ตอนที่1 ตำนานอสูรกลืน์
ว่ากันว่า… ในค่ำคืนที่มืดมิดไร้แสงจันทร์ หากเงี่ยหูฟังดี ๆ ท่ามกลางเสียงลมที่พัดผ่านยอดไม้
อาจมีเสียงกระซิบเลือนรางของตำนานหนึ่ง… ตำนานที่ผู้เฒ่าในหมู่บ้านยังคงเล่าขานให้ลูกหลานฟังเสมอ
ในยุคที่ยังไม่มีมนุษย์ผู้ใดหลงเหลือความทรงจำ โลกใบนี้เคยถูกโดยสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจนิยามได้ด้วยคำว่าอสูร—มันคือหายนะที่มีชีวิต
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่ามันถือกำเนิดจากที่ใด หรือแม้แต่มีชีวิตขึ้นมาได้อย่างไร
รูปลักษณ์แท้จริงของมันไม่เคยถูกจารึก มีเพียงถ้อยคำที่สืบต่อกันมาว่า...
ร่างของมันใหญ่โตดั่งขุนเขา ปกคลุมด้วยเกล็ดสีขาวมันวาว และสามารถปลดปล่อยพิษที่กัดกร่อนแม้แต่แสงแห่ง์
ทุกย่างก้าวของมัน นำพาความว่างเปล่า
หมู่บ้านที่เคยรุ่งเรืองกลายเป็เพียงเถ้าธุลี
แม่น้ำเหือดแห้ง ป่าไม้ร่วงโรย ท้องฟ้ามืดมนราวกับไม่มีวันฟ้าสางอีกครั้ง
ตำนานบอกว่า ในยุคที่เทพเซียนยังสามารถเหยียบย่างบนผืนพิภพ ปีศาจตนนี้ได้เริ่มกลืนกินทุกสรรพสิ่งอย่างไร้เหตุผล
ในคืนเดือนดับ มันเคลื่อนผ่านอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุค และภายในชั่วคืนเดียว—เมืองทั้งเมืองก็หายไปจากแผนที่ ไม่มีแม้แต่เสียงกรีดร้องหลงเหลือให้ได้ยิน
พิษของมันนั้นรุนแรงเสียจนแม้แต่เทพเซียนก็ไม่อาจเข้าใกล้
ว่ากันว่าเซียนผู้กล้าที่เผชิญหน้ากับมัน ต่างถูกกัดกร่อนจนเหลือเพียงฝุ่นผง แม้แต่จิติญญาก็ไม่อาจหลบหนี
ท้ายที่สุด เหล่าเทพเซียนบน์จึงรวมพลังกันนับหมื่นเพื่อลงมือปราบมัน
การต่อสู้กินเวลาหลายวันหลายคืน ฟ้าดินสั่นะเื สรรพสิ่งล้วนสั่นไหวราวกับโลกใกล้ถึงคราวดับสูญ
แต่...ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ผลของศึกนั้น
มีเพียงแสงสว่างเจิดจ้าวาบขึ้นเป็ครั้งสุดท้าย ก่อนทุกอย่างจะกลับคืนสู่ความเงียบงัน
และหลังจากวันนั้น ก็ไม่มีผู้ใดได้เห็นอสูรกลืน์อีกเลย
บางคนเชื่อว่ามันถูกทำลายโดยพลังของ์
แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่เชื่อว่า—มันเพียงหลับใหลอยู่ในเงามืดของโลก รอวันที่จะลืมตาขึ้นอีกครั้ง
เพื่อกลืนกินทุกสิ่ง… รวมถึง์เสียเอง
จนถึงทุกวันนี้ ไม่มีผู้ใดรู้แน่ชัดว่ามันตายไปแล้วจริงหรือไม่
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนยังจดจำได้ไม่เคยเปลี่ยน—
“อย่าได้เอ่ยนามของมัน... เพราะเสียงเรียกนั้น อาจปลุกให้มันกลับมาจากการหลับใหล”
นี่คือตำนานของอสูรผู้เดียวที่แม้แต่ฟ้ายังต้องหวาดกลัว
"อสูรกลืน์"
.
