หลัวจิ่งตีใบหน้าขรึมดุ “เ้าไม่รักไม่หวงแหนร่างกายของตัวเองสักหน่อยหรือ อากาศเย็นเพียงนี้ สวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นก็กล้าวิ่งออกไปข้างนอกแล้ว”
“เอ่อ ข้าแค่อยากถามเ้าไม่กี่ประโยคเท่านั้น ไม่ได้คิดจะอยู่ข้างนอกนานเสียหน่อย”
นางหัวเราะขึ้น พร้อมกับปัดเส้นผมที่กระจายอยู่ไปด้านหลัง
นางกำลังคิดจะขึ้นไปนอนบนเตียงอิฐ จึงปล่อยผมยาวสยายอยู่บนบ่าอย่างสบายๆ
พวงแก้มขาวอมชมพูถูกผมยาวสลวยดกดำปกคลุมไปครึ่งหนึ่ง แตกต่างจากรูปลักษณ์ที่งดงามสวยสง่าในเวลากลางวัน กลับมีเสน่ห์สวยน่ารักเพิ่มขึ้นไปโดยปริยาย
หลัวจิ่งดวงตามืดสลัวลงเล็กน้อย เขายื่นฝ่ามือออกไป เรียวนิ้วสอดเข้ากลุ่มผมสีดำนุ่มสลวยและลูบต้นคอของนาง
“อ๊ะ!” เจินจูรู้สึกได้ถึงความเย็นที่ััลงบนคอ จึงเอนหลบไปข้างหน้าทันที
มือใหญ่อีกหนึ่งข้างประคองเอวบางไว้อย่างนุ่มนวล ทั้งตัวนางจมเข้าสู่อ้อมอกของเขา
ใบหน้าของเจินจูมีสีแดงเืฝาดจางๆ นางเงยหน้าขึ้นคิดจะตำหนิเขา แต่คาดไม่ถึงเลยว่าจะเป็ไปดังที่ใจเขาปรารถนาพอดี
ริมฝีปากเย็นประทับลงบนริมฝีปากอ่อนนุ่มอมชมพูของนาง หลัวจิ่งครางอยู่ในลำคอเบาๆ ด้วยความพึงพอใจทีหนึ่ง ์รู้... ว่าเขาโหยหารสจูบของนางมากเพียงใด ความรู้สึกหวานชื่นแทรกซึมเข้าสู่หัวใจ จนทำให้เขาถลำลึกลงไปไม่อยากฟื้นสติคืนกลับมา
แก้มคนตัวเล็กแดงลุกลามขึ้น ขนตาแพยาวของชายหนุ่มขยับกะพริบแ่เบา ในดวงตาสีเข้มลุ่มลึกราวกับมีเปลวไฟกำลังลุกโชน หัวใจนางััได้ทันที ทันใดนั้นก็มีความรู้สึกวาบหวาม และมึนงงเหมือนมีเข็มทิ่มแปลบปลาบไปทั่วกาย ทั้งยังอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรงในคราวเดียวกันขึ้นชั่วพริบตา
หลัวจิ่งเห็นดวงตาคู่งามของนางปิดลงครึ่งหนึ่ง ราวกับถูกย้อมด้วยหมอกหนาทึบ ขมุกขมัว งดงามมากขึ้นเป็พิเศษ เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป ใช้ลิ้นดันริมฝีปากรูปผลอิงเถาของนางให้เผยอออก เกี่ยวกระหวัดลิ้นอ่อนนุ่ม รุกล้ำริมฝีปากของนาง
เจินจูถูกความอ้อยอิ่งลุ่มหลงแทะเล็มริมฝีปากจนหายใจไม่ทั่วท้องเล็กน้อย รู้สึกเพียงศีรษะมีอุณหภูมิสูงขึ้นจนสติลางเลือนไปหมด นางคิดจะดันเขาออกแต่แขนกลับวางพาดอยู่บนหน้าอกของเขาอย่างไร้เรี่ยวแรง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ขณะที่เจินจูรู้สึกว่าตัวเองจวนจะขาดอากาศหายใจ ในที่สุดหลัวจิ่งก็ละออกจากริมฝีปากนาง
