ภายในห้องทำงานของหลี่่เจ๋อนั้น เฟิงอี้ได้นำข้อมูลที่สำคัญมากมารายงานกับเขา
"เรียนท่านอ๋อง ภาพของหุบเขาไป๋หูนั้นยืนยันได้แล้วว่าเป็ที่ซ่อนของฏตระกูลฉู่ที่สาบสูญไปเมื่อหลายปีก่อน มิผิดเพี้ยนแต่อย่างใด และในตอนนี้ทหารส่วนพระองค์กำลังทำการสอดแนมและตรึงกำลังเพื่อเสาะหาหุบเขาลูกนั้นอยู่" เฟิงอี้กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
"และไม่เพียงเท่านั้น คณบดีหานมีหลักฐานหนาแน่นเกี่ยวกับเื่การค้าอาวุธกับพวกฏ ข้าเกรงว่าเขาคงไม่พ้นโทษตายอย่างแน่นอน และตัวข้ายังข้าสืบทราบอีกว่าฝั่งฏกำลังเริ่มเคลื่อนไหวแล้วในตอนนี้ พวกมันกำลังตามล่าหาตัวคนที่วาดภาพนั้นอย่างบ้าคลั่ง เกรงว่าแม่นาง…"
“เฟิงอี้ เ้าจงจัดหาเวรยามมาเฝ้าหานหยางให้รัดกุม” หลี่เจ๋อเอ่ยเสียงเยียบเย็น ดวงตาสีน้ำตาลทองจับจ้องมองไปที่เฟิงอี้อย่างเคร่งขรึม
“ข้ารู้ว่านางอาจจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด แม้จะอยู่ในความดูแลของข้าเอง นางก็ยังตกอยู่ในอันตรายที่เราไม่อาจคาดเดาได้ ตัวข้านั้นมิอาจวางใจผู้ใด"
เฟิงอี้พยักหน้าพร้อมยอบกาย "พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง ข้าจะจัดการเื่นี้ให้เร็วที่สุด"
หลี่เจ๋อทอดถอนใจเบาๆ ขณะที่เฟิงอี้ออกไปจากห้อง เขาเอนหลังพิงเก้าอี้ไม้ ดวงตาเหม่อมองไปยังแสงเทียนที่สั่นไหวราวกับหัวใจของเขา
"หยางเอ๋อร์...เ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าเ้ากำลังนำพาภัยอันตรายมาสู่ตัวเอง? หากเ้าเป็อันใดไป แล้วข้าจะทำอย่างไร..."
เขาหลับตาลงพร้อมกับความทรงจำหนึ่งผุดขึ้นในใจ วันนั้นที่เขาได้สบตากับหญิงสาวผู้มีดวงตาสีนิลคู่งามเป็ครั้งแรก ภาพแห่งความอ่อนโยนของนางยังคงติดตรึงในหัวใจ แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม
สามปีก่อน ขณะที่เขายังเป็เพียงองค์ชายสาม ผู้ได้รับมอบหมายให้ปราบปรามกลุ่มพ่อค้าเกลือเถื่อนในเมืองหนานซาน หลี่เจ๋อจึงต้องเข้ามาสอดแนมในโรงน้ำชาที่พลุกพล่านแห่งหนึ่ง
ในมุมหนึ่งของโรงน้ำชา ดรุณีน้อยนางหนึ่งกำลังนั่งวาดภาพด้วยความมุ่งมั่นเกินวัย รอบกายของนางมีผู้ติดตามมากมายบ่งบอกชัดเจนว่านางเป็บุตรสาวของผู้มีอันจะกิน
แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเขาไม่ใช่ฐานะของนางแต่อย่างใด หากแต่เป็ดวงตาสีนิลคู่งามที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา และท่าทีการตวัดพู่กันที่สง่างามมากต่างหาก
