วยตาของตัวเองแล้วไม่ใช่หรือไง จะดูไม่ออกเลยหรือว่านางแสร้งทำเป็ตีข้าเพื่อตบตาผู้คน หรืออยากจะตีข้าจริงๆ? เจอสร้อยมุกที่ใต้โต๊ะของข้า เ้าก็ตัดสินว่าข้าเป็คนขโมยทันที แต่ทีกับองค์หญิงเจ็ด ทำไมไม่เห็นนางถูกเฆี่ยนบ้างเลย นางเองก็ขโมยหยกแขวนของหลิวอวิ๋นชูไปไม่ใช่หรือ?” ซูกู้เหยียนเม้มปาก เขาจ้องไปที่นางอย่างเหม่อลอย แววตาแฝงไปด้วยความลึกล้ำยากจะหยั่งถึง เฟิ่งสือจิ่นแบมือ “แบบนี้ ข้ายังจะไปวิทยาลัยหลวงเพื่ออะไรอีก แม้แต่ท่านอาจารย์ก็ยังบอกไปแล้วไม่ใช่หรือ คนอย่างเ้าจะมาสอนอะไรข้าได้?”
จวินเชียนจี้ตอบด้วยเสียงนิ่งเรียบ “อืม... ข้าเคยพูดเช่นนั้นจริงๆ” เขาปรายตามองเฟิ่งสือจิ่น “เอาขาลงจากโต๊ะ”
เฟิ่งสือจิ่นเอาขาลงจากโต๊ะ และเปลี่ยนมานั่งตัวตรงแทน
ซูกู้เหยียนหันไปพูดกับจวินเชียนจี้ “ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อเฟิ่งสือจิ่นเข้ามาศึกษาในวิทยาลัยหลวงแล้ว นางก็เป็ลูกศิษย์ของข้า ข้ามีหน้าที่ต้องสอนสั่งนาง จนกว่าการสอบจอหงวนประจำปีจะเริ่มขึ้น เมื่อถึงตอนนั้น นักศึกษาของวิทยาลัยหลวงก็ต้องเข้ารับการทดสอบเช่นกัน ตราบใดที่เฟิ่งสือจิ่นยังไม่ผ่านการทดสอบ นางก็ยังเป็ลูกศิษย์ของข้า และจะเป็จนกว่านางจะจบการศึกษา ไม่ใช่แค่นาง แต่นักศึกษาคนอื่นๆ ในวิทยาลัยหลวงก็เป็เช่นเดียวกัน”
จวินเชียนจี้จัดโต๊ะให้ดี แล้วทยอยยกอาหารมาตั้งที่โต๊ะ “ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่เหมาะสมจะเป็อาจารย์ของสือจิ่น โดยเฉพาะองค์ชายสี่ ยิ่งไม่เหมาะสมไปใหญ่”
ซูกู้เหยียนมองท่าทีผ่อนคลายและไม่ใส่ใจของเฟิ่งสือจิ่นแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น “จะเหมาะสมหรือไม่ ต้องลองก่อนจึงจะรู้ ยิ่งไปกว่านั้น ที่นางถูกส่งไปเรียนที่วิทยาลัยหลวงก็เป็เพราะพระราชโองการของฝ่าา จะล้มเลิกเพียงครึ่งทางเช่นนี้ได้อย่างไร หากท่านราชครูยืนยันที่จะไม่ให้นางกลับไปเรียน ข้าคงจำเป็ต้องนำเื่นี้ไปทูลต่อฝ่าา ให้ฝ่าาเป็ผู้ตัดสิน”
จวินเชียนจี้มีสีหน้าเย็นเฉียบ เขามองไปยังซูกู้เหยียน ดวงตายาวเรียวหรี่ลงเล็กน้อย ริมฝีปากขยับขึ้นเบาๆ “เ้ากำลังขู่ข้าอยู่หรือ?”
