หลิวอิ๋งชุนเป็คนช่างพูดเธอยอมให้ลมเต็มปากดีกว่าที่จะต้องหุบปาก เธอถีบรถสามล้อไปพลางพูดจ้อกับซย่านีไปพลาง
“สองวันก่อนบ้านของเธอคึกคักมากเลยนะ ฉันได้ยินพวกเธอทะเลาะกันด้วย”
“เื่ที่เธอพูดว่าคนๆ นั้นเป็คนรักเก่าของหลี่เสวี่ยหรูน่ะ แท้จริงแล้วมันใช่เื่จริงหรือเปล่า? เอ๊ะ คงไม่ใช่ว่าเธออิจฉาที่หลี่เสวี่ยหรูหน้าตาดีก็เลยแต่งเื่นี้ขึ้นมาหรอกนะ?”
“เธอบอกว่าเธอเป็พวกชาวไร่ชาวนาที่มาจากชนบท ได้แต่งงานกับซ่งหานเจียงก็นับว่าเป็วาสนาแล้ว เธอยังจะก่อเื่อีกทำไมกัน!?”
“ฉันเห็นนะว่าวันสองวันนี้เธอกับเซี่ยงเหมยเข้าๆ ออกๆ กันตลอดแถมยังกลับบ้านมาพร้อมถุงใบเล็กใบใหญ่อีกด้วย พวกเธอสองคนกำลังอะไรกันอยู่หรือ?”
“…”
ซย่านีส่งเสียงอืออ่าเป็การตอบรับเธอตอบแค่ที่อยากตอบ ถ้าไม่อยากตอบเธอก็จะเปลี่ยนเื่คุยทันที จากนั้นเธอก็ได้ยินหลิวอิ๋งชุนบ่นว่า “วันนี้ฉันเองก็โชคร้ายมากเลย ตอนขี่จักรยานอยู่ดีๆ ไม่ทันระวังไปชนขอบถนนเข้าให้ พริบตาเดียว ล้อจักรยานก็เบี้ยวจนไม่เหลือโครงเดิม พอโยนไปให้ร้านซ่อมจักรยานช่างก็บอกว่าพรุ่งนี้ถึงจะซ่อมเสร็จ ไม่อย่างนั้นฉันก็คงไม่ต้องเดินจากโรงงานเพื่อกลับบ้านหรอก”
“โอ้ ใช่แล้ว วันนี้ยังเกิดเื่แปลกๆ ขึ้นด้วยนะ เธอคิดดูมันไม่ได้มีเ้านายเก่าหัวโบราณที่เกษียณไปแล้วคนไหนให้ลูกตัวเองเข้ามารับ่งานต่อแบบนี้ ก่อนหน้านี้ ฉันไม่เคยได้ยินเื่ที่โรงงานจะเปิดรับคนงานใหม่เลยอยู่ดีๆ ก็มีคนงานใหม่เข้ามาในโรงงานเสียอย่างนั้น”
“ชื่ออะไรนี่แหละ...อ๋อ จางหวาเฟิง! นายคนนั้นทำงานอะไรไม่เป็สักอย่าง ไม่รู้ว่าเขาเกี่ยวข้องอะไรกับผู้อำนวยการโรงงานคนไหนกัน”
ซย่านีพลันหายใจไม่ออก เธอกำเสื้อของหลิวอิ๋งชุนแน่น “...เธอว่าคนๆ นั้นชื่ออะไรนะ?”
“จางหวาเฟิงไง” หลิวอิ๋งชุนตอบ ทันใดนั้นเธอก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จู่ๆ เธอเบรกรถสามล้อที่เธอขี่ เธอหันหน้ามาด้วยสีหน้าใราวกับกินอะไรผิดสำแดง หลิวอิ๋งชุนคว้าไหล่ของซย่านีไว้พลางเอ่ยถาม “คืนนั้นที่เธอบอกว่าเ้าอันธพาลที่เธอเจอคือคนรักเก่าของหลี่เสวี่ยหรูอะไรนั้น มันชื่อว่าอะไรนะ?”
