จ้าวซีเหอรู้สึกผิดหวังไม่น้อยที่หนิงมู่ฉือไม่เห็นความจริงใจของเขา
ทั้งสองคนเดินไปเรื่อยๆ ตามทาง คนหนึ่งตั้งใจหาอย่างจริงจัง ส่วนอีกคนก็ตั้งใจมองคนที่กำลังตั้งอกตั้งใจหา
“เจอแล้ว!” หนิงมู่ฉือะโขึ้นมาด้วยความดีใจ จ้าวซีเหอมองตามก็พบว่า่กลางของูเามีถ้ำขนาดไม่ใหญ่นักซ่อนตัวอยู่ นกนางแอ่นที่สามารถบินได้ การมาทำรังตรงนี้ถือว่าปลอดภัยพอสมควร
แต่สำหรับมนุษย์ หากต้องขึ้นเขามาสูงถึเพียงนี้ถือว่าลำบากทีเดียว หากปีนขึ้นมาแล้วตกลงไป รับรองว่าไม่รอดแน่
ซึ่งเื่อันตรายเช่นนี้จ้าวซีเหอไม่มีทางยอมให้หนิงมู่ฉือทำเด็ดขาด
“พวกเรากลับไปที่จุดนัดพบกันก่อนเถอะ ระหว่างทางกลับทำสัญลักษณ์เอาไว้จะได้กลับมาที่นี่ได้ อุปกรณ์ในการเก็บรังนกอยู่กับไซพานอัน อีกอย่างนี่ก็ใกล้จะครบหนึ่งชั่วยามแล้ว”
ประโยคนี้หยุดหนิงมู่ฉือที่กำลังทำท่าจะปีนขึ้นไปทันควัน ทั้งสองคนเดินกลับไปทางเดิม แล้วก็พบว่าไซพานอันได้มารออยู่แล้ว
“เอ๋ เหตุใดทั้งสองคนถึงเดินมาด้วยกันได้ ไปกันคนละทางมิใช่หรือ” ไซพานอันถามด้วยความสงสัย รู้สึกเหมือนตนเองถูกทอดทิ้งอย่างไรก็ไม่รู้
“ข้าหลงทาง เดินไปเดินมาก็บังเอิญไปเจอฉือเอ๋อร์เข้า” จ้าวซีเหอไม่มีทางบอกอีกฝ่ายเด็ดขาดว่าตัวเองตั้งใจเดินไปหาหญิงสาว!
“อ่ออ... ที่แท้ก็เช่นนี้เองหรือ” ไซพานอันจงใจลากเสียงยาว เขาไม่ใช่ไม่รู้ว่าจ้าวซีเหอชอบพอในตัวหนิงมู่ฉือ เขาแสร้งทำเป็ไม่รู้เท่านั้นเอง
“อ่ออะไรของท่าน” หนิงมู่ฉือถลึงตาใส่ “ข้าเจอถ้ำแล้ว และทำสัญลักษณ์ระหว่างทางเอาไว้แล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ” หญิงสาวเอ่ยจบก็หมุนตัวเดินออกไป
จ้าวซีเหอแอบยกนิ้วโป้งชมเชยไซพานอัน ก่อนจะยกยิ้มมุมปากแล้วเดินตามไป
ไซพานอันสีหน้างงงวย ซื่อจื่อกำลังชมตนอยู่หรือ แค่คิดก็สยองแล้ว เขาตัวสั่นขนลุกขนชัน จากเดิมที่นั่งอยู่บนก้อนหินก็ลุกขึ้นยืนแล้วถึงค่อยเดินตามไป
ตรงกลางเขาไม่ใช่ที่ที่จะปีนขึ้นไปได้ง่ายๆ จ้าวซีเหอจึงเสนอว่าให้ปีนจาก้าเข้าไปในถ้ำแทน แบบนี้จะปลอดภัยกว่า แค่ให้คนหนึ่งคอยอยู่้า ทำหน้าที่ดึงเชือก
ไซพานอันขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเสนอตัวว่าจะคอยเฝ้าอยู่้า จะเป็คนรับผิดชอบความปลอดภัยของทุกคนให้เอง ทว่าเพิ่งจะพูดจบประโยคก็ถูกจ้าวซีเหอปฏิเสธเสียงแข็งใส่
ไซพานอันดึงแขนจ้าวซีเหอไปอีกทางก่อนจะพูดกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน “ซื่อจื่อ นี่ข้ากำลังสร้างโอกาสให้ท่านอยู่นะ เหตุใดท่านถึงได้โง่เช่นนี้”
