สิบห้านาทีต่อมา เหอชูซานในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ และรองเท้าขาดวิ่นก็มานั่งอยู่ในภัตตาคารของโรงแรมป้านเต่า ตรงโต๊ะข้างหน้าต่างกระจกใสสะอาดที่มองเห็นวิวทิวทัศน์สวยงามได้อย่างชัดเจน เขาก้มหน้ามองเมนูภาษาอังกฤษพร้อมตัวเลขกำกับที่เรียงรายยาวเหยียด
“พี่ลิ่วอี…” เขา้าบอกว่าที่นี่แพงมาก อย่ากินเลย เราไปกันเถอะ
“เอาเมนูภาษาจีนมาด้วย” ชย่าลิ่วอีพูดกับพนักงานเสิร์ฟด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
บริกรที่เป็ชาวอินเดียส่ายหัวและพูด “Nao Chai li si (No Chinese) เซอร์”
“พี่ลิ่วอี…” เหอชูซานพูดอีกครั้ง
“งั้นเอาเมนูที่แพงที่สุดมาสองชุด” ชย่าลิ่วอีสั่ง “แพงที่สุดจนถึงขั้นทำให้ะโ! ฟังออกไหม?”
“เยส เซอร์” บริกรคนอินเดียพูด
“ลิ่ว…” เหอชูซานพูด
ชย่าลิ่วอีมองเขาด้วยสายตาเ็า “หืม?”
“ไม่มีอะไรครับ” เหอชูซานพูด
สายตาของชย่าลิ่วอีเหมือนกับกำลังบอกว่า ถ้าเขากล้าพูดคำว่า ‘ไม่’ อีกแม้แต่คำเดียว ก็จะยกตัวเขาขึ้น แล้วโยนออกไปทางหน้าต่าง!
เอาล่ะ ท่านเศรษฐีใหญ่ยังไม่หายโมโห ต้องใช้เงินเพื่อระบายความไม่พอใจ แล้วเขาจะพูดอะไรได้อีกเล่า?
เหอชูซานนั่งอยู่ที่นั่นเพื่อช่วยท่านเศรษฐีใหญ่ระบายความโกรธอย่างสงบเสงี่ยม ในร้านอาหารมีดนตรีสดแสนไพเราะดังคลอสร้างบรรยากาศ ข้างนอกหน้าต่างเป็ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของอ่าววิกตอเรียที่ประดับไปด้วยไฟระยิบระยับดูสวยงามตระการตา เป็ภาพที่เหอชูซานผู้เติบโตในเมืองกำแพงเจียวหลงแสนมืดมนไม่เคยเห็นมาก่อน
เมืองตะวันออกที่สว่างไสวแห่งนี้ เมืองที่รุ่งเรืองและเป็ดั่งเพชรน้ำงามแห่งท้องทะเล เขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็เ้าของเมืองแสนงดงามแห่งนี้เลย แม้ว่าเขาจะเติบโตและอาศัยอยู่ที่นี่มานานกว่า 20 ปี แต่เขาก็เป็เพียงคนแปลกหน้าที่อยู่ในเมืองที่เขาไม่เคยเป็เ้าของ
เขามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย ชย่าลิ่วอีเห็นดังนั้นก็ทนไม่ไหวจึงใช้มีดเคาะจานอาหารแล้วถามว่า “ทำอะไรอยู่?”
“พี่ลิ่วอี สวยจัง” เหอชูซานพูดออกมาด้วยความรู้สึกประทับใจ สายตายังคงมองออกไปข้างนอกนิ่งๆ
“พูดให้มันถูกต้องหน่อย! พี่ลิ่วอีของนายหล่อ ไม่ใช่สวย”
เหอชูซานหัวเราะออกมาเบาๆ เขาหันตัวกลับมานั่งตัวตรงอย่างคราแรก แล้วพูดชมอย่างจริงใจว่า “พี่ลิ่วอี พี่หล่อกว่าทิวทัศน์ข้างนอกอีกครับ”
ชย่าลิ่วอีได้ยินคำพูดไร้สาระแบบนี้ของเขาจนชินชาแล้ว จึงได้แต่แค่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่ใส่ใจนัก
แค่เลี้ยงกุ้งัตัวเดียว เ้าหมอนี่ก็รีบประจบสอพลอแล้ว ฟังสิ ปากหวานขนาดนี้ เสี่ยวหม่าคงอยากจะคุกเข่าคำนับให้เขาเลยมั้ง!
