“ในเมื่อท่านไม่ยอมอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกัน อย่างน้อยก็เอาของติดไม้ติดมือกลับไปบ้างนะเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยขณะที่มือยังคงวุ่นอยู่กับการรวบรวมข้าวของในครัว ประหนึ่งจะขนสมบัติทั้งหมดในบ้านไปให้ครอบครัวเดิม
เหลียงซื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นก็อดร้อนใจไม่ได้ เกรงว่าจางเจิ้นอันจะมองบุตรสาวตนในแง่ไม่ดี จึงได้แต่คอยห้ามปรามอันซิ่วเอ๋อร์ พลางชำเลืองมองสีหน้าของจางเจิ้นอันเป็ระยะ
ทว่าจางเจิ้นอันยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทำให้เหลียงซื่อคาดเดาความคิดของเขาไม่ออก นางจึงหันไปอธิบายกับจางเจิ้นอันว่า “ซิ่วเอ๋อร์ลูกคนนี้นี่ ช่างไม่รู้จักประมาณตนเอาเสียเลย ของเหล่านี้พวกเราไม่รับหรอก พวกเราจะกลับกันแล้ว” ว่าแล้วก็หันไปเรียกพ่อเฒ่าอันและคนอื่นๆ ให้เตรียมตัวกลับ
พอเดินมาถึงหน้าประตูห้องครัว อันซิ่วเอ๋อร์ก็จัดแจงข้าวของเสร็จพอดี นางวิ่งเหยาะๆ ออกมายื่นตะกร้าสานใบใหญ่ให้เหลียงซื่อ “ท่านแม่ ท่านต้องรับของพวกนี้ไปให้ได้นะเ้าคะ”
“ไม่เอาๆ พวกเ้าเก็บไว้เถิด” เหลียงซื่อสวมเสื้อคลุมฟางทับ สวมหมวกสานเรียบร้อย เตรียมจะเดินจากไป
“ท่านแม่รับไปเถิดเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง พร้อมกับยกตะกร้าสูงขึ้นอีก “เมื่อตอนเช้า ข้าขอให้ท่านแม่มาช่วยงาน ท่านพี่ยังไม่ค่อยพอใจอยู่เลย หากคราวนี้ท่านแม่ไม่ยอมรับของพวกนี้ไปอีก เขาต้องโกรธข้ามากแน่ๆ เ้าค่ะ”
เหลียงซื่อได้ยินดังนั้นก็อดเหลียวไปมองจางเจิ้นอันไม่ได้ จางเจิ้นอันจึงพยักหน้ารับ “ใช่ขอรับ ท่านแม่ยายรับไว้เถิด ถือว่าเป็น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากพวกเราสองคน เทียบไม่ได้เลยกับที่ท่านและทุกคนมาช่วยเหลือพวกเราในวันนี้”
พอได้ยินจางเจิ้นอันเอ่ยปากสนับสนุน อันซิ่วเอ๋อร์ก็รีบยัดตะกร้าใส่มือเหลียงซื่อทันที “นั่นอย่างไรเ้าคะ ท่านพี่ก็พูดเช่นนี้แล้ว ท่านรีบรับไว้เถิด ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว ในเมื่อท่านแม่ไม่ทานข้าวเย็นที่นี่ ข้าก็ไม่รั้งพวกท่านแล้ว รีบกลับบ้านกันเถิดเ้าค่ะ” พูดจบก็ทำท่าจะดันหลังส่งเหลียงซื่อและคนอื่นๆ ออกไป