ชั่วขณะหนึ่ง ภายในห้องมีเพียงเสียงหอบหายใจกระชั้นเล็กน้อยของทั้งสองคน
เจินจูได้สติขึ้นทันที จึงเงยหน้าขึ้นพร้อมกับถลึงตาค้อนขวับใส่เขา คนผู้นี้นับวันหนังหน้ายิ่งหนาขึ้นนัก
ทว่านางกลับไม่รู้เลยว่าใบหน้ากระเง้ากระงอดสีแดงเรื่อไปทั่วของนาง ในสายตาของเขา... ช่างเป็การท้าทายความอดทนยิ่งนัก
เขาประคองแก้มนางขึ้นและ ’จุ๊บ’ หนึ่งที ฉกฉวยโอกาสลงไปบนริมฝีปากแดงนุ่มน่ามองอย่างฉับไว หลังจากนั้นกอดนางเข้าในอ้อมอก
เจินจูถูกการกระทำที่แสนจะกะทันหันของเขา ทำให้ขัดเขินเสียจนหน้าเป็สีแดงเข้มอีกครั้ง
นางซุกตัวอยู่ในอ้อมอกของเขาไม่กล้าขยับตัว
ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเจินจูสงบจิตใจลงได้จึงทุบไปที่หน้าอกของเขา
“ปล่อยข้าเลย”
หลัวจิ่งได้ยินดังนั้น จึงปล่อยแขนที่โอบนางไว้อย่างอาลัยอาวรณ์
เจินจูถอยหลังไปอย่างรวดเร็วสองสามก้าว อ้อมไปจนอยู่ด้านหลังของโต๊ะ แม้ความแดงที่พวยพุ่งขึ้นบนใบหน้าจะลดเลือนลงไปแล้ว แต่นางยังคงรู้สึกร้อนวูบวาบอยู่มาก
“เ้านั่งอยู่ฝั่งนั้น ห้ามขยับมาอีก”
นางกล่าวอย่างขุ่นเคือง
ั์ตาหลัวจิ่งปรากฏแววขบขัน ท่าทางขุ่นเคืองของนางช่างน่ารักเกินไปจริงๆ ทำให้เขาแทบอยากจะดึงนางเข้ามาย่ำยีอยู่ในอ้อมอกใหม่อีกสักรอบ แต่วันนี้เขาทำให้นางโมโหมากไปแล้ว ตอนนี้เชื่อฟังนางสักหน่อยจะดีกว่า
จนกระทั่งเขานั่งลงประจำที่ เจินจูถึงได้นั่งลงตาม ถูกเขาก่อกวนไปรอบหนึ่ง เกือบลืมคำที่ถามเขาไปเลย
“ถามเ้าอยู่นะ ทำไมถึงกลับมาค่ำป่านนี้?”
หลัวจิ่งคิดถึงเื่เมื่อพลบค่ำขึ้นได้ เขาถือโอกาสเทน้ำชาที่ไร้ความอุ่นร้อนในกาบนโต๊ะใส่ถ้วย และดื่มไปหนึ่งอึก
“อ๊ะ ชานั้นยกมาั้แ่หลังทานอาหาร มันเย็นเฉียบหมดแล้ว เ้ายังจะดื่มลงไปอีก รอเดี๋ยวข้าจะให้เสี่ยวเอ้อชงมาให้เ้าใหม่”
ขณะกล่าวนางก็คิดจะหยัดกายลุกขึ้นยืน
“เจินจู ไม่ต้องแล้ว” หลัวจิ่งรีบรั้งนางไว้ “ข้าแค่อยากดื่มชาเย็นๆ สงบสติสักหน่อย”
เจินจูชะงักกึก ชำเลืองมองเขาหนึ่งที คิดถึงจูบร้อนแผดเผาของเขาเมื่อสักครู่ขึ้น ความร้อนผ่าวตีขึ้นมาบนใบหน้าอย่างฉับพลัน เ้าหมอนี่... หนาวตายไปเลยเถอะ
ที่จริงหลัวจิ่งกลับมาถึงโรงเตี๊ยมั้แ่หัวค่ำ แต่พอเพิ่งลงจากหลังม้าก็ถูกเจิ้นกั๋วกงเรียกตัวไปทันที
เขานึกถึงการสนทนาของพวกเขาได้ จึงแสดงออกอย่างจริงจังและระมัดระวังขึ้น
“ตอนพลบค่ำ ข้าไปจวนเจิ้นกั๋วกงมารอบหนึ่ง”
เจินจูได้ยินเช่นนั้นจึงเกิดความสนใจขึ้น “เซียวจวิ้นอยากพบเ้า?”
