มู่หรงฉือกับฉินรั่วเดินตามเสิ่นจือเหยียนเข้าไปในห้องตำรา หัวหน้ามือปราบยกมือขึ้นขวางเอาไว้ “ทั้งสองท่าน ตรงนี้เป็สถานที่เกิดเหตุ ผู้ไม่เกี่ยวข้องไม่สามารถเข้าไปได้”
เสิ่นจือเหยียนรีบหมุนตัวกลับมา “สองท่านนี้...” เห็นเตี้ยนเซี่ยหันมาส่งสายตาให้ เขาจึงยิ้มอ่อน “สองคนนี้เป็ลูกน้องของข้า”
หัวหน้ามือปราบได้ยินว่าพวกเขาเป็คนของศาลต้าหลี่จึงปล่อยเข้าไป
มู่หรงฉือบอกให้ฉินรั่วไม่ต้องตามเข้ามา ก่อนจะไปตรวจสอบดูด้านหน้าห้องตำรา สายตาเฉียบคมกวาดมองไปมา
โต๊ะหนังสือ ตู้หนังสือ แจกันดอกไม้ล้วนงดงาม ทั้งหมดถูกจัดวางอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย เพียงแต่ด้านล่างซ้ายบนโต๊ะหนังสือมีหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง บนเก้าอี้ที่วางตรงข้ามกับโต๊ะมีกระดาษหลายแผ่น ้าสุดมีรอยเปื้อนหยดหมึกเต็มไปหมด พู่กันวางอยู่ด้านข้าง หมึกด้านในแห้งไปครึ่งหนึ่งแล้ว อีกด้านของโต๊ะหนังสือมีสมุดวางอยู่หลายเล่ม
ผู้ตายจวงฉินล้มอยู่บนพื้นตรงหน้าโต๊ะหนังสือ เสื้อผ้านับว่าสะอาดเรียบร้อย
เสิ่นจือเหยียนสวมถุงมือแล้วคุกเข่าลงไปตรวจสอบ
อู่จั้วของจวนจิ่งจ้าวคุกเข่าลงด้านข้าง “ใต้เท้าเสิ่น ข้าน้อยคิดว่าใต้เท้าจวงตายมาได้หลายชั่วยามแล้ว คงจะถูกพิษตาย แต่ข้าน้อยมองไม่ออกว่าใต้เท้าจวงถูกพิษอะไร”
เสิ่นจือเหยียนพยักหน้า ดวงตาไม่ได้ละไปจากศพ “จดบันทึก ผู้ตายจวงฉินตาย่กลางคืน ร่างกายผอมหนังหุ้มกระดูก ผิวดำ ั์ตาดำหด ริมฝีปากแห้งเป็สีม่วง นิ้วมือทั้งสิบม่วงเขียว...”
มู่หรงฉือไม่เข้าใจ เหตุใดจวงฉินถึงได้ผอมถึงเพียงนี้?
ถึงแม้นางจะไม่เคยเจอจวงฉินมาก่อน แต่เขาเป็เ้าพนักงานในกรมโยธา ไม่น่าจะผ่ายผอมเช่นนี้
“ใต้เท้าจวงคงจะถูกพิษตาย” เสิ่นจือเหยียนสรุป ก่อนจะลุกขึ้นถอดถุงมือ
“มองออกหรือไม่ว่าเป็พิษอะไร?” นางถามด้วยความสงสัย
“ตอนนี้ยังไม่รู้” เขาหันไปพูดกับหัวหน้ามือปราบ “คดีนี้จวนจิ่งจ้าวเป็เ้าของคดี แต่ว่าใต้เท้าจวงตายได้อย่างน่าประหลาด ข้าจำเป็ต้องนำร่างของผู้ตายกลับไปที่ศาลต้าหลี่แล้วดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียด หรือบางทีอาจจะต้องผ่าศพออกมาดู”
“ผ่าศพ?” อู่จั้วคนนั้นใ การผ่าศพเป็เื่ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ไม่มีปัญหาขอรับ อีกประเดี๋ยวข้าน้อยจะนำร่างของผู้ตายไปส่งที่ศาลต้าลี่ ส่วนคดีนี้จะส่งให้ศาลต้าหลี่จัดการหรือไม่ ถึงตอนนั้นก็ดูที่ความ้าของศาลต้าหลี่แล้ว” หัวหน้ามือปราบตอบรับสบายๆ
มือปราบสองนายยกศพผู้ตายออกไป มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนตรวจสอบห้องตำราต่อ หวังว่าจะหาเบาะแสอื่นเจอ
“ใช่แล้ว ใต้เท้าเสิ่น ใต้เท้าจวงตายอยู่ในห้องตำรากลางดึก ตอนเช้าพ่อบ้านมาเคาะประตูห้องตำราถึงได้พบว่าใต้เท้าจวงเสียชีวิตไปแล้ว” หัวหน้ามือปราบพูดขึ้นอีกครั้ง
คิ้วเรียวของมู่หรงฉือขมวดน้อยๆ “ใต้เท้าจวงไม่ได้กลับไปพักผ่อน ฮูหยินจวงไม่ได้ส่งคนมาดูที่ห้องตำราหรือ?”
