บทที่ 87 ความเกลียดชังที่ไร้เหตุผล
โจวเป่าเฉิงกล่าวจบก็เหลือบมองเหอเสวี่ยฉิน แล้ววิ่งจากไปด้วยความผิดหวัง
“เป่าเฉิง” เหอเสวี่ยฉินน้ำตาคลอเบ้า เธอก้าวตามไปสองก้าวอยากจะรั้งเขาไว้ บอกเขาว่าหากอยากได้จักรยานจริงๆ ก็คงต้องไปคุยกับคนคนนั้น ตอนนี้เธอไม่อยากคุยเลยสักนิด
หากครั้งก่อนไม่ใช่เพราะโจวเป่าเฉิงเข้าโรงพยาบาล เธอคงไม่มีทางไปพบคนคนนั้นเด็ดขาด แต่เธอทนเห็นสายตาผิดหวังของลูกชายไม่ได้มากกว่า
เหอเสวี่ยฉินรู้สึกเสียใจขึ้นมาในใจชั่วขณะหนึ่ง
ก่อนหน้านี้โจวเป่าเฉิงไม่ได้สนใจอันฉินเท่าไหร่นัก แต่ปัญหาคืออันฉินคนนี้มีฝีมือในการรับมือผู้ชายพอตัว ไม่กี่วันก็ทำให้โจวเป่าเฉิงหลงใหลคลั่งไคล้เธอได้
วันนี้มาขอน้ำตาลทรายแดง แล้ววันพรุ่งนี้ล่ะ? จะยื่นมือมาขอเงินเลยไหม?
ยังไงก็ตาม ความเสียใจนั้นเป็เพียงชั่วครู่ ก่อนที่เธอจะปัดมันทิ้งไปอย่างรวดเร็ว
การทำให้ผู้ชายหลงใหลก็เป็ความสามารถอย่างหนึ่ง อย่างเช่นเธอ ทุกคนต่างบอกว่าเธอสู้กู้ฉิงโหรวไม่ได้ แต่ลู่หวยเหรินก็ยังถูกเธอผูกมัดไว้อย่างหมดหัวใจไม่ใช่เหรอ?
ลู่จิ่งซานมีความสามารถก็จริง แต่พอแต่งเมียแล้วก็ยังปล่อยให้เมียต้องอยู่กินอย่างคนเป็หม้ายไม่ใช่เหรอ? แล้วสวี่จือจือจะมาลำพองใจอะไรกัน?
เธอส่ายหน้า พลั้งไปโดนฟันตัวเองเข้าจนร้องซี้ด ลืมไปว่าฟันที่ถูกกระแทกเมื่อครู่ ตอนนี้พอกัดก็ยิ่งเจ็บ
เธอถ่มน้ำลายออกมา ในปากก็เริ่มมีเืซึมอีกครั้ง
สวี่จือจือสมควรตาย ั้แ่อีกฝ่ายเข้ามาในบ้านตระกูลลู่ก็เหมือนพิฆาตพวกเขายังไงยังงั้น เื่ซวยๆ อะไรก็เกิดขึ้นกับพวกเขาได้
นังเด็กแพศยาสมควรตาย
เธอหันหลังกลับไปก็เห็นสวี่จือจือยืนล้างมืออยู่ที่บ่อน้ำในลานบ้าน ไม่รู้ว่าเมื่อกี้ที่พวกเขาคุยกัน อีกฝ่ายได้ยินหรือไม่
เธอกำลังคิดอยู่ก็เห็นสวี่จือจือสะบัดมือลุกขึ้นยืน แล้วมองเธอด้วยรอยยิ้มไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่สีหน้าท่าทางนั้นกลับตบหน้ามากกว่าคำพูดเสียอีก
คนเราต่างกันเปรียบเทียบกันแล้วก็น่าโมโหแทบตาย ลู่จิ่งซานคือลูกคนอื่น จะไปเปรียบเทียบกับเขาน่ะเหรอ? หาเื่เจ็บตัวชัดๆ
เหอเสวี่ยฉินโกรธจนตัวสั่น จ้องมองสวี่จือจืออย่างเคียดแค้น ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน หยิบกระเป๋า แล้วบิดก้นเดินออกไป
“เธอยั่วโมโหหล่อนแบบนี้” คุณนายลู่นั่งมองสวี่จือจือที่หน้าต่างด้วยรอยยิ้ม “ไม่กลัวหล่อนจะจดบัญชีแค้นเธอหรือไง?”