“ไม่ใช่ เป็นายท่านเจิ้นกั๋วกงเรียกพบข้า”
หลัวจิ่งเงียบไปพักหนึ่ง เขาเชื่อครึ่งสงสัยครึ่งกับแผนการของนาง รู้สึกว่าเื่คงไม่ราบรื่นเพียงนั้นอยู่ตลอด แต่ความสำเร็จขึ้นอยู่ที่คน พวกเขาล้วนมาถึงเมืองหลวงแล้ว หากไม่ต่อสู้อย่างสุดชีวิตไปสักครั้งแล้วผู้ใดจะรู้ผลสุดท้ายได้ ดังนั้นเขาจึงกล่าวเื่ราวคร่าวๆ ให้นางฟังหนึ่งรอบ
“โอ๊ะ นี่เ้าจะบอกว่านายท่านกั๋วกงทราบสถานที่พักระหว่างเดินทางขององค์ไท่จื่องั้นหรือ?” เจินจูตื่นเต้นเป็อย่างมาก
“ไม่ใช่ ความหมายของนายท่านกั๋วกงคือ เวลาที่องค์ไท่จื่ออารมณ์ไม่ดี เขาชอบไปสถานที่แห่งหนึ่งของซื่อจื่อเฉิงเอินโหวเพื่อชมการต่อสู้ของสัตว์ สิบวันถึงครึ่งเดือนมักวิ่งไปที่นั่นอยู่หนึ่งรอบ ขอแค่พวกเราจับจ้องอยู่ที่พักแห่งนั้นก็จะพบร่องรอยในการเดินทางขององค์ไท่จื่อได้ไม่ยาก” หลัวจิ่งกล่าวด้วยความกลัดกลุ้ม ข่าวนี้เป็การแลกมาด้วยหญ้าสงบจิติญญาไม่กี่ต้นในกระเป๋าใบเล็กนั่นของเขา ตาเฒ่าเซียวฉิงสารพัดพิษผู้นั้นเกิดความคิดหมายปองสิ่งนี้ไว้แต่แรกแล้ว
“การต่อสู้ของสัตว์?”
“อื้ม พวกเขาจะจับสัตว์ป่าที่ดุร้ายมาจากในูเาลึกและมาขังไว้ ปล่อยให้หิวอยู่สองสามมื้อ จากนั้นจะปล่อยลงสนามให้พวกมันต่อสู้เข่นฆ่ากันบนเวที ดูว่าตัวไหนจะมีชีวิตรอดมาได้ บางครั้งก็เป็การต่อสู้กันระหว่างคนกับสัตว์ป่าอีกด้วย”
กระแสความนิยมการต่อสู้สัตว์ของราชวงศ์ในอดีตเฟื่องฟูอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็ลูกหลานขุนนางหรือทายาทตระกูลสูงศักดิ์ล้วนชอบมาประสมโรงอยู่ด้วยกัน พากันทุ่มกำลังเดิมพัน ั้แ่หานเซียงขึ้นครองราชย์ เขามีจิตใจเมตตาโอบอ้อมอารี ไม่ชอบชมฉากเข่นฆ่าอย่างโหดร้ายทารุณ เมื่อผู้บังคับบัญชาเป็อย่างไรผู้ใต้บังคับบัญชาก็เป็อย่างนั้น เมื่อฮ่องเต้ไม่ชื่นชอบ ขุนนางใต้บังคับบัญชาย่อมมีสายตาแยกแยะได้ ชั่วขณะหนึ่งความนิยมการต่อสู้สัตว์จึงหายสาบสูญไปอย่างรวดเร็ว
ตัวองค์ไท่จื่อเองก็ไม่กล้าเปิดสนามต่อสู้สัตว์อย่างเปิดเผยนัก แต่ไหนแต่ไรมาซื่อจื่อเฉิงเอินโหวศึกษาจิตใจองค์ไท่จื่อมาได้อย่างละเอียดที่สุด จึงสร้างสถานที่อันเป็คฤหาสน์ร้อยสัตว์ป่าขึ้นมาเพื่อองค์ไท่จื่อโดยเฉพาะ
คฤหาสน์ใหญ่โตอย่างมาก ด้านในรวบรวมสัตว์ป่าไว้หลายประเภท ไม่ใช่มีเพียงสัตว์ป่าดุร้ายอย่าง เสือ สิงโต เสือดาวเท่านั้น แต่ยังมีสัตว์สำหรับชื่นชมอย่าง นกยูง อินทรี อีแร้ง ลิงและอื่นๆ รวมอยู่ด้วย