เหลียงซื่อมองตะกร้าในมือ สลับกับมองใบหน้าของอันซิ่วเอ๋อร์ด้วยความจนใจ นางรู้ดีว่าบุตรสาวคนนี้ภายนอกดูอ่อนโยน แต่ลึกๆ แล้วกลับดื้อรั้นไม่เบา เมื่อนางยืนกรานถึงเพียงนี้ ตนก็คงปฏิเสธต่อไปไม่ได้ ได้แต่รับของเ่าั้ไว้ พลางคิดในใจว่าพรุ่งนี้คงต้องรีบมาช่วยซ่อมแซมบ้านหลังนี้ให้เสร็จโดยเร็ว
“เช่นนั้นแม่จะรับไว้ก็ได้ แต่วันนี้ พวกเ้าจะไม่กลับไปนอนที่บ้านจริงๆ หรือ?” พอรับของมาแล้ว นางก็ยังอดวกกลับมาถามเื่นี้อีกไม่ได้
“ไม่กลับแล้วเ้าค่ะ ท่านแม่อย่ากังวลไปเลย รีบกลับเถิด ฝนตกถนนลื่น เกรงว่าถ้าฟ้ามืดค่ำไปกว่านี้จะเดินทางลำบาก” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวพลางทำท่ายื่นมือจะผลักหลังมารดาเบาๆ อีกครั้ง
เหลียงซื่อจนปัญญาจะเกลี้ยกล่อม มองอันซิ่วเอ๋อร์แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เดินตามหลังพ่อเฒ่าอันออกไปเงียบๆ
อันซิ่วเอ๋อร์เดินตามไปส่งทุกคนจนพ้นรั้วบ้าน เมื่อปิดประตูรั้วเรียบร้อยแล้ว นางจึงหันหลังกลับ พลันนึกขึ้นได้ว่ารองเท้าฟางคู่ที่ตนยืมต่งซื่อ พี่สะใภ้รองมาเมื่อตอนเช้านั้นยังไม่ได้นำไปคืน นางนึกขอบคุณในน้ำใจของพี่สะใภ้รอง ที่อุตส่าห์นำรองเท้าคู่เดิมของนางที่ทำตกไว้ไปซักจนสะอาดแล้วผึ่งลมไว้ให้ ในใจรู้สึกผิดอยู่บ้างที่ยังไม่ได้คืน
นางเดินกลับเข้ามาในบ้าน สิ่งแรกที่ทำคือมองหารองเท้าฟางคู่ที่ยืมมา ซึ่งนางถอดทิ้งไว้หน้าประตู คิดจะนำไปซักล้างเสียหน่อย แล้วอังไฟให้แห้งคืนนี้ พรุ่งนี้เช้าจะได้รีบนำไปคืนให้ต่งซื่อ
จางเจิ้นอันเห็นนางกำลังวุ่นวายอยู่กับการซักรองเท้า จึงลุกไปเริ่มทำอาหารเย็น กลางวันทำงานหนักมาทั้งบ่าย เขาจึงไม่อยากทำอะไรให้ยุ่งยากมากนัก เพียงแค่ต้มบะหมี่ง่ายๆ พอประทังหิวเท่านั้น
รอจนอันซิ่วเอ๋อร์ซักรองเท้าเสร็จ บะหมี่ของเขาก็สุกพอดี เป็บะหมี่ธรรมดาๆ ที่มีเพียงไข่ไก่ฟองเล็กๆ เป็เครื่องปรุง เขาทำอย่างง่ายๆ ไม่ได้ลวกเส้นแยกต่างหาก แต่นำไปต้มรวมกับน้ำซุปเลย ทว่าเมื่ออันซิ่วเอ๋อร์ได้ลองชิม กลับรู้สึกว่ารสชาติดีกว่าที่คาดไว้อย่างไม่น่าเชื่อ
“ที่แท้ท่านพี่ก็มีฝีมือทำอาหารไม่เบานี่เอง” อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยชมอย่างจริงใจ “แค่บะหมี่ธรรมดาๆ เหตุใดท่านพี่ต้มออกมาได้อร่อยถึงเพียงนี้เ้าคะ?”