ไซพานอันอ่อนใจกับท่าทางไม่รู้เื่ราวของคนตรงหน้ายิ่งนัก
“เ้าสิโง่ หนิงมู่ฉือเป็สตรี จะให้ไปเสี่ยงอันตรายได้อย่างไร เช่นนั้นต้องเป็พวกเราสองคนที่ลงไปเอา!” ไซพานอันทำท่าครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนจะคิดได้ว่าก็จริง เพียงแต่เขารู้สึกว่ามันเหมือนมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้องในประโยคนี้
หนิงมู่ฉือมองทั้งสองคนที่กระซิบกระซาบกันอยู่ด้านข้าง ซึ่งนางเองก็ไม่รู้เลยว่าทั้งสองกำลังพูดคุยเื่ใดกันอยู่ เพื่อไม่ให้เป็การเสียเวลา นางมัดตัวเองกับเชือก เมื่อเห็นว่าแน่นดีแล้วก็ถืออีกฝั่งหนึ่งของเชือกเดินไปผูกกับต้นไม้ที่มีลำต้นใหญ่และหนาต้นหนึ่ง เพียงเท่านี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาแล้ว
รอจนทั้งสองคนปรึกษากันเสร็จเรียบร้อย หันหน้ากลับมาพบว่าหนิงมู่ฉือกำลังเตรียมตัวจะปีนลงไปข้างในถ้ำ “หนิงมู่ฉือ เ้าจะทำอะไร!” จ้าวซีเหอเอ่ยเสียงดังอย่างใ หนิงมู่ฉือพลันชะงัก ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงต้องะโใส่นางด้วย
“ข้าก็จะลงไปเก็บรังนกอย่างไรเล่า จะทำอะไรได้!” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ไม่ว่าผู้ใดถ้าถูกตะคอกเสียงดังใส่ก็ต้องไม่พอใจด้วยกันทั้งนั้น
“แม่นางหนิง หน้าที่นี้ให้ซื่อจื่อกับข้าลงไปทำเถิด ท่านเป็ผู้หญิง มันอันตราย” ไซพานอันเห็นบรรยากาศดูไม่ค่อยจะดีจึงเอ่ยปากออกมาเพื่อให้บรรยากาศดีขึ้น
“ขอบคุณคุณชายไซมาก หากข้ารออยู่้า หนึ่งคือพวกท่านคงไม่รู้ว่าต้องเก็บรังนกแบบใดและคงแยกไม่ออกว่ารังนกแบบใดดีหรือไม่ดี ประการที่สอง หากเกิดเื่ใดขึ้น ข้าแรงน้อยคงดึงพวกท่านขึ้นไม่ไหว เช่นนั้นให้ข้าลงไปเก็บนั่นแหละเหมาะสมแล้ว”
พูดกับคนอีกคน น้ำเสียงย่อมแตกต่าง น้ำเสียงที่หญิงสาวใช้พูดกับไซพานอันทั้งนุ่มนวลและอ่อนหวาน ทำให้ไซพานอันมีสีหน้าประดักประเดิดยิ่ง
จ้าวซีเหอได้ฟังหญิงสาวพูดเช่นนี้ก็รู้ทันทีว่าอย่างไรนางก็ต้องลงไปให้ได้ เขาจึงไม่พูดมาก เขาหยิบเชือกอีกเส้นมาผูกตัวเองกับต้นไม้ ทิ้งให้ไซพานอันเฝ้าอยู่ข้างบนคนเดียวอย่างน่าสงสาร ไซพานอันเดินไปตรวจดูเชือกที่ผูกกับต้นไม้ว่าแน่นดีหรือไม่ ก่อนจะมองทั้งสองคนปีนลงไปในถ้ำ
หนิงมู่ฉือเคยปีนป่ายมาก่อน สมัยที่นางยังเป็คุณหนูในจวนแม่ทัพ นางไม่ใช่คุณหนูที่เรียบร้อยนัก จึงปีนป่ายได้อย่างคล่องแคล่ว
