ก่อนครบสามวัน โจรบางส่วนไม่อาจทนความหวาดกลัวในใจได้อีกจึงหาทางหลบหนีลงจากเขา พวกมันล้วนเป็โจรที่เห็นการต่อสู้ระหว่างไป๋หยุนเฟยกับเซียวเฉินด้วยตาตนเอง
เมื่อสิบสองคนแรกอาศัยความมืดลอบเร้นออกจากค่าย พวกมันก็ถูกพบเห็นและคร่ากุมกลับมา หานเซียวสั่งให้ฆ่าพวกมันทั้งหมดฐานทรยศต่อค่ายทันที
การลงมืออันโเี้นี้ยับยั้งไม่ให้พวกโจรที่ถูกความหวาดกลัวต่อไป๋หยุนเฟยครอบงำกล้าหลบหนีอีก แต่ความตื่นตระหนกภายในค่ายกลับไม่ลดลงแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เนื่องเพราะบ่มเพาะมาหลายวันจึงยิ่งมายิ่งพอกพูน
ผ่านไปสามวัน นี่เป็‘วันนัด’ของไป๋หยุนเฟย พวกโจรเกือบทั้งหมดในค่ายกลับไม่ได้นอนหลับทั้งคืน ยามนี้กระทั่งเดินเหินแต่ละก้าวพวกมันก็หันมองรอบกายหลายคราด้วยความหวาดระแวง เกรงว่าศัตรูจะโหมจู่โจมเข้ามาสังหารพวกมัน
แต่ทว่า... ไป๋หยุนเฟยกลับไม่ได้มาตามนัด
หลังจากหลายวันที่เฝ้าระวังและเตรียมพร้อม ทุกคนก็สำนึกได้ว่านี่เป็ศัตรูเจตนาหลอกลวง พวกมันอดถอนหายใจโล่งอกไม่ได้ กระนั้นเมื่อถึงวันที่ห้า พวกมันยังไม่ทันลดการป้องกันทั้งหมดลง ไป๋หยุนเฟยกับหลี่เฉิงเฟิงก็เข่นฆ่าขึ้นภูไม้ดำมาอีกครา!
มันทั้งคู่จู่โจมใส่กลุ่มโจรสองกลุ่มที่ลาดตระเวนอยู่ จากนั้นรีบหลบหนีทันทีที่เห็นหัวหน้ากับรองหัวหน้าค่ายปรากฏกาย!
สามวันจากนั้น พวกโจรในค่ายไม้ดำล้วนอยู่อย่างหวาดผวา เพราะศัตรูอาจบุกเข้ามาได้ทุกเมื่อ และแทนที่จะบุกเข้าจู่โจมค่ายพวกมันกลับมุ่งสังหารหน่วยลาดตระเวนใกล้เชิงเขาแล้วล่าถอย คราหนึ่งหัวหน้าและรองหัวหน้านำกำลังเฝ้ารออยู่ทั้งวันที่ปากทางขึ้นเขา กลับไม่มีเหตุร้ายใดเกิดขึ้น แต่ทันทีที่พวกมันกลับเข้าค่ายศัตรูก็ออกมา...
มิคาด กว่าหานเซียวกับหยางเทียนจะรู้สึกตัว ก็เหลือสมุนหลงเหลืออยู่ในค่ายไม่ถึงสองร้อยคน
ภายในโถงใหญ่ของค่าย หยางเทียนเห็นเศษโต๊ะเก้าอี้ที่ถูกหานเซียวทำลายยามโกรธแค้นกระจัดกระจายทั่วพื้น จึงกล่าวอย่างเชื่องช้า “ท่านหัวหน้า หากเป็เช่นนี้ต่อไป เราต้องรอวันตายอยู่บนค่ายเป็แน่ ข้าเห็นว่าเราสองคนสมควรเสี่ยงอันตรายออกไปสืบข่าว...”
“โอ? เ้าหมายความว่าอย่างไร?” หานเซียวเอ่ยปากถามหลังจากข่มกลั้นโทสะลงได้
“ศัตรูมั่นใจว่าพวกเราไม่กล้าลงเขาไปตอบโต้จึงใช้แผน‘บั่นทอนกำลัง’ สุดท้ายเมื่อค่ายเราอ่อนแอถึงขีดสุดอีกทั้งสิ้นกำลังจะต่อสู้ พวกมันจะขึ้นเขามาบุกจู่โจมเพื่อล้มล้างค่ายไม้ดำในคราเดียว มาถึงขั้นนี้แล้วต่อให้พวกเรายกกำลังลงเขาไปก็ต้องตกหลุมพรางศัตรู ฉะนั้นท่านกับข้าสมควรลงเขาไปสอดแนมเพียงสองคน”
หยางเทียนหยุดยั้งชั่วครู่จึงกล่าวต่อ “ด้วยฝีมือของเราสอง ตราบที่เราไม่ประมาทต่อให้ถูกศัตรูซุ่มโจมตีก็ยังล่าถอยได้ หากเราไปอย่างน้อยยังพอได้ทราบสถานการณ์เพื่อตัดสินใจว่าจะต่อสู้พวกมันอย่างไร”
ยามนี้จิตใจหานเซียวปั่นป่วนยุ่งเหยิงยิ่ง มันครุ่นคิดครู่ใหญ่จึงพยักหน้ากล่าว “ตกลง! ทำตามเ้าว่าเถอะ พวกเราจะลงเขาเมื่อใด?”