.
.
.
.
กลางผืนดินลึกสุดของภาคเหนือ ในจุดที่ไม่มีแผนที่ใดกล้าวาดถึง
มีป่าสุดแสนกว้างใหญ่ซ่อนตัวอยู่ใต้ม่านหมอกแห่งคำสาป
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าป่านี้กว้างใหญ่เท่าใดเพราะไม่ว่าผู้ใดที่เข้าไปล้วนไม่เคยได้กลับออกมา
หมอกที่ลอยนิ่งตลอดทั้งปี ไม่เคยจางหาย ไม่เคยถูกรุกราน
พืชพรรณที่นี่เติบโตในรูปทรงผิดเพี้ยน
เปลือกไม้สีดำซีด ใบไม้บางต้นมีลายคล้ายดวงตาที่มองตอบกลับ
เสียงของแมลงก็ไม่เหมือนเสียงแมลง…
มันคล้ายเสียงกระซิบ คำพร่ำรำพึงที่แว่วข้างหู ไม่ว่าผู้ใดจะเดินทางมาเพียงลำพังหรือไม่ก็ตาม
ไม่มีมนุษย์หน้าไหนกล้าก้าวเข้ามาในเขตแดนแห่งนี้
แม้แต่เซียนผู้ฝึกตนระดับสูง ยังต้องหลีกเลี่ยงเส้นทางให้ไกลที่สุด
เพราะที่แห่งนี้—
คือ ป่ารัตติกาลนิรันดร์ ดินแดนต้องห้ามที่แม้แต่ฟ้ายังเว้นระยะ
แม้จะไม่มีใครในโลกภายนอกล่วงรู้
แต่แท้จริงแล้ว ป่าแห่งนี้…มีเ้าของ
ใจกลางของป่าที่แม้แต่แสงจันทร์ยังส่องไม่ถึง
มีร่างหนึ่งนั่งสงบอยู่ใต้เงาต้นไม้ั์พันปี
ดวงตาคู่เดียวเปล่งประกายสีอำพันอย่างอ่อนจาง แต่กลับชัดเจนเหนือทุกสิ่ง
เงาร่างนั้นไม่ขยับ ไม่ไหวติง และไม่จำเป็ต้องแสดงตน
เพราะเพียงแค่นางอยู่ที่นั่น—ทุกสรรพชีวิตในป่าก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของนาง
สัตว์อสูรจำนวนมากก้มศีรษะในทิศทางเดียวกัน
บางตนแม้ไม่ได้มองเห็น แต่ก็ััได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลที่แผ่ซ่านผ่านผืนดิน
แรงกดดันที่บีบหัวใจให้เต้นผิดจังหวะ…
แรงกดดันที่ไม่มีใครลืมได้ลง
และในวินาทีนั้นเอง
เสียงฝีเท้าเบาหวิวของสิ่งมีชีวิตขนาดั์ตัวหนึ่งดังขึ้นจากทิศตะวันตก
เงาวูบวาบของร่างเงาขนาดมหึมาปรากฏท่ามกลางหมอก
“...องค์ราชินี”
เสียงที่เอ่ยนั้นสั่นเบา
แต่ยังเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรงอย่างที่สุด
มันคือหนึ่งในอสูรระดับสูงแห่งป่า—ผู้ที่ไม่เคยก้มหัวให้ใคร ยกเว้นผู้เดียวเท่านั้น
...ฝ่ามือขนาดใหญ่ของมันกดลงกับพื้นแน่น
ก้มศีรษะต่ำสุดเท่าที่อสูรจะทำได้ ราวกับกลัวว่าจะรบกวนการนิ่งเงียบของผู้เป็ราชินี
“ขอบเขตตะวันตกสงบดีขอรับ ไม่มีสิ่งใดบุกรุก...
