บทที่ 7 การตลาดแบบกองโจรและาจิตวิทยา
ข่าวความสำเร็จของเสิ่นเยว่ในการปฏิรูปฝ่ายสนับสนุน (โรงซักล้างและแผนกเย็บปัก) กลายเป็หัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดในจวนแม่ทัพ นางไม่ได้เป็แค่ดาวรุ่งอีกต่อไป แต่กลายเป็ "ผู้มีอิทธิพล" (Influencer) ที่น่าจับตามองในเขตบ่าวไพร่ อำนาจของนางไม่ได้มาจากตำแหน่งที่สูงส่ง แต่มาจากผลงานที่จับต้องได้และระบบที่มีประสิทธิภาพซึ่งนางได้สร้างขึ้น
บ่าวจากแผนกอื่นๆ เริ่มมองมาที่นางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่เป็การดูแคลน ก็กลายเป็ความริษยาและความหวาดระแวง พวกเขาต่างกลัวว่าการปฏิรูป ของนางจะลุกลามมาถึงแผนกของตนเอง
"ภาวะต่อต้านการเปลี่ยนแปลง (Resistance to Change) เป็เื่ปกติของทุกองค์กร" เสิ่นเยว่วิเคราะห์สถานการณ์ "เมื่อไม่สามารถสู้ด้วยผลงานได้ พวกเขาก็จะเริ่มใช้วิธีสกปรก การเมืองภายใน"
และนางก็คาดการณ์ไม่ผิด
เป้าหมายต่อไปของนางคือโรงครัว ซึ่งเป็แผนกที่ใหญ่และมีอำนาจมากที่สุดในบรรดาแผนกสนับสนุนทั้งหมด เพราะมันกุมปากท้องของคนทั้งจวนเอาไว้ หัวหน้าโรงครัวคือ เผิงต้าซู่ (ลุงเผิง) พ่อครัวร่างใหญ่ที่ทำงานรับใช้ตระกูลเซียวมาั้แ่รุ่นพ่อของท่านแม่ทัพ เขามีฝีมือในการทำอาหารเป็เลิศ แต่ก็หัวรั้น ดื้อดึง และเชื่อมั่นในวิธีการของตนเองอย่างสูงสุด
เสิ่นเยว่ยังไม่ได้เริ่มลงมือด้วยซ้ำ แต่ "าข่าวสาร" (Information Warfare) ก็เริ่มต้นขึ้นก่อนแล้ว
มีข่าวลือหนาหูแพร่สะพัดไปทั่ว:
"ได้ยินหรือไม่? นังเด็กเสิ่นเยว่คนนั้นกำเริบเสิบสานใหญ่แล้ว! นางคิดจะไปปฏิรูปโรงครัวของลุงเผิง!"
"์! นางคิดว่าตัวเองเป็ใคร? ลุงเผิงเป็พ่อครัวเก่าแก่ที่แม้แต่ฮูหยินใหญ่ยังต้องให้เกียรติสามส่วน!"
"นางคงคิดว่าการทำอาหารก็เหมือนการซักผ้ากระมัง? ช่างไม่เจียมตัวเอาเสียเลย!"
ข่าวลือพวกนี้ถูกปล่อยออกมาเพื่อสร้างกระแสต่อต้านและกดดันนางล่วงหน้า เป็กลยุทธ์ที่สกปรกแต่ได้ผลเสมอในเกมการเมือง
เสิ่นเยว่ได้ยินข่าวลือทั้งหมด แต่กลับทำเพียงยิ้มเยาะ "การตลาดแบบปากต่อปากเชิงลบ (Negative Word-of-Mouth) รึ? น่าสนใจ... ถ้าอย่างนั้นก็ต้องตอบโต้ด้วยการตลาดแบบกองโจร (Guerrilla Marketing) "
นางไม่ได้เดินเข้าไปเผชิญหน้ากับลุงเผิงที่โรงครัว ซึ่งนั่นจะเป็การฆ่าตัวตายชัดๆ แต่นางเริ่มปฏิบัติการจากฐานที่มั่นของตนเองโรงซักล้าง
วันนั้นเป็วันที่อากาศร้อนอบอ้าวเป็พิเศษ บ่าวไพร่ต่างทำงานด้วยความเหนื่อยล้าและกระหายน้ำ ทันใดนั้น ที่หน้าโรงซักล้างก็มีถังไม้ใบใหญ่ตั้งขึ้น พร้อมกับป้ายที่เขียนด้วยลายมือบรรจงว่า: "น้ำสมุนไพรดับร้อนสูตรพิเศษ ดื่มฟรีสำหรับทุกคน"
บ่าวคนสนิทของเสิ่นเยว่เป็คนตักแจกจ่ายให้ทุกคนที่เดินผ่านไปมา
"นี่คืออะไร? หอมจัง"
"ท่านผู้ดูแลเสิ่นเป็คนทำเองเลยนะเ้าคะ! นางบอกว่าเห็นทุกคนทำงานเหนื่อยๆ เลยอยากให้ได้ดื่มอะไรเย็นๆ ชื่นใจ"
น้ำในถังเป็สีอำพันใส มีดอกเก๊กฮวยขาวลอยอยู่ประปราย พร้อมกับพุทราจีนและชะเอมเทศ เมื่อดื่มเข้าไป รสชาติหวานชุ่มคอและกลิ่นหอมสดชื่นก็ช่วยขับไล่ความร้อนและความเหนื่อยล้าไปได้ในทันที!
