เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
การต่อสู้ที่โหดร้ายราวกับพายุที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ในที่สุดมันก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ข้าศึกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเมืองใกล้จะรวมพลเรียบร้อยแล้ว และดูเหมือนจะเริ่มทำการบุกโจมตีทันที บรู๊คเริ่มสั่งการเหล่าทหารให้จัดวางกำลังป้องกันตามหัวมุมกำแพงเมือง เหล่าชายฉกรรจ์บางส่วนในเมืองแซมบอร์ดที่เป็ชาวไร่ชาวนาธรรมดาต่างพากันหยิบเครื่องไม้เครื่องมือไม่ว่าจะเป็มีดตัดอ้อย กระบอง และเครื่องมือการเกษตรขึ้นมาป้องกัน ภายใต้การสั่งการของบรู๊ค พวกเขาก็พากันยืนอยู่ตามกำแพงทุกหนแห่งเพื่อช่วยเหล่าทหารองค์รักษ์ปกป้องเมือง
แต่พลังการป้องกันก็ยังคงอ่อนด้อย มีทหารองค์รักษ์ไม่ถึงสี่ร้อยคนกับเหล่าชายฉกรรจ์ที่เกณฑ์ทหารมาชั่วคราวอีกหนึ่งพันกว่าคนที่ไม่เคยผ่านการฝึกทหารใดๆ กำลังพลทั้งหมดรวมแล้วไม่ถึงหนึ่งพันห้าร้อยคน นี่เป็กำลังพลปกป้องเมืองแซมบอร์ดที่แข็งแกร่งที่สุดในตอนนี้แล้ว
แต่ด้วยกำลังพลแค่นี้ เทียบกับข้าศึกชุดดำที่มีจำนวนสองพันกว่าคนแล้วยังผ่านการฝึกมาเป็อย่างดี ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
โชคดีที่เมืองแซมบอร์ดภูมิประเทศที่ได้เปรียบอย่างมากทางด้านการป้องกัน
แต่นี่ก็ถือว่าเป็สถานการณ์ที่ไม่ดีนัก
เพราะท่ามกลางาของแผ่นดินอาเซรอท บทบาทของผู้แข็งแกร่งไม่อาจละเลยได้ หากฝั่งชุดดำมียอดฝีมือที่มีฝีมือไม่ต่างกับนักรบสามดาวแรนดุ๊กเพิ่มมาอีกคนสองคน เมืองแซมบอร์ดก็คงจบสิ้น
นี่เป็สิ่งที่ซุนเฟยกังวลใจที่สุด
พระอาทิตย์ค่อยๆ ลอยขึ้นสูง บรรยากาศเปลี่ยนเป็ยิ่งมายิ่งเคร่งเครียด
เหมือนมีเปลวไฟที่มองไม่เห็นลอยอยู่เต็มอากาศ ทุกครั้งที่สูดลมหายในเข้าไปในอกก็รู้สึกเ็ปเหมือนมีไฟร้อนๆเข้าไปข้างใน
ซุนเฟยยืนอยู่ตรงหอสังเกตการณ์ รอเวลาาปะทุขึ้นมา
เ้าอ้วนกิลเองก็อยู่ข้างๆ ไม่ไกลจากซุนเฟย เพราะความกลัวจึงทำให้ขาทั้งสองข้างของมันสั่นพั่บๆ านองเืที่กำลังจะเริ่มขึ้นทำให้นายน้อยที่ได้รับการประคบประหงมมาตลอดอย่างกิลพลันสมองว่างเปล่า โชคดีที่บาร์เซิลได้ส่งผู้คุ้มกันที่ภักดีของตัวเองสองสามคนมาอยู่ข้างกายเขาเพื่อปกป้อง ไม่อย่างงั้นเกรงว่า ตอนนี้กิลคงสลบเมือดไปแล้ว
ส่วนบาร์เซิลก็ทำให้ซุนเฟยรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
ตามที่บรู๊คเอ่ยถึง เ้าผีอั่งเปาเฒ่าตนนี้ไม่มีความสามารถด้านการต่อสู้ใดๆ เลย เป็แค่คนธรรมดาเท่านั้น ดังนั้น หลังจากที่ซุนเฟยจัดการตุลาการทหารคอนก้าและพัศดีโอเลเกร์เสร็จ เขาก็ไม่น่าจะมีเหตุผลต้องอยู่ต่อ ทีแรกซุนเฟยคิดว่าเ้าผีแก่นี่จะรีบลงจากกำแพง แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะเดินมาที่หอสังเกตการณ์ยืนอยู่ข้างๆ บุตรชายตัวเอง
