เล่มที่ 3 ตอนที่ 90 กลับไปจวนกู้
ไม่นานนายท่านเฉินก็นำเนื้อหมูและเนื้อแกะที่หั่นเฉือนแล้วแบ่งใส่ในอ่างเป็ส่วนๆ ั้แ่ซี่โครงหมูขาหมูไปจนถึงกีบหมู
“ฮูหยิน มีซี่โครงหมูห้าชิ้นพอสำหรับทำซี่โครงหมูหมักซอสหรือไม่?” นายท่านเฉินมองซี่โครงยาวในอ่าง
“พอแล้วเ้าค่ะ”นายหญิงเฉินกำลังนับจำนวนญาติพี่น้องที่จะมากินข้าวที่บ้าน่ตรุษจีน“ปีที่แล้วหมักสี่ชิ้นยังกินกันไม่หมด อีกอย่างยังมีเป็ดพริกเกลือของพี่สะใภ้ใหญ่ด้วยเ้าค่ะ”
กู้เจิงยืนดูเฉินเยี่ยนทำความสะอาดเนื้อแกะเนื้อแกะมีกลิ่นสาบที่เป็เอกลักษณ์ซึ่งนางไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน “ท่านพี่ ถึงแม้จะใกล้สิ้นปีแล้วแต่ซื้อเนื้อมาเยอะขนาดนี้ จะไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือเ้าคะ?”
“เนื้อพวกนี้ไม่ได้เอามาทำอาหารทั้งหมดบางส่วนจะเอามาตากแห้งไว้ใช้คราวหลังด้วย พอถึงปีใหม่ก็สามารถเอาเนื้อที่ตากแห้งมาไว้ใช้ตุ๋นน้ำซุปหรือทำอาหารอื่นได้”เฉินเยี่ยนเอาเนื้อแกะที่ล้างจนสะอาดแล้วนำไปตากแห้งในตะกร้าไม้ไผ่
“คุณหนู ตื่นมาท่านยังไม่ได้ล้างหน้าเลยให้บ่าวปรนนิบัติท่านล้างหน้าก่อนเถอะเ้าค่ะ” ชุนหงนึกขึ้นได้
ขณะที่ทั้งสองกำลังจะพากันกลับห้องเสียงของลุงสามก็ดังมาจากทางหน้าบ้าน “น้องสี่”
ลุงสามและป้าสามเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับตะกร้าหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตระกูลหวัง สุขภาพของป้าสามก็ไม่ค่อยดีนัก แต่วันนี้สีหน้าของนางดูสดใสกว่าทุกวัน
“พวกเราทำเต้าหู้มาให้พวกเ้าลองชิมกันส่วนพี่ใหญ่กับพี่รองข้าเอาไปให้แล้ว” ป้าสามเอ่ยขึ้นยิ้มๆ
“พี่สะใภ้สามทำเต้าหู้เป็ด้วยหรือ? น่ากินจริงๆ” นายหญิงเฉินรับตะกร้าไม้ไผ่มาเปิดดูไอร้อนลอยออกมา กลิ่นหอมของเต้าหู้ตลบอบอวลไปทั่วบริเวณบ้าน “ยังร้อนอยู่เลย ได้กลิ่นก็รู้เลยว่าต้องอร่อย”
ป้าสามยิ้มอย่างอายๆ “ข้าทำอะไรก็ไม่เป็เต้าหู้นี้เป็สิ่งที่ข้าทำได้ดีที่สุดแล้ว"
“ข้ากับฮูหยินวางแผนจะไปเปิดร้านเต้าหู้ล่ะ”ลุงสามเอ่ยถามถึงความคิดเห็นของทุกคน “พวกเ้าคิดว่ายังไงบ้าง?”