“ข้าสอบถามฮูหยินจวงแล้ว ฮูหยินจวงบอกว่า เวลาใต้เท้าจวงอยู่ในห้องตำรามักจะอ่านหนังสือจนกระทั่งดึกดื่น หากดึกมาก ใต้เท้าจางก็จะพักผ่อนในห้องตำราไม่ได้กลับเรือนนอนอีก” เขาตอบ
มู่หรงฉือสบตากับเสิ่นจือเหยียน ก่อนจะมองไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตรงนั้นมีประตูบานเล็กหนึ่งบาน
ประตูบานนั้นมีตู้หนังสือบังอยู่ ดังนั้นนางจึงไม่ได้สังเกตเห็นในทันที
พวกเขาเข้าไปในห้องพักผ่อนห้องนั้น ห้องพักผ่อนมีขนาดเล็กมาก มีแค่ด้านนอกที่เป็ห้องหนังสือครึ่งหนึ่ง วางเตียงไม้ไผ่เอาไว้หนึ่งเตียง ข้างเตียงวางเก้าอี้ตัวเล็กเอาไว้หนึ่งตัว
นางมองไปแล้วสงสัยขึ้นมา แล้วหยิบกล้องยาสูบขึ้นมาจากเก้าอี้เล็ก กล้องยาสูบนั้นยังห้อยหยกงดงามเอาไว้ด้วยชิ้นหนึ่ง “นี่เป็กล้องยาสูบที่เขาพูดถึงกันอย่างนั้นหรือ?”
เสิ่นจือเหยียนเอามาดูอย่างละเอียด “คงจะใช่”
ที่แคว้นเป่ยเยี่ยน คนสูบยาเส้นมีน้อยมาก เนื่องจากห้าสิบปีก่อนราชสำนักได้ประกาศห้ามมิให้ขุนนางประชาชนสูบยาเส้น หากพบคนสูบหนึ่งคนก็จะลงโทษเสียสามคน กฎหมายเข้มงวดกวดขันยิ่งนัก เป็สิ่งที่ต้องพึงปฏิบัติ แต่ละคนจึงระมัดระวังตัว หลายสิบปีนี้จึงไม่มีคนสูบแล้ว
คิดไม่ถึงว่าขุนนางในกรมโยธาจะแอบซ่อนยาเส้นเอาไว้ที่ห้องพักในห้องตำรา
ในใจของมู่หรงฉือเกิดเป็โทสะเล็กน้อย หยิบกล่องแกะสลักดอกไม้ที่ข้างหมอนขึ้นมา กล่องไม้ขนาดไม่ใหญ่แต่กลับหนักอยู่บ้าง “นี่คืออะไรอีก?”
เมื่อเปิดฝาดู ก็มีกลิ่นหอมแปลกๆ อ่อนๆ ลอยออกมา
ด้านในกล่องใส่ของสีส้มที่ยังเหลือให้เห็นเป็ชั้นบางๆ นางเอาไปดมใกล้ๆ “นี่คืออะไร?”
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป “นี่คงจะเป็ยาเส้นสำหรับสูบ”
“เกี่ยวข้องกับยาพิษที่ทำให้ใต้เท้าจวงตายหรือไม่?”
“ตอนนี้ข้ายังไม่สามารถตอบได้ เพียงแต่ข้ารู้สึกว่าการตายของใต้เท้าจวงนั้นแปลกๆ”
“เมื่อครู่เปิ่นกงดูกาน้ำชาบนโต๊ะหนังสือแล้ว ในกาน้ำชายังมีชาอยู่ครึ่งหนึ่ง เอาไปตรวจที่ศาลต้าหลี่เสียด้วยก็แล้วกัน”
“อืม ข้าจะกำชับให้พวกเขาถืออย่างระมัดระวัง”
ทั้งสองคนพูดพลางเดินออกจากห้อง แล้วเอากล้องยาสูบกับกล่องไม้ส่งให้หัวหน้ามือปราบ ให้เขานำไปส่งที่ศาลต้าหลี่
มู่หรงฉือเดินออกมาด้านนอก ก็มีมือปราบพาสตรีวัยกลางคนมาตรงหน้านาง มู่หรงฉือถาม “เ้าก็คือฮูหยินจวง?”