“คิดไม่ถึงเลยว่าไอ้จิ้งจอกเฒ่าจะให้ความสำคัญกับบุตรชายของตัวเองมาก ถือว่ายังมีความเป็มนุษย์อยู่บ้าง”
ซุนเฟยหันกลับไปมองบาร์เซิลแล้วไม่พูดอะไรออกมาอีก
ทุกคนต่างกำลังรอาปะทุขึ้นมา
ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ
ในที่สุดข้าศึกเกราะดำก็รวมพลกันเสร็จเรียบร้อย จังหวะก้าวทีละก้าวก็เป็ระเบียบพร้อมเพรียงกันเดินเข้ามาที่เมืองแซมบอร์ด ดาบหอกตั้งตรงหนักแน่น สะท้อนแสงเย็นเยียบภายใต้ดวงอาทิตย์ รังสีฆ่าฟันแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ
บนกำแพงหากมีเข็มตกก็คงได้ยินกันหมด ทุกคนต่างได้ยินเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจตนเอง
เหล่าชายฉกรรจ์บางส่วนที่ถูกเกณฑ์ทหารเข้ามากระชั้นชิด สองขาพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นพั่บๆ มือที่กำอาวุธอยู่มีเหงื่อไหลออกมาจำนวนมาก ากำลังจะมาถึงแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากานี้แล้วตัวเองจะยังมีชีวิตต่อไปหรือเปล่า แต่เพื่อพ่อแม่และญาติ พวกเขาจะถอยไม่ได้
ตึง ตึง ตึง ตึง!
จังหวะการก้าวเดินของเหล่าชายเกราะดำดูแปลกๆ เหมือนกระแสน้ำสีดำถาโถมเข้ามาไม่เร็วไม่ช้า และมันนำมาซึ่งแรงกดดันมหาศาลที่ยากจะคาดฝัน เสียงพวกนั้นเหมือนกลองที่กระหน่ำทุบที่หัวใจของเหล่าทหารแซมบอร์ด จังหวะการก้าวเดินยิ่งมายิ่งเร็วจนทำให้ทุกคนหายใจแทบไม่ออก
ทหารราบข้าศึกที่อยู่ด้านหน้าสุดถือโล่ไว้
โล่สีดำสูงประมาณสองเมตร บนโล่มีลวดลายหน้าปีศาจที่ดุร้าย โล่นี้บังทหารทั้งหมดที่อยู่ด้านหลังและก้าวเดินเข้ามาข้างหน้าไม่หยุดยั้ง เหมือนฝูงปีศาจที่กำลังดาหน้าเข้ามาจนถึงสะพานหินแคบ ทหารถือโล่ร้อยกว่าคนก็เปลี่ยนรูปแบบทัพจากสิบแถวเหลือเพียงสามแถวถึงจะสามารถข้ามแม่น้ำได้ จากนั้นก็ย่ำจังหวะเท้าก้าวเดินเหมือนกลองเข้ามา
ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมาสักนิดแม้ในยามที่เปลี่ยนกระบวนทัพ ราวกับชายเกราะดำเป็เพียงเครื่องจักรสังหารที่โหดร้าย การเคลื่อนขบวนเป็ระเบียบเรียบร้อยแสดงให้เห็นถึงระเบียบวินัยที่น่าทึ่ง ทุกจังหวะที่ก้าวเดินไปข้างหน้าต่างเป็ระเบียบ
ท่าทางแบบนี้ ช่วยไม่ได้ที่ซุนเฟยจะรู้สึกหนักใจขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่ต้องสงสัยเลย นี่เป็กองกำลังทหารที่ยอดเยี่ยมและผ่านการฝึกมาเป็อย่างดีแน่นอน
หันกลับไปมองเหล่าทหารที่กระจัดกระจายตัวด้านข้างตัวเอง...าครั้งนี้ ยากที่จะเอาชนะได้
ระยะห่างค่อยๆ เข้ามาใกล้ทีละนิดทีละนิด
ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที ไม่นานทหารราบพลโล่ที่อยู่ด้านหน้าสุดก็มาถึงสะพาน ไม่เพียงแต่พวกเขาเดินมาที่บริเวณชายฝั่งทางเหนือของแม่น้ำจูลี่ แต่ยังเดินเข้ามาในระยะยิงของพลธนูเมืองแซมบอร์ดอีกด้วย าใกล้จะเปิดฉากขึ้นแล้ว
ชิ้ง!