แม้จะได้แค่เฝ้ามองจากระยะไกล แต่ความมุ่งมั่นในแววตาและการเคลื่อนไหวขณะวาดภาพของหานหยางนั้นกลับสะกดใจหลี่เจ๋อได้อย่างน่าประหลาด เส้นสายที่วาดบนผืนผ้าใบสอดประสานกับบรรยากาศรอบตัวของนางอย่างลงตัว เขาไม่อาจละสายตาจากนางได้ แม้ต้องรักษาความลับของตนในฐานะผู้สอดแนมก็ตาม
ั้แ่วันนั้น หลี่เจ๋อรู้เพียงว่าเขา้าทุกอย่างที่เป็ของหานหยาง ดังนั้นเขาจึงส่งคนออกไปกว้านซื้อภาพวาดของหานหยางเรื่อยมา
แม้จะไม่มีเหตุผลชัดเจนในตอนนั้น แต่เขากลับรู้สึกเหมือนการได้ผลงานของนางเป็การเก็บส่วนหนึ่งของหานหยางไว้ใกล้ตัวเขา
ความผูกพันที่ไม่อาจพูดออกมาได้ด้วยคำพูด บัดนี้กลายเป็แรงผลักดันให้เขาต้องปกป้องนาง ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น…
แต่แล้วสติของหลี่เจ๋อก็กลับมาเมื่อบ่าวในจวนก้าวเข้ามารายงานเื่สำคัญ
"เรียนท่านอ๋อง เ้าเมืองหนานซานและบุตรสาวขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ"
ดวงตาคมกริบของเขาหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัวของเขาในเสี้ยววินาที แม้ใบหน้าของเขาจะยังคงนิ่งเฉย แต่ในใจกลับคล้ายระลอกน้ำที่กำลังปั่นป่วน
"เ้าเมืองหนานซาน…" เขาพึมพำในใจ น้ำเสียงที่ไม่ได้เปล่งออกมาฟังดูหนักอึ้ง
"มิใช่ว่าจะมาทวงสัญญา… และสัญญานั้นคงมิพ้นการนำบุตรสาวมาประเคนให้กับข้าสินะ"
เขาเอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย ทอดถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงด้วยความเย็นเยียบ
"ให้พวกเขารอข้าในห้องรับรอง ข้าจะตามไปภายหลัง"
เมื่อบ่าวรับคำแล้วเดินออกไป หลี่เจ๋อเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาเหม่อมองไปที่หน้าต่างด้านนอก
"ข้าไม่มีเวลาสำหรับเื่ไร้สาระเช่นนี้ แต่ดูเหมือนว่าคงหลีกเลี่ยงไม่ได้..."
เขาคิดในใจพลางนึกถึงหานหยางที่ยังคงอยู่ในจวนของเขา
"หยางเอ๋อร์… เ้าอาจไม่รู้ว่าการปรากฏตัวของเ้า กำลังทำให้สิ่งรอบตัวข้าเปลี่ยนไปทีละน้อย…"
หลี่เจ๋อยืนขึ้นและจัดอาภรณ์ให้เรียบร้อยก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องรับรอง เสียงฝีเท้าหนักแน่นก้องสะท้อนในโถงทางเดิน ราวกับเป็สัญญาณของการเผชิญหน้าที่หลีกเลี่ยงไม่ได้...