“ดีสิ” นายท่านเฉินเห็นด้วยอย่างยิ่ง “แต่ว่าตรอกนี้มีร้านเต้าหู้อยู่สองร้านแล้ว ล้วนเป็ร้านเก่าแก่ทั้งคู่ ถ้าพวกเ้าเปิดร้านใหม่อีกมาเปิดแถวนี้คงไม่ดีแน่”
เฉินเยี่ยนและนายหญิงเฉินพยักหน้าเห็นด้วย
กู้เจิงนึกถึงร้านเต้าหู้สองร้านนั้นร้านหนึ่งอยู่ปากทาง อีกร้านอยู่ปิดท้าย หากเปิดอีกร้านก็แออัดไปหน่อยจริงๆ “ตรงแถวร้านหนังสือชิงหย่าเซวียนเหมือนจะไม่มีร้านเต้าหู้นะเ้าคะ”
ลุงสามและป้าสามมองหน้ากันด้วยความดีใจลุงสามกล่าวว่า “เดี๋ยวเราจะลองไปที่นั่นดู”
“พวกท่านทานอาหารเช้ามาหรือยังเ้าคะ?” นายหญิงเฉินถามขึ้นบ้าง
“กินเรียบร้อยแล้วล่ะ”
“รอสักประเดี๋ยวนะเ้าคะ”นายหญิงรีบเข้าไปในห้องครัว นางเอาเต้าหู้ของป้าสามไปเก็บ และหยิบถุงเล็กๆสองถุงจากมุมห้องออกมา
“น้องสะใภ้นี่คืออะไรกัน?” ลุงสามรับถุงที่นายหญิงเฉินยื่นให้มา
“เป็ขนมเข่งกรอบที่ทำเมื่อวานเ้าค่ะเดิมทีวันนี้ตั้งใจจะเอาไปให้พวกท่าน แต่พวกท่านก็มาที่นี่แล้วก็เอาไปเลย"
เมื่อท่านลุงสามกับป้าสามเสร็จธุระแล้วก็พากันกลับบ้านไปนายท่านเฉินเอ่ยอย่างพอใจว่า “ดูท่า พี่สะใภ้สามคงคิดได้แล้ว”
“คิดได้ก็ดีแล้ว คนเรามีชีวิตอยู่มาได้ขนาดนี้หากคิดไม่ได้ คนที่เป็ทุกข์ก็คือตัวเอง” นายหญิงเฉินก็เห็นด้วยเช่นกันแสงจากขอบฟ้าเริ่มสว่างขึ้น นางหญิงเฉินกล่าวอีกว่า “วันนี้ดูท่าจะมีแดด”
เป็เช่นนั้นได้ก็ดีกู้เจิงไม่เห็นดวงอาทิตย์มาหลายวันแล้ว ทั้งฝนและหิมะตกหนักติดต่อกันมาหลายวัน หากวันนี้มีแดดนางก็จะฉวยโอกาสที่พระอาทิตย์ออกมาแล้วรับแสงแดดให้เต็มที่
แต่วันนี้ยังมีธุระอีกเื่ก็คือกลับไปจวนกู้นางจะต้องนำของขวัญแต่งงานที่นางปักเสร็จแล้วไปมอบให้กู้อิ๋ง และนางก็ต้องนำขนมเข่งกรอบไปให้กู้เหยาด้วย
เฉินเยี่ยนกำลังจะออกไปจวนตวนอ๋องพอดีดังนั้นสองนายบ่าวจึงถือโอกาสติดรถม้าตามเขาไปด้วย
พอกู้เจิงขึ้นรถม้าก็เอนกายพิงสามีอย่างเกียจคร้านนี่กลายเป็ความเคยชินของนางไปแล้ว อย่างไรเสียเฉินเยี่ยนก็ไม่เคยพูดว่าอะไร
ชุนหงรับหน้าที่เป็สารถีขับรถม้า
“ท่านพ่อท่านแม่บอกว่าของขวัญแต่งงานที่ข้าปักให้น้องสามดูสวยงามน่ารักมีแค่ท่านที่รู้สึกว่ามันดูเหมือนของเด็กเล่น” กู้เจิงมองสามีอย่างไม่พอใจ“ข้าใช้เวลาตั้งสิบวันกว่าจะปักเสร็จนะเ้าคะ”
“ของขวัญของเ้า น้องสามต้องชอบแน่”ใบหน้าของเฉินเยี่ยนในตอนนี้ไม่ได้เคร่งขรึมเหมือนแต่ก่อนอีกแล้วอาจเป็เพราะเขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากสตรีข้างกาย
“แล้วท่านยังจะบอกว่ามันเหมือนของเล่นอีกหรือเ้าคะ?”
“สิ่งที่เ้าถามคือความเห็นของข้าไม่ใช่ความเห็นของน้องสาม”
กู้เจิง “...” เหมือนจะเป็เช่นนั้น“ท่านไปจวนตวนอ๋องครานี้ จะได้รับแต่งตั้งตำแหน่งแล้วใช่หรือไม่เ้าคะ?”