บรู๊คดึงกระบี่ยาวออกจากฝัก ก้าวเท้าไปข้างหน้าะโเสียงดังว่า “พลธนู...เตรียม!”
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!
เสียงดึงสายธนูดังขึ้น ธนูยาวหนึ่งร้อยกว่าคันถูกรั้งดึงจนเปลี่ยนรูปเป็พระจันทร์เต็มดวง ลูกธนูสะท้อนแสงอาทิตย์ประกายเย็นเหยียบราวกับมัจจุราชกำลังแสยะยิ้ม รอเพียงคำสั่งยิงของบรู๊คเท่านั้น
แต่ตอนนั้นเอง
ตึง!
ไม่รู้ทำไมพลโล่ของชายเกราะดำที่เดินนำข้างหน้าตลอดก็พลันหยุดเดิน ตามมาด้วยพลหอก พลดาบ พลธนูที่อยู่ด้านหลังพลโล่อีกเก้าแถวก็พากันหยุดเดินเข้ามาเช่นกัน
กระบวนทัพทั้งต่างพากันทำเช่นเดียวกันราวกับเป็คนๆ เดียวกัน
“เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อเห็นฉากนี้ซุนเฟยก็พลันขมวดคิ้ว เขาไม่รู้ว่าผู้บัญชาการทหารฝ่ายตรงข้ามคิดจะเล่นลูกไม้อะไร
บรู๊คที่รับผิดชอบในการบัญชาการทหารตามสถานการณ์โดยรวมก็เดาเหตุผลไม่ออกเช่นกัน แต่เขาก็ไม่คลายความระมัดระวังแม้แต่น้อย ยังคงะโเสียงดังว่า “พลธนูเตรียมพร้อม ทุกคนมีสมาธิเข้าไว้ ไม่ว่าใครก็ห้ามออกจากตำแหน่งของตัวเองโดยพลการ”
เสียงพูดจบลง ข้าศึกที่อยู่ด้านล่างก็มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
มีอัศวินชุดเกราะสีดำสี่นายออกมาจากด้านหลังของทัพอย่างช้าๆ ท่ามกลางกลุ่มคนที่เดินออกมา ในมือของอัศวินคนหนึ่งถือหอกที่ยาวประมาณสามเมตรมาหนึ่งเล่ม ปลายหอกแขวนหมวกเหล็กไว้หนึ่งอัน กระทุ้งม้าเดินมาทางกำแพงเมืองอย่างช้าๆ
สีหน้าบรู๊คพลันเปลี่ยนไป
ดาบกว้างในมือของเขาเสียบดาบกลับไปที่ฝักดาบข้างเอว ก่อนจะรีบเดินมาหาซุนเฟยแล้วพูดเสียงเบาว่า “ฝ่าา ข้าศึกอยากที่จะเจรจากับพวกเรา”
เจรจา?
ซุนเฟยชะงักไปครู่หนึ่ง
รู้สึกว่าที่แผ่นดินอาเซรอท การที่อีกฝ่ายนำหมวกเหล็กแขวนไว้กับหอกนั่นหมายถึงอยากที่จะเจรจากับฝ่ายตรงข้าม ซุนเฟยจะจำความรู้เล็กๆ น้อยๆ นี่เอาไว้ บางทีเขาอาจจะได้ใช้มันในภายหลัง
แต่เห็นได้ชัดว่าพวกมันกำลังได้เปรียบซุนเฟย แล้วทำไมพวกมันถึงอยากเจรจากันนะ?