ฮูหยินจวงสวมชุดเสื้อคอจีนสีอ่อน ดวงตาทั้งสองข้างผ่านการร้องไห้มาจนบวมเป่ง น้ำตายังไหลรินเป็ทาง ท่าทางเ็ปใจเป็อย่างยิ่งจนแทบจะยืนไม่ไหว มีแม่นมชราผู้หนึ่งคอยประคองนางเอาไว้ นางซับน้ำตาพลางตอบ “เ้าค่ะ”
มู่หรงฉือถาม “เมื่อคืนเ้ารู้หรือไม่ว่านายท่านของเ้าจะนอนพักที่ห้องตำรา?”
ฮูหยินจวงพยักหน้า “เมื่อคืนยามเค่อ ข้าส่งถั่วเขียวต้มมาที่ห้องตำราให้นายท่าน หลังจากนายท่านทานแล้วข้าก็บอกให้เขาพักผ่อนไวๆ ให้ดูแลรักษาร่างกายให้ดี เขาบอกว่าวันนี้งานเยอะ จะกลับไปดึกๆ ให้ข้านอนไปก่อน ข้าได้ยินดังนั้นจึงเข้าใจว่านายท่านคงจะไม่กลับไปนอนที่ห้องแล้ว ข้าจึงกลับไปพักผ่อนก่อนเ้าค่ะ”
“ใต้เท้าจวงมีสาวใช้ห้องข้างหรืออนุหรือไม่?”
“ไม่มีเ้าค่ะ ข้าแต่งกับนายท่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว เขาดูแลข้าเป็อย่างดี พวกเรารักใคร่กลมเกลียวกันดีเ้าค่ะ”
“่นี้งานของใต้เท้าจวงในกรมเยอะมากหรือ? ปกติแล้วไม่ค่อยได้กลับห้องหรือ?”
“เ้าค่ะ ครึ่งปีมานี้นายท่านมักจะรั้งอยู่ที่ห้องตำราจนดึกดื่น อีกทั้งยังมักจะอยู่ในห้องพักผ่อนจนถึงครึ่งวัน”
“ฮูหยินจวงคิดว่าใต้เท้าจวงสบายเกินไปหรือไม่?” มู่หรงฉือจ้องนาง ไม่ปล่อยให้ความรู้สึกของนางคลาดสายตาไปแม้แต่น้อย แต่ว่านางซื่อสัตย์มาก ดวงตามั่นคงไม่มีหลบเลี่ยง
“ครึ่งปีมานี้นายท่านผอมลงไปมาก ข้าจึงให้โรงครัวทำอาหารให้เขาบำรุงร่างกายไม่น้อย แต่ช่วยไม่ได้ที่งานของกรมโยธาเยอะเกินไป เขาอยู่ในห้องตำราจนดึกดื่นทุกคืนเช่นนี้จะไม่ผ่ายผอมได้อย่างไร? ข้าเห็นเขาผอมลงทุกวัน ในใจก็เป็ห่วง แต่ทุกครั้งที่โน้มน้าวให้เขาดูแลตัวเองดีๆ เขาก็จะดุข้า ด่าว่าข้าเป็สตรีคนหนึ่งจะไปรู้อะไร ให้ข้าไม่ต้องยุ่งเื่ของบุรุษ” ฮูหยินจวงทั้งเ็ปใจทั้งน้อยใจ กล่าวด้วยเสียงแหบพร่า
“ครึ่งปีมานี้ ใต้เท้าจวงไม่เพียงจะผอมลงทุกวัน อีกทั้งสีหน้าก็ยังขาวซีด ร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรง มักจะหลับอยู่บ่อยๆ บางครั้งสติสตังก็ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว ปฏิกิริยาตอบสนองก็เชื่องช้า ใช่หรือไม่?” เสิ่นจือเหยียนจู่ๆ ก็ถามขึ้น
“ที่ใต้เท้าพูดมาถูกต้องทั้งหมดเลยเ้าค่ะ เป็เช่นนี้จริงๆ ในตอนแรกข้ายังสงสัยว่านายท่านจะป่วยเป็โรคร้าย หาหมอมารักษานายท่าน แต่เขากลับไล่หมอคนนั้นออกไป ทั้งยังด่าข้าอีกด้วย” ฮูหยินจวงตอบกลับ น้ำตาไหลออกมาอีก “ใต้เท้า นายท่านของข้าถูกพิษจนตายหรือ? เหตุใดถึงถูกพิษได้เล่า? ใต้เท้า พวกท่านจะต้องช่วยสืบหาความจริง...”
มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนสบตากัน แสดงออกว่าจะตรวจสอบให้ชัดเจน
ออกจากจวนสกุลจวงนางก็ตามไปที่ศาลต้าหลี่ อยากจะดูความคืบหน้าของผลการชันสูตรศพ
แต่เสิ่นจือเหยียนไม่ได้ไปผ่าศพ ทว่าเดินทางเข้าวังและมุ่งหน้าไปที่โรงหมอหลวงแทน นางเองก็ติดตามไปด้วย ก่อนพากันไปหาตำราอยู่ในห้องตำราของโรงหมอหลวง
เขาบอกว่าเขาเคยอ่านบันทึกดอกพิษชนิดหนึ่งในตำราแพทย์ แต่จำไม่ได้ว่าเป็ตำราเล่มไหน
ฉินรั่วเองก็ช่วยหาด้วย ทั้งสามคนเปิดตำราหาข้อมูลอย่างรวดเร็วตรงหน้าตู้หนังสือขนาดใหญ่ ยุ่งจนลืมทานอาหาร
“วันนี้หนูฉายเพิ่งจะได้รู้ว่าโรงหมอหลวงนั้นเก็บตำราเอาไว้มากมายถึงเพียงนี้” ฉินรั่วพูดด้วยใบหน้าคล้ายจะร้องไห้ “จะต้องหาไปจนถึงเมื่อไหร่กัน?”
“หาไปเถิด จะต้องมีตอนที่หาเจอ” มู่หรงฉือพูดโดยไม่เงยหน้า
“ให้เตี้ยนเซี่ยมาทำเื่เช่นนี้ เป็ข้าไม่ดีเอง” แม้จะพูดเช่นนี้ แต่น้ำเสียงของเสิ่นจือเหยียนไม่ได้มีความรู้สึกผิดแม้แต่น้อย
“ใต้เท้าเสิ่น รอคดีของใต้เท้าจวงจบแล้ว ท่านจะต้องเลี้ยงข้าวเป็การขอบคุณเตี้ยนเซี่ย” ฉินรั่วยิ้มแล้วพูด
“ได้ๆๆ ข้าจะทำอาหารนานาชนิดมื้อหนึ่งเป็การเลี้ยงเตี้ยนเซี่ยกับเ้า” เสิ่นจือเหยียนยิ้ม
ตอนนี้เอง หัวหน้าหมอหลวงก็เดินเข้ามา ยิ้มตาหยีแล้วถาม “องค์รัชทายาท ใต้เท้าเสิ่น พวกท่านกำลังหาอะไรอยู่หรือ?”
เสิ่นจือเหยียนเงยหน้าขึ้นพูด “หัวหน้าหมอหลวงเสิ่น ข้าอยากจะหาตำราแพทย์เล่มหนึ่ง ตำราแพทย์เล่มนั้นกล่าวถึงดอกไม้ชนิดหนึ่งที่ทั้งต้นมีพิษ หากสกัดน้ำจากผลของมันออกมา ก็จะสามารถสร้างพิษที่ทำให้คนค่อยๆ เสพติดได้”
หัวหน้าหมอหลวงเสิ่นเดินไปที่ชั้นหนังสือแถวหนึ่ง ดวงตากวาดมองไปบนชั้น “ข้าจำได้ว่าเมื่อหนึ่งปีก่อนเห็นดอกไม้ที่เ้าถึงจากตำราเล่มหนึ่ง”
มู่หรงฉือพูดด้วยความดีใจ “หัวหน้าหมอหลวงเสิ่นยังจำได้หรือไม่ว่ามาจากตำราเล่มไหน?”
เขาไม่ได้ตอบ ค้นหาชั่วครู่แล้วสุ่มหยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาจากชั้น เปิดหาก่อนจะพูดด้วยความดีใจ “เป็เล่มนี้!”