ฝูงปีศาจหมาป่าที่คุมแนวอเวจีรายงานว่า ไม่มีร่องรอยของพลังนอกเขตแดน”
เสียงของมันขาดหายไปในห้วงลมหายใจเดียว
ไม่ใช่เพราะถูกรบกวน หรือเพราะถูกสั่งให้เงียบ
แต่เพราะมันรู้ดีว่า—ไม่มีคำตอบใดจำเป็จากผู้ที่นั่งอยู่ตรงนั้น
...ดวงตาสีอำพันคู่นั้นยังคงนิ่ง
ไร้แววตอบรับ ไร้แม้แต่การกะพริบ
แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้ผู้มาเยือนถอนตัวกลับอย่างเงียบงัน
ก่อนร่างของมันจะจมหายกลับเข้าสู่ม่านหมอกดังเดิม ราวกับไม่เคยปรากฏตัว
เงียบอีกครั้ง...
ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หากแต่ในอ้อมแขนของเงาร่างใต้ต้นไม้—กลับมี “บางสิ่ง” ที่เปลี่ยนไป
ท่ามกลางไอพิษอ่อนจาง เส้นใยสีเงินบางเบาพันแน่นรอบร่างเล็ก ๆ
เด็กทารกคนหนึ่งนอนหลับสนิท ดวงหน้าขาวซีดราวหยก เส้นผมสีเงินอ่อนสะท้อนแสงจันทร์จากเบื้องบน
เขาดูเหมือนมนุษย์…
แต่ก็ไม่ใช่มนุษย์
บนเรือนร่างเล็กนั้นแผ่ไอสังหารจาง ๆ ปะปนกับกลิ่นเืปีศาจระดับสูง
ในดวงตาที่ปิดสนิท มีร่องรอยพลังบางอย่างสั่นไหวอยู่เงียบ ๆ
หากสังเกตให้ดี จะเห็นว่าิญญาของเขายังไม่สมบูรณ์
คล้ายกับ “สิ่งที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นมา”—ไม่ใช่สิ่งที่ถือกำเนิดตามครรลองธรรมชาติ
เงาดำที่โอบเด็กน้อยไว้ยังคงนิ่งไม่ไหวติง
เส้นใยสีเงินที่พันรอบร่างเล็กค่อย ๆ จมลึกลงบนิั ราวกับซึมกลืนเข้าสู่กระดูก
ภายใต้กระแสพลังแ่เบา เสียงชีพจรของเด็กทารกสั่นไหวช้า ๆ แต่มั่นคง
มือบางข้างหนึ่ง—เรียวยาว และซีดขาวดุจหิมะ
เคลื่อนไหวเพียงนิด ก่อนวางนิ้วลงกลางหน้าผากของเด็กชายอย่างแ่เบา
เสี้ยวหนึ่งของพลังสีดำสนิทค่อย ๆ แทรกซึมเข้าสู่ภายในร่างนั้น
ไม่มีแสง ไม่มีเสียง ไม่มีคาถาหรือพิธีกรรมใด
หากแต่การเคลื่อนไหวนั้น... กลับเป็การ “ผนึก”
ผนึกสิ่งบางอย่างที่กำลังหลับใหลอยู่ภายใน
สิ่งที่หากปล่อยให้ตื่นขึ้นั้แ่ตอนนี้—ร่างเล็ก ๆ นี้จะไม่มีวันทนรับไว้ได้
แสงจันทร์จากเบื้องบนลอดผ่านช่องว่างของพฤกษานับพัน
ส่องสะท้อนกับเส้นผมสีเงินบนศีรษะเล็ก ๆ
ทำให้ภาพในยามค่ำคืนดูเงียบสงบ... จนแทบลืมไปว่านี่คือใจกลางของแดนอสูร
และในห้วงลมหายใจที่ทุกสรรพเสียงหลีกทาง
เสียงลมหายใจแ่เบายังดังอยู่ไม่ขาดสาย
ร่างเล็กในอ้อมแขนยังหลับสนิท ราวกับไม่รับรู้ถึงพลังอันมหาศาลที่ไหลเวียนรอบตัวเขา
ซือเหยียนยังคงนั่งนิ่งอยู่เช่นเดิม ราวกับรูปสลัก
มือข้างหนึ่งโอบประคองร่างทารกไว้อย่างมั่นคง โดยที่นางเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรต่อจากนี้
นางมองใบหน้าเล็ก ๆ ที่สงบเสงี่ยมในอ้อมแขน
คิ้วเล็ก เส้นผมสีเงินที่ฟูเบา ๆ รอบศีรษะ แก้มซีดจาง และริมฝีปากบางที่ยังขยับไม่ได้
...ดูเปราะบางอย่างน่าหงุดหงิด
ซือเหยียนไม่เข้าใจว่าทำไมตนถึงรู้สึกว่าควรจะจับเ้านี่ไว้ให้แน่นขึ้นเล็กน้อย
หรือทำไมจู่ ๆ ถึงรู้สึกว่าไม่อยากให้มันแตกสลายไปง่าย ๆ
ในขณะที่สายตานางยังคงจับจ้องอยู่ที่เด็กทารก เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
เสียงเบา... สั่น... ไม่มั่นคง...