ซูกู้เหยียนไม่ยอมถอย เขายังคงนิ่งเฉยไม่ต่างไปจากเดิม “นี่ใช่การข่มขู่เสียที่ไหน ข้าแค่พูดตามความจริงเท่านั้น หากท่านราชครูรักและหวังดีกับนางจริงๆ คงไม่ควบคุมชีวิตนางเช่นนี้ ท่านควรปล่อยให้นางเรียนรู้ที่จะจัดการเื่ต่างๆ ด้วยตนเอง มิเช่นนั้น หากนางก่อเื่เดือดร้อนขึ้นในอนาคต คงเป็ความผิดของท่านราชครูที่ไม่สั่งสอนลูกศิษย์ให้ดี” เฟิ่งสือจิ่นก้มหน้าลงเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด ซูกู้เหยียนเปลี่ยนมาพูดกับนางแทน “พรุ่งนี้เช้า จงมาเข้าเรียนที่วิทยาลัยหลวง ข้ารับปากว่าจะไม่ปล่อยให้เกิดเื่เช่นก่อนหน้านี้ขึ้นอีกเป็ครั้งที่สอง”
เฟิ่งสือจิ่นเงยหน้า ซูกู้เหยียนยืนสะท้อนแสง ท้องฟ้าสีครามด้านหลังขับให้ชุดสีขาวของเขาบริสุทธิ์ประดุจหิมะแรกฤดู นางพูดระคนหัวเราะ “ถ้าข้าไม่ไปล่ะ?”
ซูกู้เหยียนตอบ “ปล่อยให้นักศึกษาทุกคนในวิทยาลัยหลวงรอเ้าแค่คนเดียว ก็คงไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร” เขาหันไปประสานมือเคารพจวินเชียนจี้ “พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว หวังว่าท่านราชครูจะไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ” พูดจบก็ขอตัวลาทันที
เฟิ่งสือจิ่นมองตามแผ่นหลังของซูกู้เหยียนจนเขาก้าวออกไปจากประตู จู่ๆ นางก็โยนชามใบหนึ่งตรงไปที่เขาอย่างกะทันหัน เคร้ง... ชามกระเบื้องแตกออกเป็เสี่ยงๆ ซูกู้เหยียนชะงักฝีเท้า ขณะที่เสียงของเฟิ่งสือจิ่นดังขึ้น “วางใจเถอะ ชีวิตในวิทยาลัยหลวงของข้าเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น หากเ้าไม่กลัวว่าวิทยาลัยหลวงจะอลหม่านจนไม่มีใครอยู่เป็สุข เช่นนั้น ข้าจะไปเรียนก็ได้!”
ซูกู้เหยียนเอียงหน้ากลับไปเล็กน้อย เขาปรายตามองเฟิ่งสือจิ่น พลางหยักยิ้มมุมปากขึ้นเบาๆ ประกายรอยยิ้มที่บางจนแทบจะมองไม่เห็นออกมา “เข้ามาเลย” เขาตอบโดยไม่หันหน้ากลับมาอีก
เฟิ่งสือจิ่นสงสัยว่าตนตาฝาดไปหรือเปล่า ถึงได้เห็นว่าซูกู้เหยียนกำลัง... ยิ้ม?
จวินเชียนจี้นั่งลงที่ข้างโต๊ะอาหารร่วมกับเฟิ่งสือจิ่น เขามีใบหน้าบึ้งตึง เห็นได้ชัดว่ากำลังโกรธอยู่ “สือจิ่น กินข้าว ต่อให้เขาจะเอาเื่นี้ไปฟ้องฝ่าา ก็ทำอะไรข้าไม่ได้อยู่ดี”
เฟิ่งสือจิ่นถาม “แล้วพรุ่งนี้ ตกลงแล้วศิษย์ต้องไปหรือไม่?”