"อร่อย! อร่อยมาก!"
"ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่นมีแรงขึ้นมาเลย!"
"น้ำเก๊กฮวย" ธรรมดาๆ กลายเป็ของวิเศษในสายตาของคนที่ไม่เคยดื่มมาก่อน ข่าวแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว บ่าวจากแผนกอื่นๆ แม้แต่ทหารยามบางคนก็ยังแอบแวะเวียนมาขอลิ้มลอง
นี่คือขั้นแรกของแผนการ: "การสร้างประสบการณ์เชิงบวกกับแบรนด์ (Positive Brand Experience) " นางไม่ได้ขายแค่เครื่องดื่ม แต่กำลังขายความใส่ใจ และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ตัวเอง
ขั้นที่สอง เริ่มต้นขึ้นในอีกสองวันต่อมา
เสิ่นเยว่ขออนุญาตจากพ่อบ้านคัง เพื่อจัดโรงทานขนาดเล็ก สำหรับบ่าวไพร่ที่ทำงานกะดึกและทหารยามที่ต้องเข้าเวรดึก ซึ่งเป็กลุ่มคนที่มักจะถูกหลงลืมและได้กินแต่อาหารเย็นชืด
เมนูที่นางทำไม่ใช่ของหรูหรา แต่เป็ "บะหมี่น้ำใสใส่ไข่และผัก" ธรรมดาๆ แต่ความไม่ธรรมดาของมันอยู่ที่ "น้ำซุป"
นางใช้ความรู้สมัยใหม่ในการเคี่ยวน้ำซุป โดยใช้โครงไก่และกระดูกหมูมาทุบให้แตกก่อนนำไปต้ม เพื่อให้ไขกระดูกออกมามากที่สุด ใส่ขิงทุบและพริกไทยเล็กน้อยเพื่อดับคาว และที่สำคัญที่สุดคือนางใส่หัวไชเท้า หั่นแว่นลงไปด้วย ซึ่งเอนไซม์ในหัวไชเท้าจะช่วยย่อยโปรตีนในเนื้อและกระดูก ทำให้ซุปมีรสชาติหวานกลมกล่อมตามธรรมชาติโดยไม่ต้องปรุงแต่งมาก
คืนนั้น กลิ่นหอมของน้ำซุปโชยไปไกลจนทหารยามที่เข้าเวรอยู่ทนไม่ไหว ต้องแวะมาชิมกันเป็แถว บะหมี่ร้อนๆ ในคืนที่อากาศเริ่มเย็นลง พร้อมกับไข่ต้มยางมะตูมที่นางทำเป็พิเศษ มันคืออาหาร์สำหรับพวกเขา
"ข้าไม่เคยกินบะหมี่ที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย!"
"น้ำซุปนี่มันอะไรกัน? หวานลึกซึ้งจริงๆ!"
ชื่อเสียงด้านอาหาร ของเสิ่นเยว่เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ แต่มั่นคง นางไม่ได้ประกาศตัวเป็ศัตรูกับโรงครัว แต่กำลังสร้าง "ตลาดกลุ่มเฉพาะ" (Niche Market) ของตนเองขึ้นมาเงียบๆ
าจิตวิทยาได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ที่โรงครัว ลุงเผิงได้ยินเื่ราวทั้งหมดจากลูกน้องด้วยสีหน้าบึ้งตึง
"ก็แค่ลูกไม้ตื้นๆ ของเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม!" เขาแค่นเสียง "ทำของกินเอาใจพวกบ่าวไพร่ชั้นต่ำ จะเอามาเทียบกับอาหารของเ้านายที่ข้าทำได้อย่างไร!"
แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น ในใจของเขาก็เริ่มรู้สึกร้อนรนอยู่บ้าง เพราะใน่สองสามวันที่ผ่านมา เขาได้ยินเสียงบ่นจากบ่าวรับใช้ของเรือนต่างๆ มากขึ้น
"อาหารของโรงครัวพักนี้รสชาติจืดชืดจังเลยนะ"
"ใช่ๆ สู้บะหมี่ของท่านผู้ดูแลเสิ่นก็ไม่ได้"
"น้ำแกงจืดก็คือน้ำล้างกระทะดีๆ นี่เอง"
คำพูดเหล่านี้เหมือนเข็มเล่มเล็กๆ ที่คอยทิ่มแทงความภาคภูมิใจในฐานะพ่อครัวอันดับหนึ่งของจวน
จุดแตกหักมาถึงในวันที่ฮูหยินใหญ่มีคำสั่งให้จัดเตรียมของว่าง สำหรับต้อนรับแขกคนสำคัญจากวังหลวง ซึ่งเป็ มามาาุโที่เคยรับใช้ไทเฮามาก่อน
นี่คือภารกิจสำคัญที่มีหน้าตาของจวนเป็เดิมพัน!
ลุงเผิงทุ่มเทฝีมืออย่างเต็มที่ เตรียมทำขนมแปดอย่างที่เป็ของถนัดของเขา แต่แล้วปัญหาก็เกิดขึ้น! "แป้งรังนก" ซึ่งเป็วัตถุดิบสำคัญที่สุดสำหรับทำขนม "มาลาขาวหิมะ" ที่เขาตั้งใจจะใช้เป็ตัวชูโรง กลับถูกหนูแทะจนเสียหายใช้การไม่ได้!
"บัดซบ! ใครเป็คนดูแลห้องเก็บวัตถุดิบ!" ลุงเผิงคำรามอย่างเดือดดาล
แต่การหาคนผิดตอนนี้ก็ไม่ช่วยอะไรแล้ว การจะส่งคนออกไปซื้อแป้งรังนกจากในเมืองตอนนี้ก็ไม่ทันการเสียแล้ว เหงื่อกาฬผุดขึ้นเต็มใบหน้าของพ่อครัวใหญ่
ทันใดนั้นเอง บ่าวรับใช้คนสนิทของฮูหยินใหญ่ก็เดินเข้ามาในครัวพร้อมกับกล่องไม้ใบเล็ก
"ฮูหยินใหญ่มีคำสั่ง" นางกล่าวเสียงเรียบ "หากในครัวมีปัญหาอะไร ให้ลองใช้ของในกล่องนี้ดู"
ลุงเผิงเปิดกล่องออกอย่างงุนงง ข้างในคือแป้งสีขาวนวลละเอียดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พร้อมกับกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่มีลายมือของเสิ่นเยว่เขียนสูตรและวิธีทำเอาไว้สั้นๆ
"แป้งมันสำปะหลัง? ขนมชั้นดอกพุดตาน?" ลุงเผิงขมวดคิ้วมุ่น "นี่มันของเล่นอะไรกัน!"
แต่เมื่อมองไปที่บ่าวของฮูหยินใหญ่ที่ยืนจ้องอยู่ เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลองทำตามดู
สูตรของเสิ่นเยว่คือการทำ "ขนมชั้นใบเตย" ที่คนไทยคุ้นเคยกันดี แต่นางดัดแปลงให้ดูหรูหราขึ้นโดยใช้สีจากดอกอัญชันและดอกคำฝอยเพื่อทำเป็ชั้นสีต่างๆ และใช้พิมพ์รูปดอกไม้กดให้เป็ชิ้นสวยงาม
ลุงเผิงทำตามอย่างเสียไม่ได้ แต่ในฐานะยอดฝีมือ เมื่อเขาเริ่มลงมือ เขาก็ััได้ถึงความไม่ธรรมดาของแป้งชนิดนี้ มันมีความหนืดและใสเมื่อโดนความร้อน ซึ่งแตกต่างจากแป้งสาลีหรือแป้งข้าวเ้าโดยสิ้นเชิง
เมื่อขนมนึ่งเสร็จและถูกแกะออกจากพิมพ์ ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้พ่อครัวใหญ่ถึงกับตะลึง!
ขนมรูปดอกไม้งดงามปรากฏอยู่เบื้องหน้า มันมีลักษณะเป็ชั้นสีม่วงอ่อน สลับกับสีเหลืองทองและสีขาวนวล เนื้อขนมใสมันวาวดูนุ่มเหนียวและน่ารับประทานอย่างที่สุด! กลิ่นหอมอ่อนๆ ของกะทิและดอกไม้ลอยขึ้นมาเตะจมูก
มันคือของหวานที่ไม่เคยมีใครในจวนนี้เคยเห็นมาก่อน!