หยางเทียนสังเกตสีสันท้องฟ้าจึงกล่าว “ยามนี้มืดค่ำแล้ว พวกเราจะลงเขาไปสอดแนมหลังยามสี่!”
เมื่อหยางเทียนเดินออกมาจากโถงใหญ่ก็มีท่าทางท้อแท้กังกล อันที่จริงหากไม่จำเป็มันก็ไม่้าจะลงเขาไปสอดแนม ที่มันบอกว่าหากไม่ประมาทยังล่าถอยได้ล้วนเพื่อปลอบขวัญหัวหน้าค่ายเท่านั้น ไม่เช่นนั้นมันคงดำเนินการเช่นนี้แต่แรก แต่ยามนี้มันไม่มีทางเลือกได้แต่ลงเขาไป กระนั้นยามที่นึกถึงทวนสีแดงฉานนั้นจิตใจมันก็สั่นสะท้าน หากถูกลอบจู่โจมมันจะป้องกันไว้ได้หรือไม่...
… … … …
ที่เชิงเขาไป๋หยุนเฟยและหลี่เฉิงเฟิงอาศัยความมืดลอบมุ่งหน้าขึ้นเขาช้าๆ
“ดำเนินการตามแผน คืนนี้พวกเราจะทำลายล้างค่ายไม้ดำให้สิ้นซาก!”
หลังจากฝึกฝนมาหลายวันในที่สุดไป๋หยุนเฟยและหลี่เฉิงเฟิงก็บรรลุระดับกลางด่านปัจเจกิญญาและระดับปลายด่านนวกะิญญาตามลำดับ ฉะนั้นจึงเริ่มดำเนินการตามแผน พวกมันหารือรายละเอียดและตัดสินใจทุ่มกำลังบุกจู่โจมค่ายโจรในคืนนี้
แน่นอนว่าการเข่นฆ่าเปิดทางขึ้นเขาไปนั้นย่อมไม่อาจทำได้ แม้ว่าไป๋หยุนเฟยจะเข้มแข็งพอจะรับมือรองหัวหน้าได้ แต่หากหัวหน้าค่ายผู้บรรลุด่านวีรชนิญญาระดับกลางเข้าร่วมการต่อสู้ ต่อให้ไป๋หยุนเฟยและหลี่เฉิงเฟิงร่วมมือกันยังไม่อาจเอาชัยได้ อย่าว่าแต่ยังมีพวกโจรธรรมดาอีกนับร้อย
ดังนั้นพวกมันตัดสินใจให้ไป๋หยุนเฟยลอบเข้าสู่ค่ายและหาโอกาสสังหารรองหัวหน้า หากทำสำเร็จ คืนนี้พวกมันจะทำลายล้างค่ายไม้ดำได้อย่างสิ้นซากแน่นอน!
ต้องขอบคุณแผนลอบจู่โจมที่พวกมันใช้ใน่หลายวันมานี้ที่ทำให้คุ้นเคยกับเส้นทางไม่น้อย รวมกับข่าวสารที่สอบปากคำมาได้ก่อนหน้า ไป๋หยุนเฟยจึงมองเห็นภาพรวมของทั้งภูไม้ดำ
ยามนี้เวรยามที่ออกลาดตระเวนนับว่าหลวมคลายกว่าเดิมไม่น้อย ไป๋หยุนเฟยอาศัยความคล่องแคล่วและการหลบซ่อนลักลอบเข้าสู่ค่ายโดยไม่ถูกผู้ใดพบเห็น
แม้จะมีแผนผังภายในค่ายโจรอยู่ในใจ แต่เมื่อเข้ามาแล้วมันกลับรู้สึกว่าใหญ่โตกว่าที่คิดอยู่บ้าง หลังจากไป๋หยุนเฟยต้องใช้ความระมัดระวังหลบเลี่ยงเวรยามที่ลาดตระเวนเข้าออกอยู่ชั่วครู่ มันก็เริ่มสับสนและจำเส้นทางไม่ได้
มันจึงไม่มีทางเลือกต้องหาทางคร่ากุมโจรสักคนมาเค้นถามเส้นทางไปยังที่พักของรองหัวหน้าค่าย
ยามที่ไปหยุนเฟยมาถึงด้านข้างห้องหลังหนึ่ง ก็ได้กลิ่นอาหารลอยมาจากด้านใน ที่นี่ย่อมต้องเป็ห้องครัว อีกทั้งภายในยังมีเสียงเคลื่อนไหวแว่วออกมา
“นี่เป็ยามวิกาลแล้ว โจรส่วนใหญ่ล้วนพักผ่อน หรือจะมีคนเกิดหิวโหยจึงมาที่นี่หาอาหารรับประทาน? นับว่าเหมาะเจาะ ข้าเลือกเ้า!”