คุณชายคุณหนูในครอบครัวขุนนางที่มีตำแหน่งสูงมีอำนาจมากจำนวนไม่น้อย ต่างชื่นชอบไปเที่ยวเล่นที่คฤหาสน์แห่งนั้น ซื่อจื่อเฉิงเอินโหวมักจัดงานเลี้ยงรื่นเริงทุกสิ่งอย่างที่คฤหาสน์เสมอ คฤหาสน์ร้อยสัตว์จึงค่อนข้างมีชื่อเสียงอยู่ที่เมืองหลวงอย่างมาก
ซื่อจื่อเฉิงเอินโหวใช้สัตว์ธรรมดามาอำพรางการมีอยู่ของสนามต่อสู้สัตว์ เลี่ยงข้อห้ามของฮ่องเต้อย่างชาญฉลาดยิ่งนัก
ไม่แปลกใจเลยที่ครั้งก่อนจางเฉิงหย่วนผู้นั้นคิดจะจับเสี่ยวจิน ดูท่าแล้วน่าจะอยากแอบถวายให้องค์ไท่จื่อเป็ของเล่นสินะ เหอะ เจินจูฟังคำพูดของหลัวจิ่งจบ สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมา
“ข้าได้จัดวางกำลังคนให้คอยจับตาดูที่นั่นไว้แล้ว คอยดูว่า่นี้เขาได้ไปที่นั่นหรือไม่”
เมื่อหลัวจิ่งออกจากจวนเจิ้นกั๋วกงก็ให้หลัวสือซานไปจัดการทันที องค์ไท่จื่อถูกลงโทษด้วยการสั่งห้ามออกมาข้างนอก คงไม่มีทางไปคฤหาสน์อย่างโจ่งแจ้งได้แน่ แต่การแอบไปก็ไม่แน่นัก
เจินจูพยักหน้า เช่นนั้นนางต้องไปสำรวจล่วงหน้า เตรียมพร้อมไว้ให้ดีเสียหน่อย
“นายท่านกั๋วกงยังกล่าวไว้อีกว่า น้องสาวญาติสนิทของซื่อจื่อเฉิงเอินโหวจะฉลองวันเกิดในอีกสามวันให้หลังนี้ และจะจัดงานเลี้ยงอยู่ภายในคฤหาสน์ร้อยสัตว์ด้วย ถึงเวลานั้นสตรีในครอบครัวขุนนางมากกว่าครึ่งทั่วทั้งเมืองหลวงจะไปแสดงความยินดีกับน้องสาวผู้นั้นทั้งสิ้น”
เจินจูใจเต้นแรงขึ้น นี่เป็โอกาสที่ดีเลยนี่ หากมีเส้นสายสามารถเข้าไปสำรวจสักรอบได้ก็คงจะดี
แต่จะปะปนเข้าไปอย่างเปิดเผยได้อย่างไร?
ดวงตาของนางกลอกวนไปมาราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ หัวคิ้วหลัวจิ่งบีบเข้าหากันจนจะกลายเป็ปมเชือก
“เ้าห้ามคิดอะไรขึ้นเชียว การป้องกันของคฤหาสน์นั่นเข้มงวดนัก ไม่ใช่แม่นางตัวน้อยเช่นเ้าจะปะปนเข้าไปได้” เขากล่าวเตือนนางเสียงหนักแน่น เด็กสาวตรงหน้าเขาบางครั้งจะทำเื่อะไรขึ้นแล้ว ก็ใช้หลักเหตุผลทั่วไปนำมาปฏิบัติไม่ได้จริงๆ
เจินจูเหล่มองเขาด้วยหางตาพลางยิ้มแป้น “ข้าไม่ได้โง่เสียหน่อย อย่างข้าจะแอบปะปนเข้าไปได้ที่ไหนกันล่ะ”
นางไม่ต้องแอบปะปนเข้าไปหรอก นางจะเดินเข้าไปอย่างเปิดเผยเลยล่ะ
...ความเร็วในการมาถึงของโหยวอวี่เวยรวดเร็วอย่างมาก
พอนางเห็นเจินจูก็โผเข้ามาด้วยความดีใจทันที
“ฮ่าๆ ให้เ้ามาเมืองหลวงพร้อมกันกับข้า เ้าก็ไม่มา รอข้ากลับมาแล้วเ้าถึงวิ่งมา เ้าอยากทำให้ข้าแปลกใจใช่หรือไม่!”