“คุณย่า” สวี่จือจือกล่าว “ไม่ใช่หนูหาเื่นะคะ ั้แ่วันแรกที่หนูเข้ามา หล่อนก็หาทางกดหัวหนูอยู่ตลอดเวลา หนูไม่ได้ทำอะไรเลยหล่อนก็เกลียดหนูเข้าไส้แล้ว ถ้าอย่างนั้นหนูทำอะไรสักหน่อยไม่ดีกว่าเหรอคะ?”
ชาติที่แล้วเหตุผลสำคัญที่ทำให้ร่างเดิมเป็โรคซึมเศร้าฆ่าตัวตายในภายหลังก็มาจากเหอเสวี่ยฉินนี่แหละ
ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้เป็อะไร ั้แ่วันแรกที่ร่างเดิมแต่งเข้ามาก็เริ่มหาทางทำให้ชื่อเสียงของเธอเสื่อมเสียสารพัด แม้กระทั่งตอนที่โจวเป่าเฉิงมาคุกคามเธอ ส่วนหนึ่งก็มาจากการยินยอมของเหอเสวี่ยฉิน
ต่อมาเมื่อเธอให้กำเนิดลูกสาวคนโต แล้วถูกสวี่เจวียนเจวียนและหวังซิ่วหลิงบีบบังคับให้ยกเด็กให้คนอื่น ในเื่นี้ก็มีเหอเสวี่ยฉินอยู่เื้ัด้วย
อาจกล่าวได้ว่าไม่ว่าจะเป็ชาติที่แล้วหรือตอนนี้ ั้แ่เธอแต่งเข้ามาในบ้านตระกูลลู่ เหอเสวี่ยฉินก็มีความรังเกียจหรือความเกลียดชังอย่างรุนแรงต่อเธอ
เมื่อก่อนเธอคิดว่าเป็เพราะลู่จิ่งซาน แต่เมื่อนานวันเข้าเธอก็รู้สึกว่าไม่น่าจะใช่ อาจจะมีส่วนแต่ไม่ถึงขนาดที่ทำให้เหอเสวี่ยฉินอยากทำลายชื่อเสียงของเธอั้แ่วันแรกที่แต่งงาน
“ได้ยินหรือยัง?” คุณนายลู่ไม่เพียงแต่ไม่โกรธ แต่กลับถือโอกาสอบรมลู่ซือหยวน “แกน่ะ หัดเรียนรู้จากจือจือบ้าง”
ถึงแม้สวี่จือจือจะเพิ่งแต่งเข้ามาได้ไม่นาน แต่เธอก็ดูออกว่าเด็กคนนี้เป็คนดีมีเมตตา ตราบใดที่เหอเสวี่ยฉินไม่หาเื่ สวี่จือจือจะไม่เริ่มก่อน
คุณนายลู่ชื่นชมในข้อนี้ของสวี่จือจือมาก ไม่มีเหตุผลที่จะถูกคนอื่นรังแกแล้วยังไม่รู้จักต่อต้านหรอก แบบนั้นมันไม่ใช่คนโง่เหรอ?
เื่นักก่อกวนอะไรนั่นเธอไม่คิดเช่นนั้น แต่หากเป็เธอในวัยหนุ่มสาว คงทำได้เกินเลยกว่าสวี่จือจือเสียอีก ก่อนจะถามว่า “กระต่ายเป็ยังไงบ้าง?”
“หนูเอาน้ำกับอาหารให้มันแล้ว” สวี่จือจือกล่าว “ไม่เป็อะไรแล้วค่ะ”
ไม่รู้ว่าเป็เพราะได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมาหรือเปล่า มันฟื้นตัวเร็วมาก เมื่อกี้ตอนที่เธออุ้ม มันยังขยับจมูกดมเธออีกด้วย หรือว่าคิดว่าเธอเป็หัวแครอทกันนะ?
“เอาไปปล่อยในป่าก็สบายคนอื่นเปล่าๆ เอาอย่างนี้ไหม” สวี่จือจือกล่าว “อีกสองวันพวกพี่ก็จะย้ายบ้านแล้วนี่ เลี้ยงมันไว้ในสวนหลังบ้านเลย ให้เจินเจินรับผิดชอบหาหญ้าให้กินทุกวัน”
“ฉันก็จะช่วยด้วยค่ะ” ลู่ซืออวี่รีบกล่าว
“พอโตขึ้นเราจะเอามาทำกระต่ายผัดเผ็ด” สวี่จือจือกล่าวอย่างแ่เบา กระต่ายน้อยสามครอก โตขึ้นมากินได้หลายมื้อเลย
กระต่ายอ้วนตัวหนึ่งที่กำลังแทะแครอทอยู่ในสวนหลังบ้าน “...” แครอทไม่อร่อยแล้ว!
่บ่ายตอนไปทำงานสวี่จือจือไม่เห็นอันฉิน ได้ยินว่าวันนี้อีกฝ่ายลาป่วย โจวเป่าเฉิงไปช่วยอีกฝ่ายทำงานตักขี้หมูแทน นี่เป็เื่เหลือเชื่ออย่างแท้จริงในหมู่บ้านผานสือ
โจวเป่าเฉิงคนี้เีถึงกับยอมทำเื่แบบนี้ด้วยเหรอ?
“จุ๊ๆ...” ใกล้เวลาเลิกงาน หลิวเหมียวก็วิ่งมาแบ่งปันเื่น่าตื่นเต้นให้สวี่จือจือ “ไม่รู้จักอายบ้างเลย นั่นเรียกว่าตักขี้หมูหรือเปล่า?”
ในสายตาของเธอ มันเหมือนกินขี้หมูมากกว่า
“ว่าไปแล้วผู้ชายตัวโตขนาดนั้น กินจนอ้วนท้วน แต่ทำงานกลับยกเสียมไม่ไหว” หลิวเหมียวกล่าวอย่างรังเกียจ “ตักเสียมเดียวไม่ได้ตักขี้หมูเท่าไหร่ แถมตอนเหวี่ยงยังเกือบไปโดนพวกยุวปัญญาชนที่อยู่ข้างๆ ด้วย
เธอน่ะไม่ทันเห็น” หลิวเหมียวพูดไปหัวเราะไป “เกือบไปโดนหัวหน้ากองงานเข้าให้ โกรธจนหัวหน้ากองงานหยิบแส้ออกมาเลย
แล้วก็” หลิวเหมียวพูดเสียงเบา “ฉันได้ยินมาว่า่นี้อันฉินกินซาลาเปาลูกใหญ่ๆ ได้ทุกเช้าเลยนะ คนทั้งศูนย์รู้กันหมด”
เธอรู้ว่าตอนนี้สวี่จือจือส่งซาลาเปาไปที่สถานีขนส่งทุกวัน แต่เธอคิดว่าสวี่จือจือไม่น่าจะใจกว้างถึงขนาดให้ซาลาเปาอันฉินกินทุกวันหรอกมั้ง ครั้งสองครั้งยังพอได้ แต่นี่ทุกวันเลยนะ!
อย่างนี้กว่าจะได้เงินมาแต่ละอีแปะก็แทบจะไม่พอใช้จ่ายในครอบครัวแล้ว
“ขอบใจนะ” สวี่จือจือกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ยังไงก็ตาม วันรุ่งขึ้นตอนไปทำงาน เธอก็แอบยัดซาลาเปาให้หลิวเหมียว หลิวเหมียวย่อมปฏิเสธแน่นอน
“ลองชิมดู” สวี่จือจือกระซิบ “แค่ครั้งเดียว ลองชิมซาลาเปาของบ้านเรา”
สุดท้ายหลิวเหมียวก็ทนต่อการล่อใจไม่ไหวกินเข้าไปจนได้ ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมสถานีขนส่งถึงต้องสั่งซาลาเปาร้านนี้ มันอร่อยมากจริงๆ
แน่นอนว่าเื่เหล่านี้เป็เื่หลังจากนั้น
ลู่ซือหยวนกำลังจะย้ายบ้าน เตาไฟเมื่อไม่กี่วันก่อนได้ว่าจ้างช่างในหมู่บ้านมาช่วยก่อเรียบร้อยแล้ว เมื่อวานก่อนที่ลู่ซือหยวนจะไปทำงาน เธอยังตั้งใจก่อไฟเล็กน้อย ต้มน้ำร้อนหม้อหนึ่ง
เตาไฟนั้นเหมือนกับที่บ้านตระกูลลู่ใช้อยู่ตอนนี้แทบทุกอย่าง ใช้ปล่องดูดควัน ไม่ต้องออกแรงเป่าลม ใส่ฟืนแห้งๆ เข้าไป ไฟข้างใต้ก็จะลุกโชน ใช้งานได้ดีมาก!
ตอนกลับมาที่หมู่บ้านก็เห็นโจวเป่าเฉิงหน้าดำคร่ำเครียดเดินกลับบ้าน มาถึงหน้าบ้านก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าติดตัว คงไปช่วยอันฉินตักขี้หมูเสร็จแล้วกลับมา เหม็นแทบตายแล้ว
สวี่จือจือมองเขาด้วยความรังเกียจ แล้วเดินเข้าไปในบ้านกับลู่ซือหยวน
สวี่จือจือพูดว่า “พี่รีบย้ายบ้านไปเร็วๆ เถอะ” อยู่กับคนแบบนี้มันทรมานเกินไป
ลู่ซือหยวนพูดว่า “อีกไม่กี่วันก็จะย้ายออกไปแล้ว”
อีกไม่กี่วันโจวเป่าเฉิงกับอันฉินก็จะแต่งงานกันแล้ว พอแต่งงานกันก็จะย้ายไปอยู่ที่เพิงข้างๆ
ตอนเย็นเพื่อเป็การฉลองการย้ายบ้านของลู่ซือหยวน พวกเขาจึงทำอาหารที่บ้านของเธอเป็พิเศษ ถือเป็การขึ้นบ้านใหม่
เนื้อหมูซื้อจากบ้านช่างขายเนื้อแซ่จางในหมู่บ้านเดียวกัน ราคาอาจจะแพงกว่าหน่อย แต่ไม่ต้องใช้คูปองเนื้อ แล้วก็เก็บถั่วฝักยาว มะเขือต่างๆ จากสวนผักมาผัดเป็กับข้าวสามอย่าง และผักอีกสามอย่าง
คุณนายลู่นั่งรถเข็นที่ลู่จิ่งเหนียนเข็นมา
คนในครอบครัวยกเว้นโจวเป่าเฉิงที่นอนอยู่บนเตียงเพราะเหนื่อยจนขยับไม่ได้ และเหอเสวี่ยฉินที่กำลังซักเสื้อผ้าสกปรกให้เขาด้วยสีหน้าบึ้งตึง ทุกคนก็มากันหมด
ในคืนนั้นลู่ซือหยวนย้ายออกไปอย่างเป็ทางการ หลังจากนี้ไม่ว่าจะเป็ซาลาเปาหรืออะไรก็จะย้ายมาทำที่บ้านลู่ซือหยวนทั้งหมด
“ถ้าเขากล้ามาอีก ฉันจะหักขาหมาๆ ของเขาให้หมด” สวี่จือจือกล่าวด้วยรอยยิ้มเ็า
โจวเป่าเฉิงที่กำลังหลับฝันอยู่รู้สึกเย็นวาบที่่ล่าง จากนั้นก็เกาที่บริเวณนั้น เขาพึมพำอะไรบางอย่างแล้วพลิกตัวม้วนผ้าห่มนอนต่อ
.............................