“คงจะเป็เื่นี้นั่นแหละ”
กู้เจิงได้ยินดังนั้นก็เกิดตื่นตัวขึ้นมานางนั่งตัวตรงมองเขา สองมือจับแขนเสามีแล้วถามอย่างตื่นเต้นว่า “ทำงานในเมืองหลวงใช่ไหมเ้าคะ?”
เฉินเยี่ยนคุ้นเคยกับท่าทางเดี๋ยวนิ่งเดี๋ยวขยับของภรรยาแล้วเขาตอบเสียงเรียบว่า “หากไม่มีเหตุสุดวิสัยอะไรข้าคงจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็ผู้ช่วยประจำสำนักราชเลขาธิการ”
“ผู้ช่วย?” กู้เจิงนิ่งอึ้ง
เฉินเยี่ยนเลิกคิ้วมองภรรยา เมื่อเห็นนางทำท่าใ“ทำไมหรือ?”
“ท่านอายุขนาดนี้แล้วยังต้องไปเป็ผู้ช่วยคอยติดตามคนอื่นอีกหรือเ้าคะ?”
เฉินเยี่ยน “...” เขาถอนหายใจแล้วพูดขึ้น“ใครบอกเ้าว่าผู้ช่วยสำนักราชเลขาคือผู้ติดตาม?”
กู้เจิงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “หรือไม่ใช่เ้าคะ?”
“ผู้ช่วยประจำสำนักราชเลขาธิการคือการช่วยขุนนางชั้นผู้ใหญ่คัดลอกหรือร่างหนังสือรวมถึงการตรวจสอบงาน เป็ตำแหน่งขุนนางขั้นหก” เฉินเยี่ยนพูดอย่างไม่สบอารมณ์
ความไม่รู้ของนางทำให้เป็เื่ขบขันแล้วใช่ไหมนะ? กู้เจิงเก้อเขินอย่างยิ่ง
“คุณหนู ท่านบุตรเขยถึงจวนกู้แล้วเ้าค่ะ” ชุนหงะโบอกอยู่ข้างนอก
กู้เจิงหยิบกล่องไม้ที่บรรจุของขวัญเตรียมจะออกไปจู่ๆ นางก็ถูกสามีรั้งแขนไว้ นางหันหน้ากลับไปมองเขา
เฉินเยี่ยนถามด้วยใบหน้าบูดบึ้ง “ข้าอายุมากขนาดนั้นเลยหรือ?”
กู้เจิง “...”
ยามนี้ดวงตะวันเผยโฉมออกมาจนหมดแล้วแสงที่สาดส่องลงมาทำให้ร่างกายอุ่นสบาย
บ่าวที่เฝ้าประตูเมื่อเห็นคุณหนูใหญ่มาคนหนึ่งก็รีบเข้ามาต้อนรับ ส่วนอีกคนก็รีบไปรายงานผู้เป็นาย
แม่เฒ่าซุนกับแม่เฒ่าฉินเดินออกมาต้อนรับอย่างสนิทสนมตอนนี้เวลาพวกนางเห็นกู้เจิงก็เหมือนเห็นคุณหนูของตน
แต่กู้เจิงก็ยังพอััได้ว่ารอยยิ้มของหญิงชราทั้งสองยังดูฝืนๆพิกลอยู่ นางจึงอดถามไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น“แม่เฒ่าซุนกับแม่เฒ่าฉินมีเื่อะไรหรือเปล่า?”
แม่เฒ่าซุนใกับความเฉียบแหลมของคุณหนูใหญ่นางพยักหน้ารับ “หากคุณหนูใหญ่พบนายหญิงก็จะเข้าใจเองเ้าค่ะ”
เวลานี้ จวนกู้น่าจะกำลังเตรียมการสำหรับงานแต่งงานของกู้อิ๋งและตวนอ๋องบรรยากาศควรมีแต่ความปลาบปลื้มดีใจถึงจะถูก
ในห้องโถง นอกจากบิดา นายหญิง กู้อิ๋ง และกู้เหยา ยังมีน้องรองกู้เจิ้งชินอยู่ที่นี่ด้วยไม่รู้ว่านายหญิงกำลังโกรธด้วยสาเหตุอะไร แต่สีหน้าดูไม่ดีนักกู้อิ๋งกับกู้เหยาก็ดูมีน้ำโหเช่นกัน ส่วนกู้เจิ้งชินเขาดูสลดเล็กน้อย
“ท่านแม่” กู้เจิงทําความเคารพ
“พี่ใหญ่” กู้อิ๋งและน้องอีกสองคนก็ทักทายนางเช่นกัน
นายหญิงเว่ยซื่อเมื่อเห็นกู้เจิงอารมณ์ขุ่นมัวก็ไม่ได้คลายลง นางแค่นเสียงเ็าออกมา
กู้เจิงใ หรือเื่ที่เกิดขึ้นจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับนางอีกอย่างนั้นหรือ? แต่คิดไปคิดมา่นี้ตัวนางเองก็ไม่ได้ทำอะไรที่ออกนอกลู่นอกทางเลยนี่นะ
“คุณหนูใหญ่เชิญนั่งเถอะเ้าค่ะ” แม่เฒ่าฉินเชิญให้นางนั่งลง
กู้เจิงนั่งลง และถามอย่างเป็ห่วงว่า“ท่านแม่ เกิดเื่อะไรขึ้นหรือเ้าคะ?”
ชุนหงกลัวนายหญิงเว่ยซื่อมาแต่ไหนแต่ไรจึงยืนก้มหน้าอยู่ข้างคุณหนูใหญ่ นางไม่กล้าหายใจแรงแม้แต่น้อย
“เ้ายังกล้าถามเื่งามหน้าที่เ้าทำอีกหรือ?” เว่ยซื่อยิ้มเยาะ ไม่ง่ายเลยที่ความคิดของนางต่อบุตรสาวอนุผู้นี้จะเปลี่ยนไปแล้วก็ดันเกิดเื่ขึ้นมาอีก ช่างทำให้นางโมโหแทบตายจริงๆ
สายตาไม่พอใจของกู้อิ๋งและกู้เหยาหันมามองที่กู้เจิง
“แล้วนี่มันเกี่ยวอะไรกับพี่ใหญ่หรือขอรับ?” กู้เจิ้งชินถามขึ้นอย่างงุนงง “เป็ข้าไม่ระวังตัวเอง ใครจะคิดว่าคนอื่นจะมีความคิดเช่นนี้”
“น่ารังเกียจ”กู้อิ๋งไม่คิดเลยว่าขนาดตนเองกำลังจะกลายเป็พระชายาของตวนอ๋องในไม่ช้านี้แล้วแต่ผู้อื่นก็ยังไม่เห็นตระกูลกู้ของนางอยู่ในสายตา
กู้เจิงฟังแล้วงงงวยมากขึ้น นางลุกขึ้นพูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า“ต่อให้เป็ความผิดของข้า ท่านแม่ก็ควรเล่าเื่ราวให้ข้าฟังก่อน ท่านมากล่าวหาข้าเช่นนี้ข้ารู้สึกเหมือนไม่ได้รับความเป็ธรรม”
“เ้ารู้สึกไม่ได้รับความเป็ธรรมหรือพวกเราต่างหากที่ต้องรู้สึกเช่นนั้น” กู้เหยาชี้นิ้วไปทางกู้เจิงพลางกล่าวอย่างกำแหง
กู้เจิงพยายามอดกลั้นที่จะไม่กลอกตานางพยายามระงับสีหน้าท่าทางไว้ “เ้าต้องเล่าเื่ราวทั้งหมดมาก่อน ข้าจะได้รู้ว่ามันเกิดเื่อะไรขึ้น”
แม่เฒ่าซุนย่อตัวขออนุญาตต่อทุกคนก่อนจะพูดกับกู้เจิงว่า “คุณหนูใหญ่ ให้บ่าวพูดเถอะเ้าค่ะ คุณหนูใหญ่เมื่อไม่กี่วันก่อนนายท่านได้ไปสู่ขอคุณหนูตระกูลหนิงนายท่านและนายหญิงตระกูลหนิงดีใจมาก ทั้งสองตระกูลเลยตกลงกันว่าจะหาฤกษ์งามยามดีเพื่อกำหนดวันแต่งงานเมื่อวานคุณชายสามตระกูลหนิง (หนิงฉีกวง) เชิญคุณชายรองของเราไปร่วมงานกวีนิพนธ์ เขาบอกว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลหนิง(หนิงซิ่วอิง) ก็ไปด้วย นายหญิงคิดแล้วก็ว่าดี ต่อไปหากกำหนดวันแต่งได้แล้วคงยังต้องหลีกเลี่ยงการพบหน้า ถือโอกาสเจอหน้ากันก่อนจะมีกำหนดการก็ดีเหมือนกันจึงได้ตกลงเ้าค่ะ”