เมื่อขนมถูกนำไปเสิร์ฟ แขกคนสำคัญจากวังหลวงถึงกับเอ่ยปากชมไม่หยุด!
"ขนมนี่ช่างแปลกใหม่และงดงามยิ่งนัก! เนื้อััก็นุ่มเหนียวไม่เหมือนใคร รสชาติก็หวานกำลังดี... นี่คือฝีมือของพ่อครัวท่านใดกัน?"
ฮูหยินใหญ่เพียงแค่ยิ้มอย่างพึงพอใจ และหันไปมองพ่อบ้านคัง ซึ่งพยักหน้าให้นางเบาๆ
เย็นวันนั้น ลุงเผิงถูกเรียกให้ไปเข้าพบฮูหยินใหญ่ตามลำพัง เขาเดินเข้าไปด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็ส่ำ เตรียมพร้อมรับการลงโทษ
แต่ฮูหยินใหญ่กลับไม่ได้ตำหนิเขาแม้แต่คำเดียว นางเพียงแค่รินชาให้เขาถ้วยหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ
"ฝีมือของเ้ายังคงเป็เลิศเสมอมาเผิงต้าซู่ แต่โลกภายนอกเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ การยึดติดกับของเก่าเพียงอย่างเดียว บางครั้งก็ทำให้เราตามไม่ทันผู้อื่น"
นางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อ "เสิ่นเยว่เป็เด็กที่ฉลาดและมีความคิดสร้างสรรค์ นางอาจจะไม่มีประสบการณ์เท่าเ้า แต่แิของนางก็มีประโยชน์ต่อจวนของเรา เ้าคิดว่าโรงครัวควรจะร่วมมือ กับนาง หรือจะรอให้นางสร้างโรงครัวแห่งที่สอง ขึ้นมาแข่งขันกับเ้ากันล่ะ?"
คำพูดของฮูหยินใหญ่เหมือนค้อนั์ที่ทุบลงกลางใจของลุงเผิง!
นางไม่ได้สั่ง! แต่นางกำลังให้ทางเลือก ซึ่งเป็ทางเลือกที่บีบบังคับอย่างที่สุด! การร่วมมือ หรือการถูกแทนที่!
คืนนั้นเอง ขณะที่เสิ่นเยว่กำลังวางแผนขั้นต่อไป เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เมื่อเปิดออกก็พบกับร่างใหญ่โตของลุงเผิงยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยสีหน้าซับซ้อน
เขาไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่ยื่นตำราอาหารเก่าแก่เล่มหนึ่งที่สืบทอดกันมาในตระกูลของเขาส่งให้นาง
"นี่คือสูตรอาหารทั้งหมดของข้า" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าปกติ "ส่วนของประหลาดของเ้า ก็เอามาแลกเปลี่ยนกันก็แล้วกัน"
เสิ่นเยว่รับตำรามา เปิดดูผ่านๆ ข้างในเต็มไปด้วยเคล็ดลับและสูตรอาหารชาววังที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
นางเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้เขา "ด้วยความยินดีเ้าค่ะ ท่านหุ้นส่วน"
[ติ๊ง! ท่านได้ใช้าจิตวิทยาและการตลาดแบบกองโจร เอาชนะใจคู่แข่งและสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่งได้สำเร็จ!]
[ท่านได้รับอำนาจในการให้คำปรึกษาและปฏิรูปโรงครัว!]
[ความคืบหน้าภารกิจ "ปฏิรูปฝ่ายสนับสนุน": 90%!]
การ "เทคโอเวอร์" โรงครัวโดยไม่เสียเืเนื้อแม้แต่หยดเดียว... สำเร็จลุล่วงอย่างงดงาม
เสิ่นเยว่รู้ดีว่านี่ไม่ใช่แค่ชัยชนะของนาง แต่เป็ชัยชนะของฮูหยินใหญ่ด้วยเช่นกัน หญิงผู้ชาญฉลาดที่อยู่เบื้องบนสุดของห่วงโซ่อาหารแห่งนี้ ได้ใช้โอกาสนี้สยบพ่อครัวใหญ่ที่เริ่มจะแข็งข้อ และในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมนางให้ขึ้นมาคานอำนาจ
"การเมืองในจวนแม่ทัพ... ซับซ้อนและสนุกกว่าที่คิดไว้เยอะ"
นางมองไปยังตำราอาหารในมือและแผนการตลาดในหัว
เมื่อฝ่ายสนับสนุนทั้งหมด... ทั้งซักรีด ตัดเย็บ และทำอาหาร ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของนางแล้ว ขั้นต่อไป ก็คือการก้าวออกจากเขตบ่าวไพร่ และเริ่มสร้างธุรกิจที่แท้จริงของนางขึ้นมา