“เ้าพูดเช่นนี้ ไม่ได้คิดจะโยนงานครัวให้ข้าทำตลอดไปหรอกนะ?” จางเจิ้นอันเงยหน้าขึ้นสบตานาง แววตาพราวระยับด้วยรอยยิ้มบางๆ
“หาใช่เช่นนั้นไม่ ข้ามิได้มีเจตนาเช่นนั้นสักหน่อย” อันซิ่วเอ๋อร์รีบปฏิเสธ ทว่าใบหน้ากลับปรากฏสีหน้าขวยเขินเมื่อถูกจับความคิดได้
จางเจิ้นอันมองนางแล้วก็หัวเราะออกมา เขายอมรับว่าคำชมง่ายๆ เพียงประโยคนั้นทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาก เดิมทีไม่ได้รู้สึกว่าบะหมี่ชามนี้จะอร่อยเลิศเลออะไร แต่พอนางเอ่ยชม เขากลับรู้สึกว่ามันอร่อยขึ้นมาอย่างน่าประหลาด จึงก้มหน้าก้มตาซดกินอย่างรวดเร็ว
เวลาล่วงเลยไปมากแล้ว กว่าพวกเขาจะทานอาหารเย็นเสร็จ ฟ้าก็มืดสนิทพอดี อันซิ่วเอ๋อร์เก็บล้างถ้วยชามเรียบร้อย จุดเทียนไขในครัว แล้วมองไปรอบๆ ครัวที่พื้นยังคงเต็มไปด้วยฟางข้าว ก็รู้สึกกลัดกลุ้มใจขึ้นมา
เดิมทีก็พอจะนอนบนฟางข้าวได้อยู่หรอก แต่เมื่อนำฟางส่วนใหญ่ไปใช้ถักทอเป็เสื่อรองนอนเสียแล้ว พื้นไม้ไผ่ที่ใช้สานรองอยู่ข้างใต้กลับทิ่มแทงร่างกายจนเจ็บ ชั่วขณะนั้นนางไม่รู้ว่าจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไรดี
“ตอนให้กลับไปนอนบ้านเดิม เ้าก็ไม่ยอมไป ทีนี้รู้สำนึกแล้วกระมัง” จางเจิ้นอันเอ่ยหยอกล้ออยู่ข้างๆ เขาลุกขึ้นจากม้านั่ง กล่าวว่า “ไปเถิด ข้าจะไปส่งเ้ากลับบ้านท่านแม่ยายเอง”
อันซิ่วเอ๋อร์ไม่ยอมรับมือที่จางเจิ้นอันยื่นมาให้ เพียงแต่ถามกลับไปว่า “แล้วท่านจะกลับไปนอนที่นั่นกับข้าด้วยหรือไม่เล่า?”
“ไม่” จางเจิ้นอันส่ายหน้า “ข้าเป็บุรุษ นอนที่ใดก็เหมือนกัน สมัยก่อนข้าเคยนอนมาแล้วทั้งในวัดร้าง หรือแม้กระทั่งในป่าเขาลำเนาไพร การนอนในครัวแค่นี้นับประสาอะไร อย่างน้อยครัวของเราก็ยังพอจะก่อไฟให้ความอบอุ่นได้”
“ข้าไม่เคยนอนในป่าเขาหรอกเ้าค่ะ แต่การได้ลองนอนในครัวกับท่านดูสักครั้ง ก็ไม่เลวเหมือนกัน” อันซิ่วเอ๋อร์หัวเราะออกมา พลันภาพความฝันอันน่าสะพรึงกลัวก็ผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง ในฝันนั้น นางแต่งให้กับพ่อม่าย ่เวลาสองปีที่ถูกเขาขังไว้ในห้องเก็บฟืนนั้นช่างยาวนาน ห้องเก็บฟืนทั้งเย็นเยียบและมืดมิด แม้แต่จะก่อไฟก็ยังเป็ไปไม่ได้
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางก็กล่าวขึ้นว่า “เอาเถิด ข้าจะไปนำผ้าห่มผืนนั้นของเรามา จะทนนอนที่นี่สักคืนสองคืน รอจนวันหน้า ท่านนึกถึงวันที่ข้านอนในครัวกับท่านขึ้นมา บางทีท่านอาจจะนึกถึงความดีของข้าขึ้นมาได้บ้างกระมัง”
“ข้ารู้มาตลอดว่าเ้าดีกับข้า” จางเจิ้นอันกล่าวเรียบๆ พลางหันหลังเดินออกไป ไม่นานนักเขาก็กลับมาพร้อมกับผ้าห่มผืนบาง อันซิ่วเอ๋อร์เห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปช่วยกางผ้าห่มออก จางเจิ้นอันก็นำผ้าห่มอีกผืนมาปูทับลงไปบนเสื่อฟาง เมื่อจัดแจงเสร็จ มองดูแล้วก็ไม่เลวนัก
อันซิ่วเอ๋อร์ลองทิ้งตัวลงนอนแล้วลุกขึ้นนั่ง กล่าวอย่างร่าเริงว่า “ไม่เลวเลยนะเ้าคะ สบายกว่าเตียงไม้แข็งๆ ของเราเสียอีก”
เห็นนางนั่งอยู่บนที่นอนฟาง ยังคงขยับตัวขึ้นลงราวกับเด็กน้อย สีหน้าดูมีความสุขอย่างแท้จริง จางเจิ้นอันก็ได้แต่หัวเราะอย่างจนใจ “เ้าอย่ามาหลอกให้ข้าดีใจเลย”
“เหตุใดจะเป็การหลอกให้ท่านดีใจเล่า? ท่านลองมานั่งดูเองสิ สบายจริงๆ นะ” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวพลางตบแปะๆ ลงบนที่นอนข้างกาย จางเจิ้นอันเห็นแววตาใสซื่อและสีหน้าจริงใจของนาง จึงลองเดินเข้าไปใกล้ อันซิ่วเอ๋อร์ก็รีบดึงแขนเขาให้นั่งลง จากนั้นก็นั่งเอียงคอ ส่งยิ้มหวานให้พลางถามว่า “นุ่มสบายใช่หรือไม่เล่า?”