“ปล่อยให้พวกเขาเข้ามา!” ซุนเฟยสั่งบรู๊ค เขาอยากจะรู้เหมือนกันว่าผู้บัญชาการฝ่ายศัตรูอยากจะเล่นลูกไม้อะไร
“น้อมรับพระบัญชาขอรับ!”
บรู๊คหันหลังกลับไป ให้ทหารตอบกลับไปว่ายอมเจรจา
เมื่อเห็นท่าทางตอบกลับ อัศวินชุดเกราะสีดำทั้งสี่นายก็พากันลงจากอาชาสีดำแล้วเดินออกจากสะพานหินเข้ามาในระยะของพลธนูของเมืองแซมบอร์ดอย่างรวดเร็วจนมาถึงประตูเมืองแซมบอร์ด
“ด้วยคำสั่งนายท่านผู้ยิ่งใหญ่ของข้า จงให้าาแซมบอร์ดออกมาฟัง”
ในมือของอัศวินเกราะดำ ‘หมายเลขหนึ่ง’ ถือหอกยาวไว้แล้วะโเสียงดังด้วยท่าทางจองหอง ด้วยพลังนักรบระดับหนึ่งดาว ทำให้เสียงของเขาได้ยินทั่วเมือง ทุกคนในเมืองแซมบอร์ดต่างได้ยินชัดเจน พวกเขาต่างรู้สึกว่าน้ำเสียงของฝ่ายตรงข้ามยากที่จะปกปิดท่าทางการเป็ผู้นำเขาได้
“อยากจะพูดหรืออยากผายลมอันใดก็รีบพูดมา!”
ซุนเฟยตอบกลับอย่างหยาบคาย ท่าทางของอีกฝ่ายทำให้ซุนเฟยรู้สึกไม่ชอบใจ ดังนั้นก็ไม่มีความจำเป็ที่ซุนเฟยต้องเกรงใจเช่นกัน จึงอ้าปากพูดหยาบคายกลับไป
ด้านล่าง อัศวินเกราะดำ ‘หมายเลขหนึ่ง’ ขมวดคิ้ว
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ าาของเมืองแซมบอร์ดคนนั้นก็คือกระทิงหนุ่มที่ทำให้แรนดุ๊ก นักรบระดับสามดาวาเ็หนัก...สมควรตาย ตามรายงานของกลุ่มนกอินทรีไม่ใช่บอกว่าาาเมืองแซมบอร์ดเป็คนปัญญาอ่อนเหรอ? ทำไมเป็แบบนี้ไปได้?
ห่างออกไป
ชายหน้ากากเงินที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมองฉากนี้มาตลอดก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ
แต่ไม่นาน มุมปากของเขาก็ฉีกยิ้มกว้าง ยิ่งน่าสนใจนัก หากส่งาาผู้สูงศักดิ์ไปที่โคลอสเซียมมันคงเป็มุขตลกที่ยอดเยี่ยมแน่ๆ และคงได้รับความสนใจจากพวกสตรีชนชั้นสูงที่จิตใจวิปริตแน่ๆ...หึหึ ดูเหมือนว่าเื่นี้มันชักจะน่าสนุกว่าที่ข้าคิดไว้เสียแล้ว
ด้านล่างกำแพงเมือง
“นายท่านผู้ใจกว้างและมีเมตตา ยินดีที่จะให้โอกาสรอดแก่พวกเ้าหนึ่งทาง...” อัศวินเกราะดำ ‘หมายเลขหนึ่ง’ ะโด้วยมาดสูงส่ง “าาแห่งเมืองแซมบอร์ดจงฟังรายละเอียดที่ข้าจะกล่าว นายท่านของข้าได้มีคำสั่ง เพียงเ้ายอมจำนน ราชวงศ์และขุนนางจะได้รับการดูแลจากกองทัพข้า ส่วนประชาชนก็จะไม่มีใครตายแค่กลายเป็ทาส...” พูดถึงตรงนี้ อัศวินเกราะดำ ‘หมายเลขหนึ่ง’ ก็เปลี่ยนโทนเสียง เขาแสะยิ้มเ็าและพูดข่มขู่ว่า “หากเ้าไม่รู้ถึงผลดีผลเสีย กล้าที่จะต่อต้านพวกข้าต่อ หลังจากที่เมืองแตก แม้แต่ไก่ก็อย่าหวังว่าจะรอด พวกเราจะทำการสังหารหมู่ในอีกสามวัน”