ยามรุ่งเช้าของฤดูเหมันต์ อากาศเริ่มเย็นลงจนใครๆ ก็รู้สึกได้ แม้หิมะแรกของปียังไม่มา แต่สายลมหนาวที่แทรกผ่านเข้ามาก็เพียงพอที่จะทำให้หานหยางต้องจำใจตื่นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เมื่อคืนหานหยางฝันดีมาก ฝันว่ามีคนมานอนกอดและมอบความอบอุ่นให้นางตลอดทั้งคืน ฝันนั้นช่างเสมือนจริงเสียเหลือเกิน
คนในความฝันนั้นช่างอ่อนโยนและคอยปลอบประโลมนางจนอยากให้เขามีตัวตนอยู่จริง หากชีวิตของนางมีใครสักคนที่รักและปกป้องคุ้มครองเช่นนี้ก็คงจะดี แต่แล้วความเป็จริงนั้นนางกลับต้องถูกกักขังอยู่ในจวนอย่างโดดเดี่ยว
"ใครกันจะมารักคนต้อยต่ำเช่นข้า… ลูกของฏที่ถูกตราหน้าว่าขายชาติ" เสียงของนางเบาจนแทบจมหายไปในความเงียบงันของห้อง
ขณะนั้นเองเสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้น พร้อมกับหญิงบ่าวรับใช้ที่ชื่อจินเป่ยเข้ามาในห้องด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมเรียบร้อย
“แม่นางหานหยาง องค์หญิงหลี่เฟยเชิญไปรับสำรับด้วยกันเ้าค่ะ”
บ่าวรับใช้ที่ชื่อหงหลันกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงสุภาพ พลางยิ้มให้หานหยางอย่างเป็มิตร ทำให้หญิงสาวนั้นรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง
“เข้าใจแล้ว ฝากแจ้งองค์หญิงด้วยว่าข้าจะรีบตามไป”
เมื่อวาน หลังจากหลี่เจ๋อเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงความอึดอัดใจที่เกาะกุมหัวใจของหานหยาง นางไม่อาจสลัดความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวออกไปได้ ดวงตาคู่งามเปี่ยมไปด้วยความกังวล นางเผลอคิดไปว่า หญิงสาวที่นางเข้าใจว่าเป็ภรรยาของเขา อาจมาหาเื่หรือรังแกนางในไม่ช้า
ไม่นานนักหลี่เฟยก็เข้ามาคุยกับนางหานหยาง นางจึงได้เข้าใจแล้วว่าหลี่เฟยที่นางเคยหวั่นเกรงนั้น ที่แท้แล้วกลับเป็น้องสาวแท้ๆ ของหลี่เจ๋อ
และองค์หญิงหลี่เฟยที่มีอายุเท่ากันกับหานหยางนั้นกลับไม่ถือตัวแม้แต่น้อย หากมิได้คิดไปเองดูเหมือนว่าองค์หญิงนั้นจะรู้สึกถูกชะตากับนางมาก
หานหยางบรรจงรวบเส้นผมอย่างเรียบร้อยพลางเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์เป็ชุดสีม่วงอ่อนซึ่งเป็สีที่นางชอบมาก
ทว่าระหว่างที่มือเรียวบรรจงเกล้าผม หางตาคู่งามพลันเหลือบไปเห็นปิ่นปักผมรูปดอกเหมยกุ้ยที่วางอยู่บนโต๊ะ ปิ่นอันงดงามนั้นดูแปลกตา ราวกับเพิ่งถูกนำมาวางไว้ไม่นาน
“ใครกันที่นำมันมาวางไว้ที่นี่?” นางพึมพำกับตัวเอง ความสงสัยกลับพลุ่งพล่านขึ้นในใจ
หรือว่าจะเป็เขา…? แต่เขาเข้ามาั้แ่เมื่อใดกัน หรือว่าเมื่อคืน?
ความคิดหลากหลายแทรกเข้ามาในหัวจนทำให้หานหยางเผลอหยุดมือไปชั่วครู่ แต่ไม่นานนักนางก็รีบสะบัดศีรษะเพื่อสลัดความคิดเ่าั้ออกไป ด้วยนางรู้ตัวดีว่าตอนนี้ไม่ควรใส่ใจกับสิ่งที่อาจเป็เพียงความเข้าใจผิดของนางฝ่ายเดียว
นางจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อยก่อนก้าวออกจากห้องไปตามคำเชิญขององค์หญิงหลี่เฟย ซึ่งตั้งใจจะให้หานหยางช่วยสอนวาดภาพในวันนี้…
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้