“อืม” จางเจิ้นอันรับคำในลำคอ พลางฟังเสียงฟางข้าวเสียดสีกันอยู่ใต้ร่าง พลันรู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ เขาจึงรีบหันหน้าไปทางอื่น มองออกไปนอกหน้าต่างที่มืดมิด เสียงฝนยังคงตกกระหน่ำไม่ขาดสาย
“ในภายภาคหน้า หากเรามีเงินมีทอง ข้าจะซื้อผ้าปูที่นอนอย่างดีมาให้เ้าสักสิบผืนแปดผืน จะทำให้เตียงของเ้านุ่มสบายกว่านี้อย่างแน่นอน” จางเจิ้นอันหันกลับมากล่าวสัญญากับนาง
“อืม ข้าเชื่อท่านเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์พยักหน้าอย่างหนักแน่น ก่อนจะกล่าวต่อว่า “ทว่าอันที่จริงก็ไม่เป็ไรหรอกเ้าค่ะ ตอนนี้ข้าเพียงแค่อยากจะซ่อมแซมบ้านของเราให้ดีเสียก่อน หากมีเงินเหลือหลังจากนั้น พวกเราค่อยสร้างบ้านก่ออิฐถือปูนสักสองห้อง ท่านว่าดีหรือไม่?”
นางเหลือบมองเขาอย่างระมัดระวัง ยังจำได้ดีว่าคราวก่อนที่นางเอ่ยปากเื่เก็บเงินสร้างบ้าน เขากลับมีท่าทีโกรธเคือง แต่คราวนี้ เขากลับมองนางนิ่งอยู่นาน ผิดแผกไปจากเดิม ก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือมาโอบศีรษะของนางไว้อย่างอ่อนโยน กล่าวว่า “เ้าวางใจเถิด ข้าจะทำให้เ้าได้อยู่บ้านดีๆ อย่างแน่นอน”
“ที่จริงข้าก็ไม่ได้ใส่ใจเื่นี้มากนักหรอก ข้าเพียงแต่คิดว่า หากในภายภาคหน้าพวกเรามีลูก จะได้ไม่น้อยหน้าใครเขาเท่านั้นเอง” อันซิ่วเอ๋อร์เผยความในใจออกมา
“ลูกรึ?” จางเจิ้นอันได้ยินนางกล่าวเช่นนั้นก็อดขบขันไม่ได้ เขายื่นมือไปบีบจมูกโด่งรั้นของนางเบาๆ กล่าวว่า “เ้าเพิ่งแต่งงานเอง จะรีบมีลูกไปไย?”