จวินเชียนจี้พูดด้วยเสียงหนักแน่น “ไม่ไป”
จากนั้น สองศิษย์อาจารย์ก็เริ่มกินอาหารเย็น โดยมีเ้าสามมัดรออาหารเหลืออยู่ใต้โต๊ะ เพิ่งเริ่มกินไม่นาน หินจำนวนมากก็ตกลงมาในสวนด้านหน้าอย่างต่อเนื่องราวกับหยดฝน ในตอนแรกยังไม่มีใครสนใจ แต่หินกลับเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่ยืนอยู่ด้านนอกหมดความอดทนเต็มที จึงสบถเสียงขึ้น “เวรเอ๊ย...” เมื่อสิ้นเสียงก็เริ่มปีนกำแพงทันที
ต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่ติดกับกำแพงถูกเขย่าเบาๆ ใบไม้เขียวขจีส่งเสียงไหวสั่นขึ้น เฟิ่งสือจิ่นเดินออกมานอกห้องอาหารพร้อมกับถ้วยข้าว กำลังมองสิ่งที่เกิดขึ้นพลางกินข้าวไปด้วย เป็อย่างที่คิด เพียงไม่นาน ร่างในชุดสีเขียวสดใสก็ก้าวพลาดจนตกลงมาจากต้นไม้ และล้มลงในสวนของจวนราชครู ใบไม้หลายใบติดอยู่บนหัว ทำให้เขาแลดูมอมแมมมากยิ่งกว่าเดิม
เฟิ่งสือจิ่นอมยิ้ม “ทำไมไม่เดินเข้าประตูมาดีๆ แต่ต้องปีนต้นไม้ด้วยล่ะ?”
หลิวอวิ๋นชูเด้งตัวขึ้นมาจากพื้น เขาปัดฝุ่นที่เกาะอยู่บนร่างกาย ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ “แบบนั้นน่าอายจะตาย!” เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาก็เค้นถามเฟิ่งสือจิ่นทันที “ข้าต้องลำบากแค่ไหนกว่าจะทำให้เ้ากลับไปศึกษาในวิทยาลัยหลวงได้ ทำไมเ้าถึงไม่ยอมกลับไปเสียที? เ้ากำลังหักหน้าข้าอยู่รู้ไหม? เฟิ่งสือจิ่น อะไรที่มันผ่านมาแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ อย่าเล่นตัวให้มันมากนัก ขอแค่ได้กลับไปเรียนต่อ เ้าก็ยังมีโอกาสให้เริ่มใหม่ได้เสมอ! ข้าถูกใช้ความรุนแรงในครอบครัวก็เพราะเ้าคนเดียวเลยรู้ไหม? กินข้าวก็ไม่เรียกข้าสักคำ ข้ายังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย” พูดจบก็เดินเข้าไปด้านในอย่างไม่เกรงใจ
จวินเชียนจี้เดินออกมายืนที่ประตู เขายกชามข้าวของตนออกมาด้วย หลิวอวิ๋นชูเพิ่งเดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าว เมื่อเงยหน้าขึ้นสายตาก็ไปปะทะกับร่างของเขาพอดี ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ หลิวอวิ๋นชูก็เริ่มลังเลขึ้นมา เขาชะงักฝีเท้าลง ก่อนจะพูดด้วยเสียงอู้อี้ “ช่างเถอะ ข้ากลับไปกินที่บ้านดีกว่า” เขาเดินกลับไปด้วยท่าทางเศร้าสลด ก่อนไปยังไม่ลืมหันกลับไปมองเฟิ่งสือจิ่นทิ้งท้าย “อ้อ... จริงสิ เื่นี้ ข้าทำเพื่อความยุติธรรมเท่านั้น เ้าไม่จำเป็ต้องรู้สึกขอบคุณอะไร ท่านราชครู ข้ากับเฟิ่งสือจิ่นเป็เพื่อนร่วมชั้นกัน เป็ธรรมดาที่ต้องช่วยเหลือกัน”
จวินเชียนจี้ไม่ตอบอะไร
เฟิ่งสือจิ่นหัวเราะขึ้น “ทำไมหน้าของเ้าถึงมีรอยฟกช้ำเช่นนี้?”