ซย่านีหรี่ตาลง พลางเอ่ยตอบ “จางหวาเฟิง?”
หลิวอิ๋งชุนอุทานอย่างใ “เป็เขาจริงๆ ด้วย?!”
ซย่านีกล่าว “…ถ้าเป็คนชื่อซ้ำกันเล่า?”
หลิวอิ๋งชุนดวงตาเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น “ชื่อซ้ำอะไรกันเล่า อะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้! นายจางหวาเฟิงคนนี้ใช่คนที่ตัวเตี้ยๆ หน่อยแล้วก็มีฟันเกๆ ตาตี่เหมือนเม็ดถั่วผิวคล้ำๆ หรือเปล่าล่ะ?”
ซย่านีตอบ “...ใช่”
หลิวอิ๋งชุนตบมือไปหนึ่งที “งั้นก็ใช่เขาแล้วแหล่ะ เ้าจางหวาเฟิงคนนี้ก็มีดีเหมือนกันนี่ เขามาจากชนบทแท้ๆ พอมาถึงเมืองหลวงก็สามารถหางานทำได้รวดเร็วขนาดนี้ไม่รู้ว่าเขาใช้เส้นสายของใครเนอะ”
“เอ๊ะ ไม่ใช่ว่าพ่อของหลี่เสวี่ยหรูเป็คนหางานให้เขาหรอกหรือ? แล้วทำไมพ่อหล่อนไม่หางานที่โรงงานเสื้อผ้าของตัวเองให้ล่ะนั่น แทนที่จะมาหางานที่โรงงานเครื่องจักรของพวกเรา?”
ครั้นหลิวอิ๋งชุนพูดจบเธอก็ส่ายหน้าทันที “ไม่ถูกสิ น่าจะไม่ใช่นะ หลี่เสวี่ยหรูไม่ยอมรับด้วยซ้ำว่าคนๆ นี้คือคนรักเก่าของตน ตระกูลหลี่จะต้องอยากอยู่ให้ห่างจากเขาแน่ๆ ทำไมถึงช่วยเขาหางานด้วยเล่า? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพ่อของหลี่เสวี่ยหรูกำลังจะได้เลื่อนขั้นแบบนี้แล้ว มันมีสายตาตั้งเท่าไหร่ที่คอยจับจ้องอยู่เขาไม่น่าจะยอมใช้เส้นให้ใครหรอก”
ซย่านีหัวเราะเยาะออกมาหนึ่งที ในใจคิดว่า คงไม่ได้เป็เช่นนั้นหรอก
จางหวาเฟิงเป็ใครกัน? มันเป็นักเลงเลยนะ คนประเภทนี้ก็เหมือนกาวตาช้างนี่แหละ พอติดแล้วก็อย่าคิดจะแกะออกเลย
หากหลี่กั๋วกังไม่ยอมเสียเืจะกำจัดเขาออะไรได้อย่างไร? พวกเขาคงทำข้อตกลงกันอย่างลับๆ เป็การส่วนตัวอย่างแน่นอน
แต่หลี่กั๋วกังก็เคลื่อนไหวรวดเร็วใช้ได้ เขาไม่ล่าช้าเลยแม้แต่น้อย เหตุการณ์เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันจางหวาเฟิงก็ได้งานทำแล้ว
พอพูดถึงเื่นี้ขึ้นมาหลี่กั๋วกังก็ถึงกับต้องถอนหายใจ เขาเองก็คิดจะถ่วงเวลาออกไปก่อนแต่ก็ไม่ใช่เพราะถูกจางหวาเฟิงคุกคามหรอกหรือ?
เมื่อสองวันก่อน ่เวลาหกโมงเย็น
หลี่เสวี่ยหรูได้นัดหมายกับจางหวาเฟิงที่โรงแรมจิ่งหวา
โรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่ในกรุงปักกิ่งมีประวัติยาวนานมาหลายร้อยปี มีการตกแต่งอย่างอลังการพร้อมด้วยพ่อครัวฝีมือดี ตอนที่จางหวาเฟิงเข้ามาในโรงแรมแห่งนี้ยังเจอกับชาวต่างชาติหัวทองสองคนอีกด้วย
หลังจากเข้าห้องรับรองจางหวาเฟิงก็เริ่มสั่งอาหาร เขากลับเป็คนอบอุ่นยิ่งนักเลือกสั่งแต่อาหารที่หลี่เสวี่ยหรูชอบกิน เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้วหลี่เสวี่ยหรูก็ไม่โผล่มาสักที ทันใดนั้นคนที่โผล่มาแทนกลับเป็หลี่กั๋วกังพ่อของหลี่เสวี่ยหรู
หลี่กั๋วกังมีใบหน้าเหลี่ยม คิ้วเข้มและตาโต เขาสวมชุดสูทเข้ารูปที่ถูกรีดมาอย่างประณีต มีกลิ่นอายที่ดูน่าเกรงขาม
“เอ๊ะ คุณมาผิดห้องแล้ว” จางหวาเฟิงเงยหน้าขึ้นเห็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งเข้ามาจึงเอ่ยทัก
“ไม่ได้ผิดห้องหรอก” หลี่กั๋วกังดึงเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลง จากนั้นก็เอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ฉันคือพ่อของเสวี่ยหรู”
“อ่า” จางหวาเฟิงตากระตุก จากนั้นเขาก็ยิ้มสดใสขึ้น “คุณลุง สวัสดีครับ ผมชื่อจางหวาเฟิงนะครับ” เขานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะมองไปที่ประตูแล้วถามอย่างระมัดระวังว่า “แล้วเสวี่ยหรูล่ะครับ?”
“คุณไม่ต้องมองหาเธอหรอก วันนี้เสวี่ยหรูไม่ได้มาด้วย” หลี่กั๋วกังเงียบไป แล้วจึงกล่าวต่อ “เป็ฉันที่สั่งให้เสวี่ยหรูนัดคุณมาเอง”
จางหวาเฟิงเริ่มเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นในใจ
“คุณลุง คุณอยากทานอะไรสักหน่อยไหมครับ?” จางหวาเฟิงยิ้มอย่างประจบประแจง “อาหารที่ผมเพิ่งสั่งมาล้วนแต่เป็คนที่เสวี่ยหรูชอบกินทั้งนั้น ผมไม่รู้ว่าคุณลุงชอบทานอะไร” จากนั้นเขาก็พูดอย่างมีนัยยะ “แต่ก่อนตอนที่อยู่หมู่บ้านเค่าซานถุน เสวี่ยหรูเป็เด็กผู้หญิงที่มาจากเมืองหลวงจึงทนความยากลำบากไม่ไหว ดังนั้นผมจึงคิดทุกวิถีทางที่จะซื้อพวกไก่ ปลา หรือเนื้อมาให้เธอทาน ดังนั้นผมจึงรู้ดีว่าเธอชอบกินอะไรและไม่ชอบกินอะไร”
หลี่กั๋วกังหัวเราะในใจ เ้านักเลงนี่สั่งอาหารมาให้เขาเพราะกลัวว่าเขาจะไม่รู้เื่ที่หลี่เสวี่ยหรูไปคลุกคลีกับตัวเองสินะ
“ฉันกับแม่ของเสวี่ยหรูมีเธอเป็ลูกสาวเพียงคนเดียว เสวี่ยหรูน่ะ เอาแต่ใจมากๆ ตอนที่เธอไปชนบทก็ต้องรบกวนพวกคุณที่เป็คนท้องถิ่นมาคอยดูแลเธอ ฉันกับแม่ของเสวี่ยหรูรู้สึกขอบคุณพวกคุณมากจริงๆ” หลี่กั๋วกังยิ้มอย่างสุภาพภายในคำพูดยิ่งแฝงไว้ด้วยความเกรงใจ เป็การเว้นช่องว่างระหว่างพวกเขาทั้งสองคนให้ความสัมพันธ์หยุดไว้เพียงคนแปลกหน้าที่รู้จักกันเท่านั้น “ในเมื่อคุณเดินทางไกลมาถึงที่นี่แล้ว การเดินทางคงไม่ใช่เื่ง่ายๆ ดังนั้นพวกเราจะไม่ปฏิบัติไม่ดีต่อคุณอย่างแน่นอน” เขาหยิบซองจดหมายสีแดงออกมาจากกระเป๋า แล้วกล่าวต่อ “นี่เป็น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ฉันกับแม่ของเสวี่ยหรูเตรียมไว้ให้คุณ”
ซองจดหมายสีแดงซองนั้นพองมาก มองปราดเดียวก็ดูออกว่าบรรจุเงินไว้ไม่น้อย เงินที่จางหวาเฟิงพกติดตัวมาจากบ้านก็ใกล้จะหมดแล้ว พอเห็นเงินก้อนนี้ ดวงตาของเขาเป็ประกายขึ้น
ความโลภที่ปรากฏบนใบหน้าของจางหวาเฟิง ทำให้หลี่กั๋วกังนึกดูแคลนชายผู้นี้มากยิ่งขึ้น ทว่าหากเป็เช่นนี้ก็แสดงว่าชายคนนี้คงกำจัดได้โดยง่าย หลี่กั๋วกังยกยิ้มที่มุมปากเบาๆ ดูเหมือนว่าเขาจะควบคุมทุกอย่างได้แล้ว
จางหวาเฟิงเอื้อมมือออกไปแต่ทันทีที่เขาวางมือลงบนซองเงิน หลี่กั๋วกังก็จับมือเขาไว้ก่อนแล้ว
หลี่กั๋วกังออกแรงจับไม่มากนักแต่ก็ทำให้จางหวาเฟิงดึงมือกลับคืนไม่ได้
จางหวาเฟิงช้อนสายตาขึ้นมองหน้าเขา
หลี่กั๋วกังกล่าวว่า “หลังจากรับเงินก้อนนี้ไปแล้ว ฉันหวังว่าคุณจะกลับชนบทไปพร้อมกับเงินจำนวนนี้โดยเร็วที่สุด...อย่างไรเสียคุณก็ออกจากบ้านมานานขนาดนี้ คนที่บ้านจะต้องเป็กังวลมากแน่ๆ”
จางหวาเฟิงกระตุกยิ้ม
หลี่กั๋วกังยังคงกล่าวต่อ “เมื่อคุณกลับบ้านเกิดไปแล้ว คุณก็เอาเงินก้อนนี้ไปตบแต่งภรรยาเถอะแล้วให้เธอกำเนิดลูกชายตัวอ้วนจ้ำม่ำสักคน มีทั้งภรรยาและลูกอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาในบ้านที่อบอุ่นเท่านี้ชีวิตก็เหมือนขึ้น์แล้วล่ะ”
จางหวาเฟิงหัวเราะเยาะหนึ่งที ชายตรงหน้าคนนี้คิดจะไล่เขากลับบ้านนอก แล้วถีบหัวส่งเขาสินะ คิดว่าคนอย่างจางหวาเฟิงจะถูกรังแกได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?
“คุณลุง คุณมาที่นี่เพื่อจะทำลายนกยวนยาง[1] งั้นหรือครับ?” จางหวาเฟิงเอนกายลงบนเก้าอี้พลางนั่งไขว้ขาดูราวกับคุณชายแล้วกล่าวว่า “เสวี่ยหรูล่ะครับ เธอรู้เื่นี้ไหม? ให้เสวี่ยหรูมาคุยกับผมหน่อย”
“เสวี่ยหรูไม่มาหรอก” หลี่กั๋วกังขมวดคิ้วกับความไม่รู้ของจางหวาเฟิง “เสวี่ยหรูเองก็้าแบบเดียวกันนั่นแหละ”
[1] นกยวนยาง 鸳鸯 คือ นกเป็ดน้ำแมนดาริน เนื่องจากชาวจีนเชื่อว่านกยวนยาง เป็นกที่มีคู่เพียงตัวเดียวดังนั้น “นกยวนยาง” จึงเป็สัญลักษณ์ของความรักเดียวใจเดียว เปรียบเสมือนกับสามีภรรยาที่มีคู่ชีวิตเพียงคนเดียวและรักกันไปจนตาย