“ข้าไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์แย้ง “ท่านแม่ของข้า แต่งงานไปไม่เท่าไหร่ ก็มีท่านพี่ใหญ่แล้ว”
“จริงสิ ท่านยังไม่เคยพบกับพี่ชายข้าเลยใช่หรือไม่เ้าคะ? เขาดีกับข้ามาก เพียงแต่หลังจากปีใหม่ เขาก็เดินทางเข้าเมืองไปหางานทำ จนป่านนี้ก็ยังไม่กลับมาเลย แม้กระทั่งตอนที่ข้าออกเรือน เขาก็ยังไม่กลับมา บางทีเขาอาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าแต่งงานแล้ว” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวพลางน้ำเสียงก็เศร้าลงเล็กน้อย ในครอบครัว นอกจากบิดามารดาแล้ว ก็มีพี่ชายคนนี้ที่รักและเอ็นดูนางมาก ก่อนที่เขาจะแต่งงานมีครอบครัวไปนั้น ดีกับนางมากเป็พิเศษ ทว่าวันที่นางแต่งงาน พี่ชายสุดที่รักกลับไม่ได้รับรู้เื่ราวใดๆ เลย
เมื่อฟังน้ำเสียงสั่นเครือคล้ายจะมีหยาดน้ำตา จางเจิ้นอันจึงกระชับอ้อมแขนกอดนางให้แน่นขึ้น เอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มว่า “รอให้พี่ชายของเ้ากลับมา ข้าจะเชิญเขามาที่บ้าน ดื่มเหล้าเป็เพื่อนเขาให้เต็มที่เลย”
“อืม” อันซิ่วเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นสบตาเขา ดวงตาทั้งคู่ฉ่ำคลอคล้ายมีน้ำใสๆ เอ่ออยู่
จางเจิ้นอันมองลึกลงไปในดวงตาคู่นั้น ในใจพลันรู้สึกอ่อนโยนอย่างประหลาด แม้จะอยู่ในกระท่อมซอมซ่อเช่นนี้ แม้สิ่งที่รองนอนอยู่เบื้องล่างจะเป็เพียงกองฟางหยาบๆ เขากลับรู้สึกสงบและสบายใจอย่างน่าประหลาด แม้แต่จิตใจที่เคยแข็งกระด้างก็พลันอ่อนโยนลงอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน
“ซิ่วเอ๋อร์ เ้าแต่งกับข้า เ้ารู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่?” เขาเอ่ยถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“เหตุใดจึงถามคำถามนี้อีกแล้วเล่า ข้าแต่งให้ท่านแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่เสียใจ” อันซิ่วเอ๋อร์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง ทว่าดวงตางามกลับฉายแววขุ่นเคืองเล็กน้อย
“ข้าเองก็ไม่เสียใจเลยที่ได้แต่งเ้ามาเป็ภรรยา” จางเจิ้นอันแย้มยิ้มบางเบา มองดวงตากลมโตและใบหน้าขาวผ่องของนาง เขาก้มลงประทับริมฝีปากลงบนปากนางอย่างหนักหน่วง ในแววตาฉายประกายร้อนแรง ก่อนจะค่อยๆ ผลักร่างนางลงบนที่นอนฟางที่ปูทับด้วยผ้าห่ม
อันซิ่วเอ๋อร์รีบหลับตาลงแน่น ขนตายาวงอนสั่นระริก ทันใดนั้น จางเจิ้นอันกลับผุดลุกขึ้นจากที่นอน เอ่ยขึ้นว่า “ข้าขอออกไปข้างนอกสักครู่”
“ท่านจะออกไปทำอะไรหรือเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์รีบลืมตาขึ้นทันที ในใจทั้งขวยเขินและสับสน ระลึกได้ว่าเมื่อครู่นี้นางอาจเข้าใจเจตนาของเขาผิดไป
“ข้าจะไปลากเรือขึ้นมาไว้บนฝั่ง คืนนี้ดูท่าฝนคงจะตกหนักต่อไป หากรอจนน้ำในแม่น้ำขึ้นสูง แล้วพัดพาเรือของเราไป ข้าคงต้องเสียใจไปอีกนาน” จางเจิ้นอันอธิบาย พลางสวมเสื้อคลุมฟางทับ แล้วเดินกลับมาหยุดข้างที่นอน โน้มตัวลงจูบหน้าผากนางอย่างแ่เบาแต่หนักแน่น กล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าจะรีบกลับมา”
“อืม เช่นนั้นท่านก็ระวังตัวด้วยนะเ้าคะ ดูแลตนเองให้ดี” ท้องฟ้ามืดมิดเช่นนี้ ทั้งฝนก็ยังตกหนัก อันซิ่วเอ๋อร์ไม่อยากให้เขาออกไปข้างนอกเลยแม้แต่น้อย ทว่าสิ่งที่เขาพูดก็มีเหตุผล เรือลำนั้นเป็เครื่องมือทำมาหากินที่สำคัญของพวกเขา หากถูกน้ำพัดพาไปจริงๆ พวกเขาก็คงจะลำบากเป็แน่