หลังจากเหลียวมองรอบข้างไป๋หยุนเฟยก็ผลักเปิดประตูที่ไม่ได้ลงกลอนอย่างระมัดระวัง มันรีบเข้าห้องพุ่งเข้าไปด้านหลังคนที่อยู่ในห้องแล้วใช้มือซ้ายปิดปากเป้าหมาย จากนั้นยกมือขวาขึ้นหนามธารน้ำแข็งก็ปรากฏในมือ แล้วจ่อไปยังลำคอคนผู้นั้นพร้อมตวาดเสียงค่อย “อย่าส่งเสียง! ไม่เช่นนั้นจะฆ่าเ้าเดี๋ยวนี้!”
เพราะถูกคร่ากุมกะทันหันคนผู้นั้นส่งเสียงอู้อี้ตามสัญชาติญาณ กระนั้นหลังจากได้ยินคำพูดไป๋หยุนเฟยก็หยุดส่งเสียงตามคำสั่ง แต่ยังร่างยังคงสั่นระริกไม่หยุด
“โอ?” ขอบคุณแสงสลัวจากดวงจันทร์ด้านนอกที่ทำให้ไป๋หยุนเฟยเห็นชัดตา มิคาดเป้าหมายกลับเป็สตรี!
หรือจะเป็โจรสตรี?
ไป๋หยุนเฟยงงงันวูบ แต่จากนั้นก็กล่าวข่มขู่ “ข้าจะปล่อยเ้า อย่าได้ร่ำร้อง! ไม่เช่นนั้นจะฆ่าเ้าเช่นเดียวกับฆ่าโจรคนอื่น”
สตรีนั้นสั่นระริกด้วยความกลัว แต่หลังจากได้ยินคำพูดไป๋หยุนเฟย หลังจากนางงงงันวูบมิคาดกลับมีท่าทีผ่อนคลาย นางไม่ได้แสดงท่าทีขัดขืนทั้งยังพยักหน้าเล็กน้อย
ไป๋หยุนเฟยคลายมือซ้ายจากปากนางช้าๆ แต่หนามธารน้ำแข็งในมือขวายังจ่อที่ลำคอ หากนางกล้าะโขอความช่วยเหลือมันจะลงมือฆ่าทันที
สตรีนางนั้นหอบหายใจเบาๆกล่าวเสียงค่อย “ท่าน... ท่านคือผู้ที่คิดจะทำลายค่ายโจรแห่งนี้? ท่าน... ท่านมาเพื่อช่วยเหลือพวกเรา?”
“โอ?” ไป๋หยุนเฟยนิ่งงันไป นางหมายถึงอันใด? เมื่อเห็นสตรีนางนี้ไม่มีทีท่าจะะโขอความช่วยเหลือ มันจึงลดหนามธารน้ำแข็งลงเล็กน้อยจากนั้นถอยหลังไปครึ่งก้าว ยามนี้มันจึงเห็นสตรีเบื้องหน้าชัดตา
นี่เป็หญิงธรรมดาวัยกลางคนสวมใส่เสื้อผ้ามอมแมม นางจับจ้องไป๋หยุนเฟยด้วยแววตาเปี่ยมความหวัง ไม่ว่ามองอย่างไรนางก็เป็สตรีสัตย์ซื่อที่พบเห็นได้ในหมู่บ้านทั่วไปมากกว่าจะเป็โจร
“เ้าไม่ได้เป็โจร? เ้าเป็ใคร?” ไป๋หยุนเฟยถามเสียงค่อย
“ข้า... ข้ามาจากหมู่บ้านเฉิงทางตะวันตกห่างจากภูไม้ดำไปสองร้อยลี้ ปีก่อนพวกโจรคร่ากุมข้ามาที่ค่ายนี้ให้ซักผ้าทำอาหารแก่พวกมัน นอกจากข้าแล้วยังมีผู้คนถูกขังไว้ในค่ายอีกมากมาย ยังดีที่ผู้สูงอายุเช่นข้าเพียงถูกใช้งานหนักและทำอาหาร แต่ทว่า... เหล่าหญิงสาวอายุเยาว์ไม่เพียงถูกบังคับใช้งาน พวกนางยังต้องทนถูกย่ำยี... วิงวอนท่าน ได้โปรดช่วยเหลือพวกนาง!” หญิงวัยกลางคนอ้อนวอนเสียงค่อยราวกับคว้าจับฟางเส้นสุดท้ายได้
มิคาดยังมีสตรีมากมายที่ถูกคร่ากุมมาอยู่ภายในค่าย!