ทั้งสามรีบเข้ามาล้อมอยู่ข้างกายเขา เขาชี้ไปที่หน้าหนึ่งบนตำรา “อาฝู่หรง[1] คือดอกไม้ชนิดนี้หรือไม่?”
“ใช่ๆๆๆ! ก็คือชนิดนี้!”
เสิ่นจือเหยียนหัวเราะออกมาด้วยความดีใจเป็อย่างยิ่ง “หัวหน้าหมอหลวงเสิ่น ขอบคุณท่านมาก”
มู่หรงฉือรับตำราเล่มนั้นมา พูดพลางขมวดคิ้ว “อาฝู่หรงกับฝูหรงเป็ดอกไม้ชนิดเดียวกันหรือไม่?”
หัวหน้าหมอหลวงเสิ่นยิ้ม “ไม่ใช่ดอกไม้ชนิดเดียวกัน”
หัวหน้าหมอหลวงเสิ่นกล่าว “อาฝู่หรงเองก็เป็สมุนไพรชนิดหนึ่ง มักจะนำมาใช้เพื่อให้หยุดถ่าย แก้ไอ เพียงแต่ในแคว้นเป่ยเยี่ยนของพวกเราไม่เคยพบว่ามีอาฝู่หรงมาก่อน”
ฉินรั่วถาม “เช่นนั้นที่ไหนมีอาฝู่หรงบ้าง?”
“ในนี้บันทึกเอาไว้ว่า แคว้นตงฉู่เคยพบอาฝู่หรงป่า” หัวหน้าหมอหลวงเสิ่นยิ้มเอ่ย “องค์รัชทายาท ใต้เท้าเสิ่น พวกท่านหาอาฝู่หรงไปทำอะไรหรือ?”
“หัวหน้าหมอหลวงเสิ่น ท่านโปรดชี้แนะสักหน่อย หากสกัดเอาน้ำจากดอกอาฝู่หรงมาเป็ทำเป็ก้อน เมื่อคนสูบก้อนอาฝู่หรงเข้าไปแล้วจะเป็อย่างไร?” เสิ่นจือเหยียนถามอย่างจริงจัง
“ทำเช่นนี้ไม่ได้ จะเอามาสูบไม่ได้” หัวหน้าหมอหลวงเสิ่นใ “ก้อนอาฝู่หรงเป็ของต้องห้ามของราชสำนัก หากสูบเข้าไปแล้วจะมีความผิด กระทั่งลากครอบครัวมาถูกลงโทษด้วย
“เปิ่งกงเข้าใจแล้ว เปิ่นกงแค่อยากรู้ว่าหลังจากสูบเข้าไปแล้วจะเป็อย่างไร?” หัวใจของมู่หรงฉือหนักอึ้ง
หัวหน้าหมอหลวงเสิ่นถอนหายใจ พูดเสียงหนัก “เมื่อหลายสิบปีก่อน มีอยู่หลายปีที่ชายแดนทางใต้ของแคว้นเป่ยเยี่ยนของพวกเราสูบอาฝู่หรงกัน อาฝู่หรงนี้มีความเป็พิษสูงมาก หากติดแล้วก็จะเลิกได้ยาก เมื่อสูบเข้าไปเป็เวลานานตัวคนสูบจะมีผิวเหลือง ทั้งยังผอมแห้ง ใบหน้าไร้สีเื พะอืดพะอมอยากอาเจียน แขนขาไร้เรี่ยวแรง ปฏิกิริยาตอบสนองเชื่องช้า วันทั้งวันเหมือนคนนอนไม่พอ มึนๆ งงๆ สติสตังไม่ค่อยจะมี ทั้งยังเส้นเืตีบ ร่างกายผอมแห้งอ่อนแรง จนเปลี่ยนมาเป็คนป่วย หากสูบมากเกินไปก็จะหายใจไม่ออกแล้วติดพิษตาย”
นางกับเสิ่นจือเหยียนมองตากัน ที่พูดมานี้จวงฉินเป็ทั้งหมดไม่ใช่หรือ?
เสิ่นจือเหยียนประสานมือเข้าด้วยกัน “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณหัวหน้าหมอหลวงเสิ่นยิ่งนัก”
ใจของมู่หรงฉือหนักอึ้งเป็อย่างมาก ก่อนจะถามอีก “ไม่รู้ว่าที่ไหนมีอาฝู่หรงขึ้นบ้าง?”
เชิงอรรถ
[1]อาฝู่หรง คือ ดอกฝิ่น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้