“อ... แง…”
นางกระพริบตา
“แง... แงงง...!”
เด็กทารกในอ้อมแขนเริ่มร้องไห้ เสียงนั้นไม่ได้ดังมาก
แต่สำหรับซือเหยียน—มันคือเสียงที่ “ไม่ควรจะมีอยู่” บนโลกใบนี้
คิ้วของนางขมวดเข้าหากันทันที
นางก้มลงมองเ้าตัวน้อยที่ยังร้องไห้ไม่หยุด เสียงแหบแห้ง สลับกับการดิ้นกระตุกเบา ๆ
นางลองเขย่าเบา ๆ
ร่างเด็กยังคงร้อง
นางลองวางเอาไว้กับพื้น
ร่างเด็กก็ยังร้อง
นางลองแผ่จิตสังหารใส่...
ร่างเด็ก... ร้องดังขึ้นกว่าเดิม
“…”
ซือเหยียนเริ่มนิ่ง
ไม่ใช่เพราะใ แต่เพราะ...ไม่เข้าใจ
นางมองเ้าสิ่งมีชีวิตในมือ
ผู้ที่นางสร้างขึ้นมาจากพลังชีวิตของตนเองอย่างพิถีพิถัน
อสูรในร่างมนุษย์ที่ควรจะกลืนกินทุกสิ่งเมื่อโตขึ้น
...ตอนนี้กำลังกรีดร้องราวกับลูกหนูหิวข้าว
“เ้า้าอะไร?”
เสียงของนางเ็า เรียบ และเบามาก
ซึ่งแน่นอนว่า ทารกไม่ได้ตอบอะไรกลับ
นางนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมองสำรวจเด็กอีกครั้ง
ไม่เจ็บ ไม่ร้อน ไม่มีรอยบาด ไม่มีสิ่งแปลกปลอมในร่าง
แล้วมันร้องไห้ทำไม?
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าของอสูรอีกตนก็ดังขึ้นใกล้ขอบเขตพุ่มไม้
อสูรคล้ายกิ้งก่าขนาดั์นอนราบลงกับพื้นอย่างเงียบเชียบ
“องค์ราชินี...” มันเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “เสียงของ...สิ่งมีชีวิตนั้น พวกปีศาจในป่าเริ่มจะ—”
“มันร้องทำไม” ซือเหยียนถามตัดคำ ไม่เหลือแววสนใจคำรายงาน
อสูรตนนั้นนิ่งงันไปอึดใจหนึ่ง ก่อนตอบเสียงเบา “...ข้าน้อยไม่รู้ขอรับ”
ร่างบางถอนหายใจ
เงาของนางเคลื่อนไหวเป็ครั้งแรกหลังเวลาผ่านไปเนิ่นนาน
ซือเหยียนยกเด็กขึ้นมาระดับสายตา
ดวงตาสีอำพันของนางมองสบกับดวงตาเล็ก ๆ ที่บัดนี้ลืมขึ้น น้ำตาคลอเบ้าแดงก่ำ
...และยังร้องต่อไปไม่หยุด
ซือเหยียนก้มมองเด็กที่ยังร้องไห้เสียงแหลมต่อเนื่อง
เสียงไม่ได้ดังมาก แต่ก็ “พอ” ที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตระดับสูงทั้งป่าเงี่ยหูฟังด้วยความสับสน
เด็กตัวแค่นี้…ส่งเสียงก่อกวนได้ขนาดนี้เชียว?