จ้าวซีเหอปีนตามลงมาทีหลัง พร้อมทั้งคอยเหลือบมองหญิงสาวเป็ระยะอยู่บ่อยครั้ง คอยระมัดระวังแทน ด้วยกลัวว่าหญิงสาวจะตกลงไป ขณะที่อีกใจหนึ่งก็ต่อว่าตนเองอยู่ในใจว่า ในเมื่ออีกฝ่ายไม่รับน้ำใจของเขา แล้วเหตุใดเขายังต้องคอยปกป้องและเป็ห่วงนางเช่นนี้ด้วย
วสันตฤดูได้มาถึงแล้ว ดินโคลนที่เคยถูกความหนาวในฤดูหนาวทำจนแข็งตอนนี้เริ่มมีความอ่อนนุ่ม เมื่อเท้าเหยียบลงไปจึงมีโคลนติดรองเท้าตามขึ้นมาด้วย ทั้งเวลาเหยียบลงไปก็ไม่ค่อยจะมั่นคงนัก อาจจะลื่นตกลงไปได้ทุกเมื่อ
ทั้งสองคนใช้เท้าเหยียบก้อนหินขณะค่อยๆ ไต่ลงไปตามเชือก ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะปีนลงมาถึงปากถ้ำที่อยู่ตรงกลางเขา
หนิงมู่ฉือดึงหญ้าที่ขึ้นรกแถวปากถ้ำออก มองเข้าไปในถ้ำซึ่งมีแต่ความมืด แม้ทางเข้าถ้ำจะสูงเพียงครึ่งตัวคนแต่กลับกว้าง ส่วนภายในถ้ำสูงเท่าขนาดตัวคนทั้งตัว
เนื่องจากเชือกมีขนาดไม่ยาวมาก เมื่อมาถึงปากถ้ำทั้งสองคนจึงแก้เชือกที่ผูกเอวออก “คุณชายไซ พวกเราจะเข้าไปสำรวจข้างในถ้ำ ออกมาเมื่อไหร่ค่อยะโบอกท่าน” หนิงมู่ฉือะโบอกไซพานอันที่อยู่้า ซึ่งไซพานอันก็ะโตอบกลับมา ก่อนจะหาที่นั่งแถวๆ นั้น รอคอยทั้งสองคนกลับขึ้นมา
ทั้งสองคนนำคบเพลิงติดตัวมาด้วย ทั้งยังนำแท่งไม้ไผ่แท่งยาวซึ่งที่ปลายไม้ไผ่คืออุปกรณ์ที่ใช้เก็บรังนกโดยเฉพาะมาด้วย เป็อุปกรณ์ที่เมื่อคืนหนิงมู่ฉือทำขึ้นมาเอง แม้จะเป็แค่อุปกรณ์ง่ายๆ แต่ก็ใช้งานได้ดียิ่ง
คบเพลิงอันไม่ใหญ่มาก ทำให้เมื่อเดินเข้ามาในถ้ำจึงไม่ค่อยจะให้แสงสว่างมากนัก ทั้งสองคนใช้มือคลำทางขณะเดินไปข้างหน้า ทั้งสองคนไม่คาดคิดเลยว่าภายในถ้ำจะลึกถึงเพียงนี้
ด้านข้างถ้ำมีร่องรอยต่างๆ มากมาย นางเห็นรังนกตรงปากทางเข้าถ้ำ เพียงแต่คงจะเป็รังที่ทำเอาไว้นานแล้ว อย่าว่าแต่เอามาทานเลย แม้แต่นกก็ยังไม่มาอาศัยอยู่
ภายในถ้ำไม่ได้มีร่องรอยของนกนางแอ่นเท่านั้น แต่ยังมีร่องรอยของค้างคาวด้วย นางมองดูด้วยใจประหวั่น แต่ทางที่ดีที่สุดขออย่าให้นางเจอสิ่งแปลกๆ เลย
เดินเข้ามาได้สักพัก ทั้งสองคนหันหลังกลับไปก็ไม่เห็นปากทางเข้าแล้ว จึงคาดว่าน่าจะถึงด้านในสุดของถ้ำแล้ว
“ดูจากลักษณะของถ้ำ เหมือนไม่ใช่ถ้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ดูเป็ถ้ำที่เกิดจากฝีมืุ์มากกว่า ตอนหลังพอไม่ได้ใช้ประโยชน์ก็ปล่อยทิ้งร้างเอาไว้ จึงกลายมาเป็ที่อยู่อาศัยของพวกสัตว์ตัวเล็กๆ ทั้งหลาย” จ้าวซีเหอพึมพำ แม้หนิงมู่ฉือจะได้ยิน แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร