ทว่าเป็หญิงสาวนี่นา ย่อมต้องใช้ความพยายามในการเกลี้ยกล่อมเสียหน่อย
ฝานเจิ้นชวนตั้งใจหาโอกาสที่จะไปพบตัวจริง ไม่รู้ว่าจะดีเลิศเช่นมารดาเขาสาธยายไว้หรือไม่
น้าหลี่ระแวงว่าแม่บ้านสาวที่หลบอยู่ในห้องจะสร้างปัญหา จึงไม่เล่าเื่ราวเกี่ยวกับเซี่ยเสี่ยวหลานโดยละเอียด ทิ้งเสื้อสองตัวไว้ก็จากไป สักครู่ให้หลัง แม่บ้านสาวเสียวอวี่ที่สวมชุดนอนอยู่ก็เดินออกมา ซบศีรษะลงแนบอกฝานเจินชวน
“คุณเคยบอกว่าจะไม่แต่งงานอีกแล้วนี่นา เจิ้นชวน คุณอย่าทิ้งฉันนะ”
ที่ฝานเจิ้นชวนแต่งงานกับเสียวอวี่ไม่ได้ มิใช่เพราะเสียวอวี่เป็แม่บ้านให้เขา แต่เพราะคนมากมายล้วนรู้สถานะญาติห่างๆ นี้ของเสียวอวี่ เสียวอวี่ก็ใช้แซ่ฝาน ถ้าทั้งสองสมรสกัน นั่นจะเป็เื่น่าขันของเขตเหอตงแน่นอน
ฝานเจิ้นชวนเองก็ไม่เคยคิดแต่งงานกับเสียวอวี่
เื่จะไม่แต่งงานก็เป็เพียงการกล่อมเสียวอวี่เท่านั้น ผู้ชายเมื่ออยู่บนเตียงก็สามารถพูดไร้สาระอะไรออกมาได้หมด หากฝ่ายหญิงเชื่อเข้าก็ถือว่าโง่เขลาจริงๆ
“ถึงแต่งงานแล้วก็ไม่รบกวนเวลาสานสัมพันธ์ของเราสองคนหรอก”
ฝานเจิ้นชวนลูบใบหน้าของเสียวอวี่ เขาเป็ใครกัน เป็ไปได้อย่างไรที่จะหยุดเพื่อผู้หญิงเพียงคนเดียว ฝานเจิ้นชวนนึกขึ้นได้ว่าตนเองมีประชุมตอนบ่าย มารดาเขานำเสื้อใหม่สองตัวมาให้พอดี เขาจึงใส่แล้วก็ออกไป
เสียวอวี่นั่งลงบนเก้าอี้อย่างเหม่อลอย
ฝานเจิ้นชวนจะแต่งงานอีกแล้ว เช่นนั้นเธอจะทำอย่างไรดี?
ครอบครัวเธอยากจนถึงได้มาเป็แม่บ้านให้บ้านฝานเจิ้นชวน เนื่องจากไม่กล้าต่อต้านฝานเจิ้นชวน เธอและฝานเจิ้นชวนจึงมีความสัมพันธ์กัน
ภรรยาของฝานเจิ้นชวนโกรธเกรี้ยวจนจบที่สิ้นใจ เสียวอวี่คิดว่านั่นไม่ใช่ความผิดของเธอ
ความกดดันของเธอเองก็มากเหลือเกิน ตอนนี้ฝานเจิ้นชวนจะแต่งงานอีกครั้ง... เธอจะกลายเป็หนึ่งในชู้รักที่ตกกระป๋องของฝานเจิ้นชวนไม่ใช่หรือ?
หลานสาวของหลิวฟาง?
เสียวอวี่เคยเจอหลิวฟาง น้าหลี่อยากแนะนำลูกสาวของหลิวฟางให้เป็ภรรยาฝานเจิ้นชวน
ทว่าฝานเจิ้นชวนไม่เห็นด้วย แน่นอนว่ามิใช่เพราะลูกสาวหลิวฟางเป็เพื่อนร่วมชั้นฝานหาน แต่เป็เพราะฝานเจิ้นชวนไม่ถูกใจ เสียวอวี่เคยแอบไปจับตาดูเหลียงฮวน เด็กน้อยไร้เดียงสา คงทำให้นักเรียนพวกนั้นชื่นชอบ ทว่าฝานเจิ้นชวนคือชายวัยกลางคนที่มีประสบการณ์และความรู้ จะชอบเด็กสาวที่ไม่ประสีประสาคนนั้นได้อย่างไร
พี่สาวของเหลียงฮวนหรือ?
เสียวอวี่กำหมัดแน่น
ไม่ได้ ฝานเจิ้นชวนจะแต่งงานไม่ได้!
ไม่ว่าจะเป็ลูกสาวหรือหลานสาวของหลิวฟางก็ไม่ได้ทั้งนั้น
----------------------------------------
ในที่สุดเซี่ยเสี่ยวหลานก็ตกลงซื้อนาฬิกาข้อมือเรือนนั้น
นอกจากพวกของกิน ในหนึ่งปีเธอจะมอบของขวัญให้โจวเฉิงหนึ่งชิ้น เงินจำนวน 1200 หยวนไม่ใช่จำนวนเงินน้อยนิด แต่ข้าวของที่โจวเฉิงส่งมาก็ไม่ใช่ของเก่าไร้ประโยชน์เช่นกัน ค่านิยมกระแสหลักในอนาคตคือฝ่ายชายมอบของขวัญให้แฟนสาว เซี่ยเสี่ยวหลานแหวกว่ายอยู่นอกกระแสหลักมาโดยตลอด ตัวเธอเองมีความสามารถ ไม่รู้สึกแย่ที่ตนเองจะควักเงินซื้อของขวัญให้โจวเฉิงเลยแม้แต่น้อย
นาฬิกาข้อมือราคา 1200 หยวน ยี่ห้อโรเล็กซ์
โจวเฉิงมีโรเล็กซ์อยู่หนึ่งเรือน เซี่ยเสี่ยวหลานแค่ต้องมั่นใจว่าไม่ใช่รุ่นเดียวกันก็พอ
นาฬิกาของบุรุษก็คือกระเป๋าของสตรี มีหลายรุ่นไว้เปลี่ยนใส่เมื่อไรก็ได้
พอมีหม่าเวยช่วยงานในร้าน ในที่สุดหลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินก็สามารถอู้งานได้เป็ครั้งคราว... แม้หลายวันมานี้ยอดขายของร้านค่อนข้างดีเพราะกิจกรรมขายสินค้าที่แถมเข็มขัดหนังและกระเป๋าเงิน พวกเธอสองคนก็ไม่ยอมให้เซี่ยเสี่ยวหลานไปช่วยงาน หม่าเวยไม่เข้าใจเื่อื่นๆ ทว่าความขยันขันแข็งถือว่าไม่เลว
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดๆ ดู ก่อนจะตัดสินใจกลับเขตอันชิ่งสักหน
ตรุษจีนสิ้นสุดเกือบสองเดือนแล้ว เธอยังไม่ได้ไปโรงเรียนเลย พอจะไปก็ไป อย่างไรเสียมีจักรยานก็สะดวกดี เมื่อเซี่ยเสี่ยวหลานมาถึงหน้าประตูเซี่ยนอีจง เธอก็พบกับความเปลี่ยนแปลงของน้าหวงจานด่วนเป็สิ่งแรก หน้าร้านหนึ่งคูหาขยายกว้างกลายเป็สองคูหา ตอนนี้เป็เวลาประมาณเก้าโมงเช้า ่เวลาอัตรารับประทานอาหารเช้าสูงผ่านไปแล้ว ทว่าในร้านของน้าหวงยังมีลูกค้าเต็มทุกโต๊ะ แค่นั่งไม่เต็มเท่านั้น
“เสี่ยวหลาน กินอะไรมาหรือยัง?”
แม่สามีของน้าหวงเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานก่อนใคร หญิงชราจึงดึงเธอเข้าไปในร้าน
ทั้งครอบครัวน้าหวงล้วนรู้สึกขอบคุณเซี่ยเสี่ยวหลานมาโดยตลอด เซี่ยเสี่ยวหลานเป็ผู้เสนอความคิดเห็น แถมสอนน้าหวงทำ ‘ข้าวราดหน้า’ ของแบบนี้เรียบง่ายธรรมดา ทว่าเป็ร้านแรกของเขตอันชิ่งที่ทำ ยิ่งธุรกิจไปได้ดี ครอบครัวน้าหวงยิ่งจดจำน้ำใจของเซี่ยเสี่ยวหลาน
บนโลกนี้มีคนชั่วร้าย แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเป็หมาป่าตาขาวเนรคุณ
โดยเฉพาะพอธุรกิจน้าหวงจานด่วนดีขึ้น เซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่ทวงบุญคุณ ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายจึงยืนยาวและกลมเกลียวกันได้
“น้าจ๊ะ ฉันกินก่อนออกจากบ้านมาแล้วน่ะ”
“กินแล้วก็กินอีกหน่อยสิ! นี่ยังตอนเช้าอยู่เลย ขี่จักรยานใช้แรงมากด้วย เดี๋ยวต้มบะหมี่น้ำใสให้เธอแล้วกัน!”
น้าหวงทำบะหมี่หน้าเตา ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ใส่เส้นบะหมี่ลงหม้อ ความเคยชินของเซี่ยเสี่ยวหลานไม่เหมือนคนอื่นนัก มื้อเช้าชอบรับประทานอาหารรสอ่อน น้าหวงจำได้ทั้งหมด เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกอบอุ่นข้างในหัวใจ ใช่แล้ว ‘น้ำราดทรงเครื่อง’ คือสิ่งที่เซี่ยเสี่ยวหลานสอน ทว่ามิใช่จุดประสงค์เพื่อการช่วยเหลืออย่างเดียว เป้าหมายหลักคือการเพิ่มความยุ่งยากให้แก่ ‘จางจี้’... เซี่ยเสี่ยวหลานไม่้าการตอบแทน แต่น้าหวงจดจำเธอเสมอ เซี่ยเสี่ยวหลานยังคงรู้สึกเบิกบานใจอยู่ดี
พอนั่งลง เซี่ยเสี่ยวหลานถึงสังเกตเห็นว่าจางจี้อาหารว่างฝั่งตรงข้ามไม่ได้เปิดร้าน
“น้า จางจี้เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
แม่สามีของน้าหวงยังไม่ทันพูด น้าหวงก็ยกบะหมี่ซุปกระดูกเพิ่มไข่ดาวหนึ่งชามมา
“เธอกินก่อน กินเสร็จแล้วฉันจะค่อยๆ เล่าให้เธอฟัง”
น้ำซุปสีขาวนมเนื้อข้น บะหมี่เหนียวนุ่มพอดี รสชาติพริกไทยอ่อนๆ ข้างบะหมี่คือไข่ดาวสองใบ ไข่แดงสีเหลืองทองอยู่ในลักษณะกึ่งสุกแข็ง เป็ไข่ดาวยางมะตูม... เซี่ยเสี่ยวหลานรับประทานได้ไม่กี่คำ ด้านล่างบะหมี่ยังมีความจริงอันลึกลับอยู่อีก ซ่อนเท้าหมูตุ๋นเปื่อยนุ่มครึ่งชิ้นไว้นั่นเอง
“น้า นี่มันรสอ่อนที่ไหนกัน?”
ไม่ใส่พริกก็เรียกว่ารสอ่อนแล้วหรือ? เป็บะหมี่อุดมเนื้อสัตว์ชัดๆ
“เธอกินเถอะ นักเรียนที่ต้องเรียนหนังสืออย่างพวกเธอนี่น่ะ ควรบำรุงร่างกายให้ดี เรียนหนังสือเปลืองสมองจะตายไป!”