“…”
หากไม่ใช่ถูกบีบบังคับให้หมดทางเลี่ยง นางก็ไม่อยากสร้างความแปลกใจนี้ให้นางหรอก เจินจูแอบบ่นในใจ
“ข้ามาเพราะมีธุระ ไม่ใช่มาเล่นเสียหน่อย”
เจินจูแกะมือสองข้างที่เกาะอย่างกระตือรือร้นของนางออกและยิ้มขึ้น
“อ้าว มีเื่อะไรหรือ? เ้า้าความช่วยเหลือหรือไม่?” โหยวอวี่เวยประคองแขนของนางไว้และรีบถามทันที
เจินจูรู้สึกอบอุ่นขึ้นในใจ แม้รู้จักนางมาเป็เวลานาน แต่เวลาที่สองคนอยู่ร่วมกันจริงๆ มีน้อยมาก นางกลับคิดอยากช่วยเหลืออย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว ช่างทำให้นางซาบซึ้งใจมากจริงๆ
“อื้ม ขอบคุณยิ่งนัก ตอนนี้ยังไม่มีเื่ใหญ่อะไร” เื่ที่องค์ไท่จื่อส่งคนมาจู่โจมสกุลหู เจินจูไม่คิดจะบอกกับนางแน่ นางเป็คุณหนูที่เลี้ยงอยู่ในห้องหับผู้หนึ่ง หากรู้เื่นี้เข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ อีกอย่างนิสัยของนางเถรตรงไม่รู้จักปิดบัง ไม่แน่ว่าอาจได้รับการพัวพันเข้ามาเพราะเหตุนี้ก็เป็ได้
สองคนเข้ามาภายในห้อง โหยวอวี่เวยเหลือบเห็นเสี่ยวเฮยที่นอนส่งเสียงหายใจเบาๆ ด้วยความสบายใจอยู่บนเตียงอิฐ
ดวงตาของนางเป็ประกายขึ้นทันที “ว้าว เ้าพาเสี่ยวเฮยมาด้วยหรือนี่”
นางวิ่งไปถึงขอบเตียง คิดจะลูบมันด้วยความตื่นเต้นดีใจ
ดวงตาของเสี่ยวเฮยตวัดขวับมาทันที ลูกตาสีเขียวแวววาวจ้องนางเขม็ง
“อ๊ะ พี่สาวสกุลโหยว เสี่ยวเฮยอารมณ์ร้ายนัก ท่านระวังหน่อยนะ”
เจินจูยังกลัวว่าบรรพบุรุษหน้าขนตัวน้อยนี่จะข่วนคนเข้าจริงๆ
โชคดีที่เสี่ยวเฮยมองนางอยู่สองสามหน แล้วพลิกกายกลับไปนอนต่อ
โหยวอวี่เวยคิ้วลู่ลง เหตุใดเสี่ยวเฮยเ็าเช่นนี้นะ นางชื่นชอบมันอย่างมาก ทำไมมันไม่เหมือนเล่อเล่อที่เข้ากับคนได้ดีกัน เฮ้อ!
จื่อยู่ตามอยู่ด้านหลังของนาง ผ่อนลมหายใจออกหนึ่งเฮือก หากคุณหนูถูกแมวข่วนเข้า กลับไปนางต้องได้รับการลงโทษจากฮูหยินแน่
ผิงอันเข้ามาทักทายกับโหยวอวี่เวย และกลับไปที่ห้องของตัวเองตามเดิม เด็กชายที่ค่อนข้างโตก็เริ่มเข้าใจที่จะหลีกเลี่ยงคำครหาระหว่างชายหญิงแล้ว
โหยวอวี่เวยไล่จื่อยู่ไปยกน้ำชา หลังจากนั้นนางพุ่งเข้าไปหาเจินจูพร้อมกะพริบตาปริบๆ ถามเสียงเบา “พวกเ้ามาถึงเมื่อไร? พี่ห้าทราบหรือไม่ว่าเ้ามาเมืองหลวง?”