“…”
นางไม่ชินกับ “สิ่งมีชีวิต” ที่แสดงอารมณ์เช่นนี้
สัตว์อสูรภายใต้บัญชาของนาง ไม่จำเป็ต้องแสดงความรู้สึกใด ๆ
มันฟังคำสั่ง แล้วทำตาม... ไม่มีการร้อง ไม่มีการดิ้น ไม่มีน้ำตา
แต่นี่...มันอะไร?
เด็กมนุษย์ผิวซีดที่ตัวอุ่น ๆ ในอ้อมแขน
กำลังส่งเสียงร้องไม่หยุด น้ำตาไหลปริ่ม ดวงหน้าแดงก่ำ
ดิ้นไปมาเหมือนจะหลุดจากมือถ้านางจับแรงกว่านี้นิดเดียว
ซือเหยียนเริ่มขมวดคิ้ว
นางมองซ้ายมองขวา ไม่ใช่เพราะไม่รู้จะทำอะไร... แต่เพราะหวังจะเจออะไรที่ช่วยได้บ้าง
แน่นอน—นางไม่เจอ
สุดท้าย นางตัดสินใจทำสิ่งหนึ่งที่ตนเองไม่เคยคิดว่าจะต้องทำในชีวิต
“...หยุดร้อง”
น้ำเสียงนั้นเรียบ เสมือนคำสั่งปกติ แต่นั่นก็ยังไม่ช่วยอะไร
นางนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ ดึงร่างเล็กเข้ามาแนบอก
ไม่ใช่เพราะ้ากอด เพียงแค่...เพื่อให้น้ำตาไม่ไหลใส่มือ
ทว่าภายในอ้อมแขน เงาร่างเล็กกลับค่อย ๆ เงียบเสียงลง
เสียงหายใจเริ่มกลับมาเป็จังหวะ
เด็กน้อยซุกตัวเบา ๆ กับหน้าอกของซือเหยียนแล้วนอนนิ่งในอ้อมแขน
“…”
ซือเหยียนกะพริบตา
นางไม่ได้ทำอะไรเลย
ไม่ได้ใช้พลัง ไม่ได้ส่งปราณ ไม่ได้ออกคำสั่งที่ะเืฟ้าะเืดินใดๆ
เพียงแค่—ยกเด็กขึ้นมาแนบอก
มันก็เงียบ…
ในความเงียบที่กลับมาอีกครั้ง
ซือเหยียนก้มมองใบหน้าที่สงบลงของเด็กในอ้อมแขน
เส้นผมสีเงินอ่อนแนบแก้มแดงน้อย ๆ นั้น กลับทำให้นางรู้สึก…
...ไม่เข้าใจยิ่งกว่าเดิม
แต่สิ่งหนึ่งที่นางเริ่มรับรู้ชัดขึ้นก็คือ
การมี “บางอย่าง” อยู่ในอ้อมแขนตลอดเวลา
ไม่ได้น่ารำคาญอย่างที่คิด
ไม่ใช่เพราะเด็กเงียบลง
แต่เพราะนาง...ไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนทุกคืนที่ผ่านมาอีกต่อไป
“เ้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเกิดมาทำไม”
เสียงพึมพำนั้นเบามาก จนแม้แต่ลมก็พัดพาไปไม่ถึง
ซือเหยียนไม่คาดหวังคำตอบ
และเด็กน้อยก็ยังคงเงียบ นอนหลับโดยไม่รู้เลยว่าคำพูดนั้นเป็จุดเริ่มต้นของบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าใครจะคาดคิด
.