ทำไมเหล่านักเรียนของเซี่ยนอีจงถึงชอบมาน้าหวงจานด่วน ตอนแรกเป็การตามกระแส ต่อมาพบว่ารับประทานข้าวราดเหมือนกัน แต่ ‘ข้าวราด’ ของพวกเขานั้นดูเยอะกว่าของลูกค้าคนอื่นเล็กน้อย หนึ่งทัพพีของน้าหวงเหมือนไม่ลำเอียง ทว่าทุกคนรู้จักรูปแบบการตักอาหารของคุณน้าประจำโรงอาหารกันดี เงินเท่ากัน เนื้อในจานของนักเรียนอีจงจะมากกว่าสองสามชิ้น
มีลูกค้าตาไวขอคัดค้าน น้าหวงบอกว่าพวกนักเรียนเรียนหนังสือใช้สมองหนักมาก กินเนื้อมากกว่าสองชิ้นแล้วจะเป็อะไรไป?
คำตอบของน้าหวงทำเอาลูกค้าหน้าแดงก่ำ
การกระทำเช่นนี้ของน้าหวงได้รับการสนับสนุนจากเหล่านักเรียนเซี่ยนอีจงอย่างรวดเร็ว ประนาม ‘จางจี้’ ด้วยความชิงชัง ในขณะที่เห็นว่าน้าหวงเป็คนดี อาจารย์และนักเรียนเซี่ยนอีจงย่อมเลือกน้าหวงจานด่วนมากกว่า
เมื่อเห็นว่าเซี่ยเสี่ยวหลานรับประทานบะหมี่หนึ่งชามหมด น้าหวงถึงเริ่มเล่าเื่จางจี้อาหารว่างฝั่งตรงข้าม
“ที่แท้ลุงและป้าสะใภ้เธอเปิดร้านโดยปิดบังคนที่บ้าน หลังตรุษจีนธุรกิจของพวกเขาซบเซาลงมาก จึงไล่เด็กที่กินข้าวในร้านเสียเปล่าคนนั้นออก... หลังจากนั้นคนบ้านเซี่ยทุกคนก็รู้ว่าเถ้าแก่ของจางจี้คือใคร ยายแก่บ้านเซี่ยคนนั้นช่างเหลือร้าย ยุแยงจนลุงและป้าสะใภ้เธอทะเลาะลงไม้ลงมือกัน... สักพักบ้านเซี่ยก็มาโวยวาย คนบ้านจางมาช่วยด้วย สองบ้านตีกันในจางจี้ตั้งหลายหน ทุบข้าวของในร้านเสียจนเกลี้ยง ฉันว่าจางจี้คงเปิดร้านต่อไปไม่ได้แล้ว”
น้าหวงรู้แจ้งเห็นจริงยิ่งนัก
เื่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเธอทั้งหมด จางชุ่ยที่โดนตีจนหน้าช้ำเสียยับเยินพาลูกชายกลับมายังเขต เนื่องจากพี่น้องบ้านแม่ยังต้องอาศัยเธอเลี้ยง พวกเขาจึงออกตัวแทนจางชุ่ยอยู่แล้ว บ้านจางตามคิดบัญชีกับเซี่ยฉางเจิง ทำเอาเซี่ยฉางเจิงไม่ทันตั้งตัว
เขาคิดไว้สวยงามเกินไป ยังนึกว่าสองสามีภรรยากำลังร่วมมือกัน ‘แสดงละคร’ เพื่อหยุดยั้งความคิดจะย้ายเข้าไปยังตัวเมืองของแม่เฒ่าเซี่ย—ทว่าคนโดนตีไม่ใช่เซี่ยฉางเจิงเสียหน่อย เป็เขาที่คิดตื้นเขินเกินไป จางชุ่ยเข้าเมืองมาก่อนเซี่ยฉางเจิง เธอถูกเซี่ยจื่ออวี้ป้อนแิบางส่วนอยู่ทั้งวี่ทั้งวัน เธอมิใช่หญิงชนบทที่ยอมรองมือรองเท้าคนเดิมนั่นอีกต่อไปแล้ว!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้