คำพูดของอัศวินเกราะดำ ได้ยินกันอย่างชัดเจนทั่วกำแพง
ปฏิกิริยาทุกคนบนกำแพงแตกต่างกันไป บาร์เซิล โอเลเกร์และเหล่าขุนนางก้มหน้าลงครุ่นคิด ในใจพยักหน้ายอมรับเงื่อนไข ชาวบ้านบางส่วนที่กลัวตายก้มหน้าลง อย่างน้อยเป็ทาสก็ดีกว่าตายในามากนัก แน่นอนว่า บางส่วนก็เผยสีหน้าดูถูกขึ้นมา พวกเขาจับอาวุธในมือแน่นขึ้น
สายตาของทุกคนมองไปที่องค์าาอเล็กซานเดอร์
อำนาจการตัดสินใจอยู่ในมือาาหนุ่มผู้นี้
ซุนเฟยไม่รีบเร่งที่จะปฏิเสธ ดวงตาของเขาวาดสายตามองทุกคน เขาเห็นท่าทางที่แตกต่างกันไปของแต่ละคน ทันใดนั้นในใจก็พลันกระตุกแล้วพูดอย่างช้าๆ ว่า “ไม่คิดเลยว่าศัตรูจะเล่นลูกไม้แบบนี้...นี่เป็สภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ ฮ่าๆ พวกเ้าพูดมาเถอะ พวกเ้าอยากเลือกอะไร”
เมื่อเขาพูดจบ พัศดีโอเลเกร์ไม่รอช้ารีบเดินออกมาเป็คนแรก
สีหน้าของเ้าภูตตูดม้าตนนี้เป็ประกาย เขาพูดอย่างยินดีว่า “ฝ่าาผู้เกรียงไกร โอเลเกร์ยินดีตายในาเพื่อฝ่าา ข้าคิดว่าฝ่าาควรพิจารณาข้อเสนอของข้าศึกสักนิด ตามจริงแล้วทหารของพวกเราก็มีไม่ถึงสี่ร้อยนาย และยังมีอีกมากที่ได้รับาเ็อีกด้วย หากเรายังต่อต้านพวกมันต่อไป เกรงว่าพวกเราคงไม่สามารถรักษาเมืองไว้ได้ทั้งยังไปกระตุ้นโมโหข้าศึก เมื่อถึงตอนนั้นทุกคนในเมืองทั้งหมดก็ต้องตาย...เอ่อ แน่นอนว่า ที่ข้ากล่าวเช่นนี้ไม่ใช่เพราะว่ากลัวตาย แต่เพื่อให้ฝ่าาพิจารณา”
แม้จะกล่าวด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยวองอาจ แต่สีหน้าของภูตตูดม้าที่แสดงออกมาช่างทรยศกับความคิดภายในใจของเขา พัศดีโอเลเกร์ถือว่าเป็ขุนนางในเมือง หลังจากยอมจำนนก็ได้รับการคุ้มครองจากกองทัพศัตรู ในเมื่อไม่ตายและไม่ถูกทำให้กลายเป็ทาส โอเลเกร์ที่รักตัวกลัวตายมีหรือจะไม่เลือกทางนี้
ทันใดนั้น สายตาดูถูกรังเกียจราวกับลูกธนูยิงไปที่ร่างของโอเลเกร์นับไม่ถ้วน แต่เขากลับแสร้งทำเป็ไม่รับรู้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้