.
.
.
รุ่งเช้าในป่ารัตติกาลนิรันดร์... ไม่มีแสงอาทิตย์ ไม่มีนกร้อง ไม่มีแสงสีทองจากฟากฟ้า
แต่ซือเหยียนรู้ว่าเช้าแล้ว เพราะร่างเล็กในอ้อมแขนของนาง...เริ่มขยับ
เด็กน้อยขยุกขยิกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงอืออาเบา ๆ เปลือกตาที่แนบสนิทค่อย ๆ เปิดขึ้นช้า ๆ ดวงตากลมเล็กจ้องมองใบหน้าของผู้ที่อุ้มตนอยู่
ซือเหยียนยังคงนั่งในท่าเดิมเหมือนเมื่อคืน ไม่มีแม้แต่เงาแห่งความง่วง
เงียบไปพักใหญ่… เด็กน้อยก็เริ่มส่งเสียงอีกครั้ง
“แง... แงงงงง...!”
“อีกแล้ว?” นางพึมพำเสียงเรียบ
ดวงตาสีอำพันก้มมองเด็กในอ้อมแขนอย่างขรึม ๆ เมื่อคืนนางพอรู้แล้วว่าแนบอกจะทำให้เงียบ แต่นั่นมันคือเมื่อวาน—ตอนนี้มันไม่ได้ผลแล้ว
เด็กยังร้อง
ซือเหยียนลองยกขึ้นแนบอีกครั้ง เด็กยังร้อง ลองส่งปราณเล็กน้อย เด็กยังร้อง พึมพำคำสั่งเบา ๆ เด็กยังร้อง
นางมองซ้ายมองขวาอีกครั้ง มือตะปบคว้าเถาวัลย์แถวนั้นมาทำเบาะรองให้เด็ก ผลคือ—เด็กเงียบไปครู่หนึ่ง… แล้วร้องอีกรอบ
ครั้งนี้เสียงเริ่มมีจังหวะ เหมือนตั้งใจจะให้โลกจำ
“…”
ซือเหยียนเริ่มทำหน้าเหมือนโดนปริศนาธรรมกระแทกหัว ก่อนจะหลุบตาลง ถอนหายใจยาว ๆ หนึ่งทีแบบไม่มีเสียง
“เ้ากินอะไรได้บ้าง”
แน่นอน ไม่มีใครตอบ
เสียงกระแอมเบา ๆ ดังมาจากเงาไม้ด้านข้าง อสูรตนเดิมจากเมื่อคืน—จิ้งจกั์—กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับขดเถาวัลย์ที่มีผลไม้หลายลูกวางอยู่
“องค์ราชินี...พวกข้านำผลไม้ที่สิ่งมีชีวิตในป่าเคยกินแล้วไม่ตายมาให้—”
"เพียงแค่ไม่ตายงั้นรึ!” นางพูดตัด
อสูรนิ่ง “...ข้าน้อยหมายถึง กินแล้วร่างกายแข็งแรงขอรับ...”
“อืม”
ซือเหยียนรับมาหนึ่งลูก—มันเป็ผลไม้ขนาดเท่าฝ่ามือ มีเปลือกสีม่วงคล้ำ นางยกขึ้น แล้วลองแนบกับริมฝีปากของเด็กดู
เด็กน้อยบิดหน้า หันหนี และแน่นอน—ร้องอีกรอบ
“ไม่ใช่สิ่งนี้”
อสูรจิ้งจกตัวนั้นเริ่มเหงื่อตก (แม้มันจะไม่มีเหงื่อก็ตาม) “ถ้าเช่นนั้น... องค์ราชินี้า—”
“สิ่งที่มนุษย์ทารกกินได้” นางพูดเรียบ ๆ
มันนิ่งไปอึดใจ “...ข้าน้อยไม่เคยกิน”
ซือเหยียนกะพริบตาช้า ๆ
“ข้าก็ไม่เคยกินเช่นกัน” นางตอบ
ทั้งสองฝ่ายเงียบไปอีกครู่ เด็กยังคงร้อง เสียงนั้นแหลม สูง และยาวนานขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับจะกลั่นกรองิญญาของป่าให้แตกสลาย
อสูรจิ้งจกเริ่มกลอกตามองรอบตัว “...หากองค์ราชินีประสงค์ ข้าจะลองไปถามจากสัตว์อสูรที่เคยพบมนุษย์ที่หลงเข้ามาในป่าดูขอรับ”
“เร็ว”
มันรีบเลื้อยหายไปในเงาไม้
เหลือไว้เพียงซือเหยียนกับเด็กที่ยังคงส่งเสียงอยู่บนตัก
ซือเหยียนหรี่ตามองรอบตัวอีกครั้ง นางหยิบผลไม้อีกลูกขึ้นมา คราวนี้เป็ลูกสีเขียวแปลกตา เปลือกบาง เนื้อฉ่ำ นางจ้องมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกขึ้นแล้ว...