หลังจากที่ชย่าลิ่วอีบ่นอาหารเรียกน้ำย่อยว่าเป็ ‘วัชพืช’ ก็มีกุ้งัจานใหญ่และสเต๊กเนื้อวัวถูกยกมาเสิร์ฟพร้อมกับไวน์แดงที่บริกรบรรจงรินลงในแก้ว ท่ามกลางแสงเทียนที่ส่องสว่าง ชายหนุ่มรูปงามทั้งสองนั่งทานอาหารริมหน้าต่าง แสงไฟสลัวๆ สะท้อนให้เห็นภาพที่ดูโรแมนติกราวกับฉากในละคร
ชย่าลิ่วอีเคยทานอาหารตะวันตกกับพี่ใหญ่ชิงหลงมานับครั้งไม่ถ้วน เขาจึงหั่นสเต๊กเนื้อชิ้นโตให้ตัวเองได้อย่างไม่เคอะเขิน พร้อมกับยกแก้วไวน์แดงขึ้นดื่มอึกใหญ่ ระหว่างที่กำลังกินดื่มอยู่นั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมาเห็นเหอชูซานกำลังใช้ส้อมจิ้มกุ้งัตัวใหญ่ด้วยท่าทางลังเล
“ถ้าไม่รู้จะกินยังไงก็ใช้มือหยิบเลย” ชย่าลิ่วอีพูดขึ้น
เหอชูซานเหลือบมองไปยังคนอินเดียที่เป็โอนเนอร์ของร้านซึ่งกำลังยืนจ้องพวกเขาอยู่ไม่ไกล ก่อนจะก้มหน้าก้มตาใช้ส้อมจิ้มกุ้งัต่อไปอย่างไม่ลดละ
ชย่าลิ่วอีทนเห็นท่าทางเสแสร้งของเขาไม่ไหว จึงยกมือเรียกเ้าของร้านชาวอินเดียให้เข้ามาหา “เอาตะเกียบมาคู่หนึ่ง”
“เซอร์?”
“ตะเกียบอะ! ไม่เข้าใจภาษาเหรอ?!” ชย่าลิ่วอีหน้าดำคล้ำด้วยความไม่พอใจ
“เขา้าตะเกียบหนึ่งคู่” เหอชูซานรีบพูดภาษาอังกฤษเพื่อไกล่เกลี่ยสถานการณ์
บริกรเลิกคิ้วด้วยท่าทางแปลก ๆ “ได้ครับเซอร์”
“แม่งเอ๊ย” ชย่าลิ่วอีสบถใส่หลังของพนักงานเสิร์ฟ “พูดภาษาต่างดาวอะไรนักหนา!”
เหอชูซานหัวเราะคิกคักพลางก้มหน้าเล่นกับส้อมต่อไป เขาตัดใจจากกุ้งัตัวใหญ่แล้วหันไปลองหั่นสเต๊กเนื้อด้วยความระมัดระวังแทน
ทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็เผลอทำมีดลื่นไถลออกไป เสียง ‘เพล้ง!’ ดังขึ้น ตามมาด้วยมีดที่ปักลงไปในจานของชย่าลิ่วอีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม พร้อมกับซอสที่กระเด็นใส่เสื้อผ้าของชย่าลิ่วอีไปทั่วทั้งตัว
ชย่าลิ่วอีชะงักไปครู่หนึ่ง เหอชูซานรีบก้มหน้าลงพร้อมกับแสดงท่าทีสำนึกผิดทันที “ขอโทษครับ พี่ลิ่วอี”
“ไอ้ซุ่มซ่ามเอ๊ย” ชย่าลิ่วอีสบถขณะถอดเสื้อสูทที่เปื้อนออกแล้วโยนมันไปพาดไว้บนพนักเก้าอี้ เขาปลดเนกไทแล้วโยนมันทิ้งตามไปด้วย จากนั้นก็ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกสองเม็ด ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางขมวดคิ้ว “วันหลังฉันจะสับมือหมาๆ ของแกทิ้งซะ”
บริกรนำตะเกียบขอบทองสวยงามมาให้พอดี ชย่าลิ่วอีเชิดหน้าไปทางเหอชูซาน “ใช้เ้านี่กิน”
“หา?”
“เสียเงินแล้วยังต้องให้คนมาควบคุมว่าเราจะกินยังไงอีกหรือ? ใช้ตะเกียบกินแล้วมันจะทำให้แกตายหรือไง?!” ชย่าลิ่วอีะโพร้อมกับจ้องไปยังพนักงานเสิร์ฟที่ยังคงยืนมองอยู่ข้างๆ “มองอะไร? ไปให้พ้น!”
“…” ไม่จำเป็ต้องแปล บริกรรีบออกไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว
เหอชูซานใช้ตะเกียบคีบเนื้อสเต๊กขึ้นมากินอย่างว่าง่าย รู้สึกว่าพี่ชายของเขา... สุดยอดไปเลย!
—— ทั้งเป็มาเฟียและเป็คนรวย จึงไม่แปลกที่จะทำอะไรตามใจตัวเองได้ทุกที่ เฮ้อ...
เหอชูซานก้มหน้าก้มตาสนใจเพียงแต่การเติมอาหารลงท้องของตัวเอง ชย่าลิ่วอีลุกขึ้นมาช่วยเขาหั่นสเต๊กเป็ชิ้นๆ พร้อมกับสอนเขาไปด้วย “ไอ้หนูนี่มันซนจริงๆ แท้จริงแล้วเป็จิ้งจอกตัวน้อย แต่ดันทำตัวเหมือนหมาขี้เรื้อน คอยแต่จะให้คนอื่นเขามาเตะเอา”
เหอชูซานรู้สึกว่าไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ต้องมีกฎระเบียบ ไม่สามารถทำตามใจตัวเองได้ เขาอยากจะโต้แย้ง แต่คิดไปคิดมาแล้ว สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจที่จะปล่อยมันไป
ชย่าลิ่วอียังคงปอกกุ้งัพลางด่าเหอชูซานอย่างไม่ไว้หน้าไปด้วย จากนั้นเขาก็เอนหลังพิงเก้าอี้
หลังจากวางมือจากอาหาร เขาก็เตะขาของเหอชูซานที่อยู่ใต้โต๊ะ “วันศุกร์หน้ามาดูหนังที่บริษัทฉัน”
“ผม...” เหอชูซานพูดทั้งที่ปากยังเต็มไปด้วยเนื้อกุ้งั เขาอยากจะบอกว่าวันศุกร์เขาต้องไปทำงานพิเศษ
ชย่าลิ่วอีมีสีหน้าเ็าขึ้นมาทันที
เมื่อเห็นท่าทีของชย่าลิ่วอี เหอชูซานก็รีบเปลี่ยนท่าที เขากลืนอาหารในปากอย่างยากลำบาก แล้วพูดว่า “ผม... ผมจะไปวันศุกร์่บ่าย... แค่กๆ…”
เมื่อได้คำตอบที่พอใจ ชย่าลิ่วอีจึงเก็บสายตาอาฆาตของเขากลับไป
“แค่กๆ…” เหอชูซานยังคงฝืนกลืนอาหารต่อ “พี่ลิ่วอี... ขอน้ำหน่อยครับ…”
“ก็ดื่มให้หมดก่อนแล้วค่อยสั่งใหม่สิ จะเอาน้ำของฉันไปทำไม!”
“แค่ก... ไม่ทันแล้ว... แค่กๆๆ... ติดคอ... แค่กๆ…”
ชย่าลิ่วอีทั้งขำทั้งสงสาร เลยเลื่อนแก้วน้ำมะนาวที่ตัวเองดื่มไปแล้วครึ่งแก้วให้เขา “ชีวิตยาจก กินกุ้งัยังจะติดคอตาย”
เหอชูซานดื่มน้ำอย่างตะกละตะกลามพลางมองเขาด้วยความขุ่นเคืองใจ คิดในใจว่า ‘ก็เพราะนายทั้งนั้น’
……
เหอชูซานยัดกุ้งตัวใหญ่และสเต๊กเนื้อวัวเข้าไปจนเต็มท้อง สุดท้ายก็กินขนมปังไม่หมดเลยห่อกลับบ้านไปกินเป็อาหารเช้าในวันพรุ่งนี้แทน เขาสะพายกระเป๋าเป้ใบเล็กเดินตามชย่าลิ่วอีออกจากโรงแรมเพนินซูล่าอย่างช้าๆ พร้อมกับท้องที่ป่องออกมาเล็กน้อย
ทั้งสองเดินกลับไปยังลานจอดรถของศูนย์วัฒนธรรม ชย่าลิ่วอีขับรถ Mercedes-Benz สีดำสนิทของเขาเลี้ยวเข้าสู่ถนนซูซื่อปาลี่ [1] แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
“หมอบลง” เขาพูด
เหอชูซานไม่ถามอะไรทั้งนั้น รีบยัดกระเป๋าลงไปใต้เท้าแล้วก้มตัวลงอย่างรวดเร็ว
ชย่าลิ่วอีหักเลี้ยวพวงมาลัยอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนไปใช้เส้นทางที่มีรถเยอะ ก่อนจะหยุดรถตรงสัญญาณไฟแดง “มุดไปข้างหลัง ใช้เสื้อผ้าปิดหน้า คาดเข็มขัดนิรภัยให้แน่น”
เชิงอรรถ
[1] ถนนซูซื่อปาลี่ คือ ถนนซอลส์บรี