หลิวอวิ๋นชูลูบจมูกตัวเองเบาๆ “ก็บอกไปแล้วไงว่าถูกใช้ความรุนแรงในครอบครัวมา”
“เ้าถูกบิดาซ้อมมาหรือ? ในที่สุดเขาก็ยอมตีหน้าเ้าแล้วหรือนี่?”
หลิวอวิ๋นชูนิ่งเงียบลง เขามองนางเขม็ง “เป็เพราะเ้านั่นแหละ!”
เฟิ่งสือจิ่นพูดระคนหัวเราะ “ยังไม่ได้กินข้าวเย็นหรือ เข้ามากินด้วยกันไหม?”
หลิวอวิ๋นชูลอบมองราชครู “ตอนนี้ เ้าไม่ใช่ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในจวนราชครูเสียหน่อย...”
จวินเชียนจี้หมุนตัวกลับเข้าไปในห้องอาหาร “หากท่านชายหลิวไม่รังเกียจอาหารบ้านๆ เช่นนั้นก็เข้ามากินด้วยกันเถิด”
แม้จะเป็อาหารธรรมดาๆ แต่อาจจะเป็เพราะออกมากินต่างสถานที่และต่างบรรยากาศ หลิวอวิ๋นชูจึงกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เขารู้สึกว่าไม่ได้กินอาหารที่เรียบง่าย ทว่ารสเลิศเช่นนี้มาตั้งนานแล้ว ระหว่างนั้น เขายังแย่งซุปของเฟิ่งสือจิ่นมาดื่มหนึ่งชามเต็มๆ
หลิวอวิ๋นชูถามเฟิ่งสือจิ่น “ทำไมเ้าถึงไม่ยอมไปวิทยาลัยหลวงล่ะ?”
เฟิ่งสือจิ่นไม่อยากตอบ แต่เมื่อหลิวอวิ๋นชูสะกิดอยู่หลายครั้งจึงเริ่มรำคาญขึ้นมา “บิดาของเ้าไม่เคยสอนหรือไง ว่าอย่าพูดขณะกำลังกินอาหาร? จะกินก็ตั้งใจกิน ไม่อยากกินก็ไสหัวไป”
หลิวอวิ๋นชูยังไม่ยอมแพ้ “พรุ่งนี้ไปที่วิทยาลัยหลวงเถอะ แบบนั้น จะได้ไม่เสียทีที่ข้าถูกซ้อมมาขนาดนี้ ข้าไม่ชอบองค์หญิงเจ็ดจอมร้ายกาจคนนั้นมาตั้งนานแล้ว เ้าเล่ห์ ชั่วร้าย แต่ข้าเชื่อว่าเ้าสามารถรับมือกับพวกนางได้แน่ ข้ามั่นใจในตัวเ้า และจะสนับสนุนเ้าอย่างเต็มที่เลย” พูดจบจึงพบว่าจวินเชียนจี้มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขายิ้มแห้งๆ ให้จวินเชียนจี้อย่างประจบประแจง “ท่านราชครู อย่าเข้าใจผิดไป ข้ากำลังสอนเฟิ่งสือจิ่นว่าควรจะอยู่ร่วมกับเพื่อนร่วมชั้นอย่างไรเท่านั้น ในตอนแรก ย่อมมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง เมื่อคุ้นเคยกันแล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง...”
จวินเชียนจี้วางตะเกียบลงบนโต๊ะด้วยท่าทีราบเรียบ “ข้าสนใจอีกเื่มากกว่า องค์หญิงเจ็ดทำอะไรกับเฟิ่งสือจิ่นในวิทยาลัยหลวงบ้าง?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้