...หายใจใส่มัน
ลมหายใจนั้นเปล่งพลังปราณเย็นระดับควบแน่น เปลือกผลไม้แข็งตัวทันที ก่อนแตก “แกร๊ก” ออกเผยเนื้อในใสสะอาด
“สัตว์อสูรบางตัวก็ไม่ชอบเปลือก” นางพึมพำ
จากนั้นก็ป้อนให้เด็กอีกครั้ง เด็กไม่กิน... และร้อง
“…”
นางหยิบลูกใหม่ เปลือกแข็งกว่าเดิม นางพ่นเปลวเพลิงอ่อน ๆ ลงไป แต่เปลวเพลิงของนางหาใช่เปลวเพลิงธรรมดาไม่ ผลไม้จึงแห้งเกียมจนแทบจะเป็เถ้าถ่าน
"ข้าเคยได้ยินมาว่ามนุษย์กินอะไรก็ต้องเผาไฟ”
เด็กไม่กิน... และน้ำตาเริ่มไหล
“…”
ในเวลาต่อมา กองอาหารทดลองขนาดย่อมกองอยู่รอบตัวนาง มีทั้งแบบที่ปิ้ง ย่าง ต้ม เผา แช่แข็ง อบแห้ง คลุกฝุ่น แช่หยดปราณ หรือแม้แต่...
“...หรือว่าเ้ายังกินอะไรแข็งๆไม่ได้ งั้นน้ำยางจากต้นไม้ล่ะเป็ไง?”
เด็กสะอึก แล้วกรี๊ดลั่นราวกับถูกพิษ
เสียงดังจนไอมืดรอบต้นไม้เริ่มสั่นไหว หมอกบางสะท้อนเสียงสะท้อนกลับไปกลับมาในลำต้น นกปีศาจตื่นใจนบินกระเจิดกระเจิงขึ้นเหนือยอดไม้
ซือเหยียนนั่งนิ่งท่ามกลางความวุ่นวายรอบตัว นางเงยหน้าช้า ๆ ถอนหายใจเบา ๆ หนึ่งครั้ง แล้วพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่แม้แต่เทพเซียนได้ยินก็คงเงียบไปทั้งแดน
“…เ้านี่มันเข้าใจยากกว่าเทพเซียนซะอีก”
แต่ในอ้อมแขน—นางยังคงกอดเด็กน้อยไว้แน่นไม่ปล่อย
เสียงร้องแหลมสูงยังคงไม่หยุด
สะท้อนก้องอยู่ในอากาศมัวสลัวของป่ารัตติกาลนิรันดร์ ราวกับเสียงหวีดของิญญาเร่ร่อนนับพัน
กลุ่มหมอกเริ่มไหวเอื่อยตามจังหวะพลังเสียง
ฝูงค้างคาวเงาใต้หุบเขาแตกฝูงหนีไปอีกทิศ
แม้แต่เถาวัลย์พิษที่ปกคลุมต้นไม้อย่างหนาแน่น ก็ยังสั่นไหวคล้ายเริ่มรำคาญ
และตรงใจกลางของความวุ่นวายทั้งหมด
ซือเหยียนยังคงนั่งนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ต้นเดิม ใบหน้าสงบเงียบอย่างเยือกเย็น
มือหนึ่งของนางกอดเด็กทารกที่ยังคงร้องเสียงแหลม
อีกมือวางข้างตัวอย่างหมดจดราวรูปสลัก
ตรงหน้าของนาง กองวัตถุดิบจากป่ารูปแบบแปลกประหลาดถูกวางเรียงกระจัดกระจาย