เจินจูหัวเราะขึ้นเบาๆ ตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ “เขาต้องทราบสิ เ้าของร้านหลิวเขียนจดหมายไปให้เขา เพราะข้ายืมผู้คุ้มกันมาจากเ้าของร้านหลิว เพื่อมาคุ้มครองการเดินทางนี้โดยเฉพาะน่ะ”
กลัวว่านางจะเกิดความเข้าใจผิด เจินจูจึงกล่าวต่อ “อืม พวกข้ากะจะอยู่ที่เมืองหลวงประมาณสิบวัน เดี๋ยวก็เตรียมกลับแล้ว”
“รีบเพียงนี้เลย? มีโอกาสน้อยยิ่งนักกว่าจะได้มาสักรอบ ไม่อยู่ให้นานกว่านี้หน่อยหรือ?”
พี่ห้ารู้แต่กลับไม่บอกนางหรือนี่ โหยวอวี่เวยทุกข์ใจอยู่ในอกเล็กน้อย
“ไม่แล้ว มาที่นี่เพียงเพื่อเื่ส่วนตัวนิดหน่อย จัดการเรียบร้อยก็จะกลับ ต้องรีบกลับไปให้ถึงเอ้อโจวก่อนฉลองปีใหม่จะดีที่สุด” หากสามารถจัดการได้เร็วกว่ากำหนดก็จะยิ่งดี
“แต่ผ่านไปอีกไม่กี่วัน อากาศจะยิ่งหนาวขึ้นแล้วนะ อาจมีหิมะตกหนักปิดถนนก็ได้นี่” โหยวอวี่เวยกดความทุกข์ระทมเบาบางในใจเอาไว้และกล่าวเตือนนาง
“ฮ่าๆ หากหิมะตกหนักปิดถนนก็จะอยู่ฉลองปีใหม่เป็เพื่อนท่าน ดีหรือไม่?”
“ดีเลยๆ หากหิมะตกหนักปิดทับเส้นทาง ถึงตอนนั้นเ้ามาพักในบ้านข้านะ”
สองคนหัวเราะเฮฮากันอยู่พักหนึ่ง จื่อยู่ก็ยกน้ำชาเข้ามา
ถ้วยน้ำชาอุ่นร้อนประคองอยู่กลางฝ่ามือ สองคนเริ่มพูดคุยกันอย่างช้าๆ
“เล่อเล่อเป็อย่างไรบ้างหรือ? พอจะปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในเมืองหลวงได้หรือไม่?”
“อื้ม มันสบายดีมากเลยล่ะ ข้าเลี้ยงมันไว้ในลานบ้าน ไม่ได้ล่ามไว้เลยด้วย หลังจากนั้นข้าบอกมันว่าห้ามวิ่งออกไปข้างนอก มันก็ไม่ออกไปจากบ้านจริงๆ เชื่อฟังอย่างมาก ท่านแม่ข้าชื่นชอบมันนักล่ะ”
กล่าวถึงเล่อเล่อขึ้นมา ดวงตาโหยวอวี่เวยปรากฏรอยยิ้มแย้มท่วมท้นออกมา เจินจูอมยิ้มตั้งใจฟังและถามขึ้นเป็ระยะๆ
ผ่านไปหนึ่งเค่อ โหยวอวี่เวยถึงหยุดหัวข้อสนทนาของเล่อเล่อไปอย่างยังไม่หนำใจ
เจินจูเห็นนางมีสีหน้าเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวา หน้าตาดูสดชื่นจนต้องถามขึ้นอย่างหยอกเย้า
“่นี้มีเื่ดีอะไรหรือไม่ ดูท่านสิ ขนคิ้วจวนจะบินขึ้นมาได้แล้ว [1]”
โหยวอวี่เวยหน้าแดงขึ้นฉับพลัน นางปิดแก้มที่แดงสดใสเอาไว้แล้วกระซิบเบาๆ
“ข้าเป็อย่างนั้นหรือ?”
เชิงอรรถ
[1] ขนคิ้วจวนจะบินขึ้นมาได้แล้ว หมายความว่า ขณะที่ยิ้มมีความสุขมาก คิ้วจะคลายออกและปล่อยตามสบายไม่ขมวด ดูแล้วเหมือนยกสูงขึ้น ยิ่งมีความสุขมากก็จะยิ่งยกสูงมาก