บางส่วนไหม้เกรียม
บางส่วนแข็งเป็น้ำแข็ง
บางส่วนเปลี่ยนสีอย่างไม่ควรเปลี่ยน
แต่ที่เหมือนกันคือ... ไม่มีชิ้นไหนที่เข้าปากเด็กได้เลย
ซือเหยียนหรี่ตาลงอีกครั้ง
ไม่ใช่เพราะง่วง หรือโกรธ หรืออ่อนล้า
แต่เพราะพยายามใช้ตรรกะอีกแบบ—แบบที่นางไม่ถนัดที่สุด
“ข้าเผาพวกมัน...ปอกเปลือก...ทำให้สะอาด...แล้วเจือจางพลัง”
นางพึมพำกับตัวเอง
แต่เด็กในอ้อมแขนตอบกลับด้วยเสียงร้องกรี๊ดระดับเทพเซียนยังต้องเหลียวมอง
“…เหตุใดเ้าจึงไม่เข้าใจว่าอันไหนกินได้ อันไหนไม่ได้”
เสียงของนางยังคงราบเรียบ แต่น้ำเสียงเริ่มแต้มด้วยอะไรบางอย่าง
บางอย่างที่คล้ายคำว่า สิ้นหวัง
จังหวะนั้นเอง อสูรจิ้งจกรีบเลื้อยกลับมา มุดพุ่มไม้ออกมาพร้อมกับเสียงหอบหนัก
“องค์ราชินี! ข้าน้อย...ข้าน้อยถามมาแล้ว! สิ่งมีชีวิตเผ่ามนุษย์ให้ลูกกินของเหลวสีขาว! พวกเขาเรียกมันว่า ‘น้ำนม’!”
ซือเหยียนขมวดคิ้ว
“ของเหลวสีขาว?”
“ใช่ขอรับ ออกมาจากร่างกายของแม่มนุษย์...”
“…”
นางมองเด็กในอ้อมแขน
จากนั้นมองตัวเอง
“ข้าไม่มีสิ่งนั้น”
อสูรจิ้งจกเงียบกริบ
ซือเหยียนเงียบกว่า
ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีแผนรองรับ
ไม่มีเวทกลืนกินดารา ไม่มีศาสตร์กลืนิญญา
ไม่มีอะไรทั้งนั้น
มีแต่เด็กหนึ่งตน...ที่ยังคงร้องไห้อย่างไม่หยุด
เงียบไปอีกครู่ใหญ่
ก่อนที่ซือเหยียนจะพูดขึ้นช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่สุด
“…ไปแจ้งทุกเขต”
“ขอรับ?”
“เรียกประชุมอสูรระดับสูงทั้งป่ารัตติกาลนิรันดร์”
อสูรจิ้งจกถึงกับตัวแข็ง
“ขออภัย... ท่านหมายถึง—”
“ข้าหมายถึงราชันย์ทั้งแปด” ซือเหยียนพูดชัดถ้อย “ไม่เว้นแม้แต่ราชสีห์วายุ!!”
อสูรจิ้งจกกลืนน้ำลาย (ในใจ)
“หัวข้อการประชุมคือ...?”
“...จะเลี้ยงเด็กยังไงไม่ให้มันร้อง”
“…”
เสียงร้องยังคงดังต่อไปอย่างต่อเนื่อง
แต่สิ่งที่ดังกว่าคือเสียงของโชคชะตาที่เริ่มเปลี่ยนแปลงจากจุดศูนย์กลางป่าต้องสาปแห่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้